ในหลายวันมานี้ เซียวอวี๋ค่อยๆศึกษาการป้องกันของรัฐ แม้ว่ารัฐเว่ยตอนนี้จะมีกำลังคนของตระกูลเคเนดี้ประจำการอยู่ แต่ขุมกำลังของดินแดนไลอ้อนในตอนนี้เองก็เหนือล้ำกว่าอดีตมาก การโจมตีรัฐเว่ยย่อมไม่เป็นปัญหา เวลานี้ ทั้งดินแดนล้วนมีขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม สำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึง ทุกคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่จะแสดงความสามารถ นโยบายที่ส่งเสริมด้านการทหารของเซียวอวี๋ทำให้ผู้คนกระตือรือร้นที่จะสร้างผลงาน เรื่องของสองพี่น้องสกาเล็ตและไค่เอ๋อร์ถูกพักเอาไว้ก่อน และทั้งสองคนเองก็สามารถรอกระทั่งสงครามจบลงก่อน จากนั้นค่อยให้สกาเล็ตและเซี่ยชานเริ่มเปิดหอการค้าเพื่อติดต่อค้าขายกับจักรวรรดิเมฆาตะวันออกและอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาเพื่อสร้างผลกำไร สกาเล็ตและไค่เอ๋อร์นิสัยดียิ่ง บรรดาพี่สะใภ้ของเซียวอวี๋ต่างรักใคร่พวกนาง อย่างไรก็ตาม พี่สะใภ้ใหญ่ของเซียวอวี๋ได้เรียกเซียวอวี๋ไปหา นางจ้องมองเขาก่อนจะกล่าวว่า “ฮึ่ม ข้าหลงคิดว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ว่าเปล่าเลย เอาเถอะ ข้าไม่มีความเห็นต่อพวกนาง แต่เจ้าไม่อาจมีสตรีมากกว่านี้ และเจ้าก็ไม่อาจปฏิบัติไม่ดีต่อพวกนาง” “นี่…อา….ฮ่าฮ่า วางใจเถอะข้าจะดูแลพวกนางอย่างดี” ขณะกล่าวเซียวอวี๋ก็คิดขึ้นในใจ ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะเปิดใจแล้ว พี่สะใภ้สี่และซีเหวินก็ดูเหมือนจะเริ่มดีต่อเขา สำหรับสองคนหลัง เซียวอวี๋ชมชอบพวกนางมานาน แต่เพราะมัวยุ่งกับสงครามจึงไม่มีเวลาสานต่อ แต่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอีก หลังจากจบเรื่องรัฐเว่ย เขาจะไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย เซียวอวี๋เรียกระดมไพร่พลจากทั่วดินแดนเพื่อเตรียมเคลื่อนทัพ เหล่าไพร่พลเองต่างก็ลับดาบรอเวลานี้อยู่แล้ว สงครามนี้จะเป็นสงครามใหญ่ ตระกูลเคเนดี้ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เซียวอวี๋ไม่ได้เกรงกลัวพวกเขาแล้ว เมื่อต้องประจันหน้ากับความแข็งแกร่งอันเหนือชั้น กลยุทธ์ใดๆล้วนไร้ความหมาย เซียวอวี๋มั่นใจว่าจะถล่มอีกฝ่ายได้ราบคาบ เวลานี้คิเมร่าหนึ่งร้อยตัวถูกอัญเชิญออกมาแล้ว เพียงแต่เซียวอวี๋ยังไม่ได้ให้พวกมันเผยตัว เขาต้องการใช้พวกมันในญานะทัพพิสดาร เซียวอวี๋มักเป็นเช่นนี้ เขามักเหลือไพ่ตายไว้บนมือเสมอ แต่ต่อให้ตระกูลเคเนดี้ล่วงรู้ว่าพวกเขากำลังจะโจมตี ทว่าเมื่อเหล่าคิเมร่าปรากฏตัว กองทัพของอีกฝ่ายย่อมตกอยู่ในความปั่นป่วน ขวัญกำลังใจพังทลาย ทวีปนี้ไม่มีคิเมร่าปรากฏตัวมาแสนนานแล้ว ผุ้คนเพียงจดจำแต่เผ่าพันธุ์มังกร พวกเขาไม่จดจำสิ่งมีชีวิตสองหัวที่เรียกว่าคิเมร่า ด้วยรูปลักษณ์ของมัน ผู้คนย่อมเข้าใจว่าเป็นมังกร เมื่อฝูงมังกรร้อยตัวปรากฏ เมืองทั้งเมืองย่อมพินาศสิ้น นอกจากพวกคิเมร่าหนึ่งร้อยตัวแล้ว เซียวอวี๋ยังใช้โควต้าที่เหลืออีกสี่พันยูนิตเป็น โทรลนักล่าหัวห้าร้อยตน สปิริตวอล์คเกอร์ห้าร้อยตน ไวเวิร์นห้าร้อยตัว พลธนูเอลฟ์ห้าร้อยนาย นักรบอร์คห้าร้อยตน เอลฟ์นักล่าห้าร้อยคน ไรเดอร์(ออร์คขี่หมาป่า)หนึ่งพันตน ในอดีต เป็นเพราะยูนิตที่เรียกได้มีเพียงน้อยนิด ดังนั้นเขาจึงต้องใช้บางยูนิตทดแทนไปก่อน ดังเช่นพวกโทรลนักล่า สปิริตวอล์คเกอร์และพวกไวน์เวิร์น ซึ่งตอนนั้นเซียวอวี๋ใคร่ครวญแล้วว่าการขว้างหอกของพวกโทรลนักล่าย่อมไม่ดีเท่าพลธนูของพวกเอลฟ์ ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกพลธนูเอลฟ์แทน ซึ่งครั้งนี้ เขาจะใช้พวกโทรลบ้าง เขาเชื่อว่าไม่มียูนิตใดที่ไร้ประโยชน์ ซึ่งพวกโทรลนักล่าก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง การขว้างหอกของพวกมันแม่นยำและรุนแรง โดยเฉพาะในระยะสามสิบเมตร หอกซัดแทบจะสามารถทะลุทะลวงได้ทุกสิ่ง อีกทั้งความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของพวกมันยังไม่ธรรมดา หอกคู่สามารถทิ่มแทงศัตรูอย่างฉับไว พวกมันไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกนักรบออร์คทั่วไปเสียด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม ด้วยความคล่องแคล่วที่มากกว่า วิ่งได้เร็วกว่า พวกมันจึงสามารถทำหน้าที่ได้หลากหลายกว่า ส่วนพวกสปิริตวอล์คเกอร์นั้นมีความสามารถเชื่อมหลายยูนิตเข้าด้วยกันเพื่อกระจายความเสียหายที่ได้รับ ในกรณีที่ไพร่พลบาดเจ็บสาหัส โซ่วิญญาณนี้ย่อมสามารถใช้ช่วยชีวิตไพร่พลนายนั้น ซึ่งในสนามรบประจัญบานขนาดใหญ่ ความสามารถนี้ย่อมมีประโยชน์อย่างยิ่ง ในหมู่ยูนิตของพวกออร์ค พวกเขามีอสูรโคโดอยู่แล้ว หากว่าเชื่อมโซ่วิญญาณให้กับพวกมัน อานุภาพของกองกำลังย่อมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเซียวอวี๋จึงเลือกอัญเชิญพวกสัตว์ซะมาก พวกอสูรโคโดเป็นเพียงหน่วยเสริม หน่วยหลักที่แท้ยังคงเป็นพวกนักรบออร์ค กระนั้นพวกอสูรโคโดก็สามารถเป็นอาวุธทะลวงชั้นดี เซียวอวี๋ได้ให้คนจัดสร้างเกราะเหล็กให้กับพวกอสูรโคโด ทำให้ทั่วร่างของพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม เมื่อพุ่งไปข้างหน้า พลังของพวกมันย่อมทะลวงทัพศัตรูจนแตกเป็นเสี่ยงๆ หากว่าทัพม้ากล้าชนปะทะกับพวกมัน จุดจบที่รออยู่ย่อมมีเพียงความตาย พวกไวเวิร์นนับเป็นหน่วยรบทางอากาศ คล้ายกับพวกกริฟฟ่อน หากแต่ความสามารถในการติดตามและตรวจจับสูงกว่า ขณะที่เหล่าอัศวินบนหลังของพวกมันก็สามารถขว้างโยนหอกใส่ศัตรูเบื้องล่าง การต่อสู้ระยะประชิดของพวกไวเวิร์นเองก็ดี พวกมันสามารถใช้ขาจับศัตรูเหินขึ้นฟ้าก่อนจะเหวี่ยงลงมา เซียวอวี๋คิดใช้พวกมันคอยประสานงานกับพวกแบทไรเดอร์ ใช้พวกมันเป็นหน่วยคุ้มกัน พลธนูเอลฟ์ห้าร้อยนาย ยูนิตนับเป็นไพ่ตายของเขาเสมอมา ในยุคอาวุธเช่นนี้ ธนูย่อมเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ เอลฟ์นักล่าและพวกไรเดอร์อย่างละห้าร้อยจะสามารถช่วยเสริมกำลังให้ทัพม้า ซึ่งเซียวอวี๋ก็เตรียมจะจัดส่งกองกำลังนี้ให้ฉินเช่อบัญชาการ พวกเอลฟ์นักล่ามีความสามารถในการสืบเสาะ พวกเขาจะช่วยฉินเช่อได้อย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพของเซียวอวี๋จึงถูกเสริมเขี้ยวเล็บขึ้นมาก เดิมทีเซียวอวี๋วางแผนจะอัญเชิญพวกพลปืนคนแคระออกมา แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาห่างจากการเลื่อนขั้นต่อไปอีกไม่มาก เมื่อเลื่อนขั้นได้ เขาก็จะสามารถอัพเกรดฐานทัพมนุษย์ และเรียกหน่วยปืนครกออกมา ซึ่งถึงตอนนั้นหน่วยพลปืนก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่เซียวอวี๋เตรียมการเสร็จสิ้นและพร้อมจะเคลื่อนทัพ มู่หลี่ก็ได้นำข้อความมา เวลานี้พวกกองกำลังอัศวินสีชาดของศาสนจักรได้ยึดสถานที่ไว้หลายแห่ง กองกำลังของพวกเขาพัฒนาเร็วมาก และไม่นานมานี้ พวกเขาได้ลอบส่งกองกำลังจำนวนมากมาสนับสนุนตระกูลเคเนดี้ในรัฐเว่ยเพื่อใช้จัดการกับเซียวอวี๋ กองกำลังเหล่านั้นยังมาไม่ถึงเนื่องเพราะผสมปนเปด้วยกองกำลังหลากหลาย ดังนั้นการเดินทัพย่อมล่าช้าลง “ตอนนี้พวกศาสนจักรมีกองทัพไม่น้อยเลย หรือจะไม่มีใครหยุดพวกมันได้?” เซียวอวี๋ขมวดคิ้ว “อำนาจของศาสนจักรยิ่งมายิ่งใหญ่โต และแน่นอนว่าย่อมต้องเกิดการขัดแย้งกับขุมกำลังอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ขุมกำลังเหล่านั้นต่างก็จ้องคุมเชิงกันและกัน ไม่มีผู้ใดยอมลงมือก่อน ดังนั้นศาสจักรจึงขยายอิทธิพลโดยสะดวก” มู่หลี่กล่าวเสียงเครียด เขาย่อมล่วงรู้ว่าเป้าหมายของศาสนจักรคือดินแดนไลอ้อน นั่นเพราะการดำรงอยู่ของอูเธอร์ อีกฝ่ายย่อมข่มตาหลับไม่ลง หากอูเธอร์ยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งศาสนจักรยิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ดินแดนไลอ้อนก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายขึ้นเท่านั้น “เห็นทีคงถึงคราวใช้แผนร่วมประสานแนวดิ่งแล้ว” เซียวอวี๋พึมพำขณะลูบคาง “แผนร่วมประสานแนวดิ่ง? มันคือ?” มู่หลี่ที่ได้ฟังพลันมึนงง เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีใด ไม่จำเป็นที่เราจะจัดการพวกมันด้วยตนเอง ผู้ที่ถูกศาสนจักรคุกคามไม่ได้มีเพียงเรา แต่ยังมีฝ่ายอื่นๆ ตอนนี้ทั้งหมดต่างก็หวาดระแวงซึ่งกันและกัน หากปล่อยให้พวกนั้นนั่งดูอยู่เฉยๆย่อมไม่ดีแน่ ยิ่งกว่านั้น กูดาลยังเริ่มจะก่อคลื่นลมขึ้นมาแล้ว สถานการณ์จะกลายเป็นซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ หากทุกคนยังนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้ ไม่ช้าจุดจบก็จะมาถึง” “ท่านคิดจะทำอะไร?” เวลานี้มู่หลี่เชื่อมั่นต่อเซียวอวี๋สุดหัวใจ ไม่ว่าเรื่องใดเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเซียวอวี๋แล้วย่อมไม่นับเป็นอะไร เซียวอวี๋มักมีแผนการเสมอ “จะทำอะไรงั้นหรือ? อืม เริ่มจากติดต่อนิโคลัสก่อนเลย คนผุ้นี้ทั้งทะเยอทะยานและมากความสามารถ ต้องโน้มน้าวเขาก่อน” เซียวอวี๋เผยรอยยิ้ม “นิโคลัส? คนผู้นี้ชาญฉลาด ทั้งตระกูลของเขายังแข็งแกร่ง แต่เราต้องระวังเขาให้มาก” มู่หลี่กล่าวเตือน “ฮ่าฮ่า ข้าไม่กลัวหรอก ข้าชอบที่จะร่วมมือกับคนเช่นนี้ คนฉลาดร่วมมือกันย่อมประหยัดสมองไปได้มาก หึหึ” เซียวอวี๋หัวเราะ “แล้วพวกเราจะตามหาเขาได้ที่ใดหรือ?” มู่หลี่คุ้นเคยกับนิสัยของเซียวอวี๋แล้ว บางครั้งเซียวอวี๋ก็กระทำในสิ่งที่คนอื่นๆมักไม่กระทำ เซียวอวี๋เผยยิ้มลี้ลับ “ใยเราจึงต้องหา? แค่ติดประกาศไว้นอกเมืองไลอ้อนว่ามีขุมทรัพย์รอให้เขามาแบ่งปันร่วมกัน ไม่ช้าเขาย่อมต้องรีบแจ้นมาแน่” “จะได้ผลหรือ?” มู่หลี่เบิกตาค้าง เซียวอวี๋มักทำสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกเสมอ อย่างไรก็ตาม ในใจของมู่หลี่ย่อมเข้าใจ นิโคลัสย่อมมีหูตาอยู่ในดินแดน เมื่อขึ้นประกาศไว้ ไม่ช้านิโคลัสจะต้องทราบแน่ “แน่นอน จัดการเถอะ” เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ มู่หลี่ถอนหายใจด้วยความชื่นชม นายท่านของเขายอดเยี่ยมยิ่ง ติดตามนายท่านผู้นี้แทบไม่ต้องลำบากกินแรงอะไร ทุกสิ่งอย่างล้วนกลายเป็นเรื่องง่ายเมื่ออยู่ในมือเขา ที่พวกเขาต้องทำก็เพียงแค่ปฏิบัติตามให้ดีเท่านั้น “ดูเหมือนคำพยากรณ์จะไม่ผิด ราชาแห่งราชันย์จะกลายเป็นตำนาน” มู่หลี่เชื่อมั่นในเรื่องนี้ยิ่ง….