ตอนที่ 2688 วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของดินแดนมรดก

ทันทีที่ซือเฟิงเปิดใช้งานม้วนคัมภีร์มรดกอีกครั้ง ความมืดก็เข้าปกคลุมวิสัยทัศน์ของเขาอีกครั้ง และโลกนั้นมันก็ดูเหมือนจะหมุนรอบตัวเขา ทุกอย่างมันเหมือนกับตอนแรกที่เขาเดินเข้าไปในกระแสน้ำวนที่มืดมิดในห้องหลัก

ม้วนคัมภีร์มรดกนั้นเป็นสมบัติที่มหาอำนาจต่างๆต้องการเป็นอย่างมาก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พวกเขาเต็มใจจะแลกเปลี่ยน แม้แต่กับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานด้วยซ้ำ โดยมันมีค่ามากก็เนื่องมาจากมันทำให้ผู้เล่นสามารถท้าทายดินแดนมรดกเดิมได้อีกครั้ง

แม้ว่าฟังชั่นนี้อาจจะดูเหมือนไม่มากนัก แต่มันก็เป็นราวกับพรจากสวรรค์เลย สำหรับผู้เล่นที่ทำการท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่

โดยปกติผู้เล่นจะมีโอกาสท้าทายดินแดนมรดกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเมื่อพวกเขาตายลง พวกเขาก็จะถูกเทเลพอร์ตออกจากดินแดนมรดก และดินแดนมรดกที่พวกเขาเคยเข้ามาแต่เดิมมันก็จะหายไป และปรากฎขึ้นในตำแหน่งอื่นแบบสุ่ม และแม้ว่าผู้เล่นจะมาทำการท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ใหม่อีกครั้ง แต่โอกาสที่พวกเขาจะได้เข้าไปในดินแดนมรดกเดิมนั้นมันก็ต่ำมากๆ ดังนั้นมันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ท้าทายดินแดนมรดกเดียวกันถึงสองครั้ง และด้วยเรื่องนี้เอง มันก็ทำให้เหล่าผู้เล่นไม่สามารถจะเรียนรู้จากประสบการณ์ได้

ซึ่งสำหรับเหล่าผู้เล่น ด้วยเรื่องนี้นั้นมันทำให้โอกาสในการจะทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ของพวกเขาได้สำเร็จลดน้อยลงไปอีก เพราะพวกเขาไม่สามารถจะเรียนรู้จากประสบการณ์ได้เลย เมื่อพวกเขาทำการท้าทายใหม่นั้น ทุกอย่างมันก็จะเหมือนกับการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ดังนั้นไอเทมที่สามารถช่วยให้พวกเขากลับเข้าสู่ดินแดนมรดกเดิมเพื่อทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้นั้น มันจึงจัดว่ามีค่ามากๆ เพราะมันจะทำให้พวกเขาสามารถเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในดินแดนมรดกได้ ซึ่งมันก็จะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ของพวกเขาอย่างมาก ดังนั้นมหาอำนาจต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาของเขาจึงไปไกลถึงขนาดพร้อมจะแลกเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานกับม้วนคัมภีร์มรดกเลย

ในสายตาของผู้เล่นทั่วไป การทำธุรกรรมนี้มันค่อนข้างจะดูเหมือนการทำธุรกรรมที่โง่เง่า อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงความแตกต่างระหว่างขั้นสามกับขั้นสี่นั้นมันก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโคลนและในก้อนเมฆเลย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผู้เล่นไปถึงเลเวลที่สูงขึ้น ความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างขั้นก็จะยิ่งมีมากขึ้น แถมท้ายที่สุดแล้ว โอกาสที่ผู้เล่นขั้นสามและขั้นสี่จะได้พบต่อไปในระยะหลังๆของเกมนั้นมันก็แตกต่างกันมาก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีความแตกต่างในเรื่องรค่าสถานะพื้นฐานที่ผู้เล่นขั้นสามและขั้นสี่จะได้รับเมื่อเลื่อนเลเวลด้วย

ในขณะเดียวกัน หลังจากช่วงเวลาสั้นๆในความมืด ซือเฟิงก็ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งในท้องฟ้าเหนือดินแดนมรดกแห่งแรกของเขา และมันก็เป็นเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่ร่างกายของเขาเริ่มดิ่งลงสู่เหวลึกอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นคูลดาวน์ของสกิลและเวทย์ทั้งหมดของเขายังได้รับการรีเฟรชทั้งหมด ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันมันทำให้ดูเหมือนว่าเขาย้อนเวลากลับมาเลย

“ดีมาก !!!”

ซึ่งจากการตรวจสอบอย่างรวดเร็วนั้น ซือเฟิงพบว่าแม้แต่สกิลเพิ่มเติมของอาวุธกับอุปกรณ์ที่เขาใช้ไปมันก็ยังถูกรีเฟรชทั้งหมด และนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงเลือกจะเปิดใช้งานสกิลเกลโดเมนทันที ก่อนที่เขาจะเลือกบินตรงไปยังหน้าผาที่ใกล้ที่สุด

ก่อนหน้านี้เขาเสียเวลาไปมากในการเฝ้าสังเกตดินแดนมรดก เป็นผลให้เมื่อเขาเปิดใช้งานสกิลเกลโดเมน แรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อเขามันก็มีอย่างมากแล้ว มันจึงทำให้ความเร็วและความคล่องตัวของเขาลดลงอย่างมาก

ซึ่งคราวนี้เมื่อเขาเปิดใช้งานสกิลเกลโดเมนเกือบจะทันทีที่เขามาถึงดินแดนมรดก มันจึงทำให้เขาสามารถเดินทางไปได้ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมถึงสองเท่า และในท้ายที่สุดนี่มันก็ทำให้เขาสามารถไปถึงหน้าผาที่ใกล้ที่สุดได้ในเวลาเพียงสิบห้าวินาที โดยที่เขายังเหลือเวลาของสกิลบินนี้อีกมากด้วย

“ทลาย !!!”

หลังจากมาถึงบริเวณหน้าผา ซือเฟิงก็ได้จัดการใช้ไลท์ชาโด้วทันที

ตู้ม !!

เสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังขึ้นในขณะที่เศษหิน และดินปลิวว่อนไปหมด อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ต้องเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้เห็นผลจากการโจมตีนี้ การโจมตีนี้ของเขาได้เปิดทางได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งมันแทบไม่เพียงพอที่คนๆหนึ่งจะยืนได้เลยด้วยซ้ำ
นี่พลังของไลท์ชาโด้วลดลงมากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?! ซือเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยแยกบนหน้าผาที่เขาสร้างขึ้น

พลังของไลท์ชาโด้วนั้นอ่อนแอกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก เมื่อครู่เขาได้ใช้ทุกอย่างแล้วจริงๆใส่เข้าไปในการโจมตีนี้ แต่มันก็แทบจะไม่ถึงมาตราฐานขั้นกลาง ของขั้นสี่ด้วยซ้ำ ซึ่งหากเขาใช้การโจมตีนี้เข้าปะทะกับลมหายใจมังกรของมังกรดำเด็ก เขาคงจะได้ตายอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ซือเฟิงก็ไม่กล้าจะเสียเวลามากนัก เขาได้ทำการใช้ไลท์ชาโด้วอีกครั้งทันที

ในตอนที่เขาใช้ไลท์ชาโด้วเป็นครั้งที่แปด ในที่สุดผลของสกิลเกลโดเมนของเขาก็หมดลง แต่โชคดีที่เขาสามารถสร้างพื้นที่ได้เพียงพอที่จะตั้งหลักสำหรับตัวเองแล้ว ซึ่งด้วยพื้นที่นี้ มันก็น่าจะมีมากเพียงพอที่จะใช้หลบหลีกและสกัดกั้นการโจมตีของมังกรดำเด็ก

อย่างไรก็ตามเมื่อซือเฟิงจ้องมองไปยังเหวลึกเบื้องล่าง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว

แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของเขาจะดีขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก แต่เขาก็ยังมีปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการ

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการรับมือกับมังกรดำเด็กทั้งสามตัว เพราะเพียงแค่ความจริงที่ว่าเขาต้องทำการเปิดเส้นทางไปเรื่อยๆเพื่อลงจากหน้าผามันก็จัดว่าเป็นปัญหาใหญ่แล้ว ซึ่งการใช้ไลท์ชาโด้วแต่ละครั้งมันทำให้เขาสามารถเปิดเส้นทางต่อไปข้างหน้าได้แค่ราวหนึ่งเมตรเท่านั้น อย่างไรก็ตามจากการคาดการณ์ของเขา เขาจำเป็นจะต้องลงไปหลายกิโลเมตรเพื่อไปให้ถึงพื้นที่ที่เศษชิ้นส่วนมรดกอยู่ ซึ่งในกรณีนี้เขาก็จะไม่สามารถเข้าถึงเศษชิ้นส่วนมรดกได้แน่นอน แม้ว่าเขาจะใช้ไลท์ชาโด้วติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น

แม้ว่าเขาจะสามารถเพิ่มพลังการทำลายล้างของการโจมตีได้ด้วยการใช้สกิลเบอเซิกร์ แต่สกิลเบอเซิกร์นั้น หากประเมินจริงๆเขาก็ควรจะเก็บไว้ใช้ช่วยชีวิตตัวเองมากกว่า เพราะต่อไป เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างในดินแดนมรดกแห่งนี้ มันมีอันตรายที่เขาไม่รู้จักมากเกินไปที่นี่ ถ้าเขาใช้สกิลเบอเซิกร์เร็วเกินไป เขาจะต้องตายแน่นอนเมื่อมีสถานการณ์อันตรายเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าฉันจะต้องหาทางเพิ่มพลังโจมตีของฉัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ ซือเฟิงก็สรุปได้ว่าเขามีอยู่ทางเลือกเดียว

การใช้เครื่องมืออัญเชิญนั้นไม่สามารถจะทำได้ในขณะที่อยู่ในดินแดนมรดก ผู้เล่นไม่ได้รับอนุญาติให้เรียกองครักษ์ส่วนตัวมาที่นี่ ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้วิธีเดียวที่จะทำให้เขาสามารถเข้าถึงเศษชิ้นส่วนมรดกได้เร็วที่สุดก็คือ การเพิ่มพลังดิบในการโจมตีของเขา

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มันพูดง่ายกว่าทำ

ปัจจุบันเทคนิคมานา ดาบที่หนึ่ง ไลท์ชาโด้วนั้น เป็นการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งท่สุดที่เขามีแล้ว ซึ่งแม้แต่เทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงก็ยังไม่สามารถจะเทียบกับมันได้ อย่างไรก็ตาม หากเขาอาศัยเพียงแค่ไลท์ชาโด้วในการเปิดเส้นทางลงไป เขาก็จะไปไม่ถึงเศษชิ้นส่วนมรดกแน่นอน แม้ว่าเขาจะเหนื่อยจนตายก็ตาม เขาต้องการ การปรับปรุงเชิงคุณภาพในเรื่องพลังดิบของเขา

หากฉันต้องการจะเพิ่มพลังในการโจมตีของฉัน นอกเหนือจากการทลายขีดจำกัดของร่างมานาแล้ว ตัวเลือกอื่นๆก็คือการปรับปรุงเทคนิคมานาเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วหากปราศจากซึ่งแรงบันดาลใจ การจะทลายขีดจำกัดร่างมานาให้ได้นั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งในกรณีนี้มันทำให้ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพยายามใช้ดาบที่สองโฮลี่ดีวอร์ให้ได้ เมื่อซือเฟิงคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็เริ่มโฟกัสไปที่การสัมผัสถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบของเขา ซึ่งเขาก็พบว่าแม้ว่าที่นี่จะมีสภาพแวดล้อมที่รุนแรง และมีมานาเบาบางมาก แต่สมองของเขาก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใดๆเลย สภาพแวดล้อมที่นี่มันดูคล้ายกับสภาพแวดล้อมในประตูมรดก หรือว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้เล่นได้เรียนรู้เทคนิคมานางั้นหรอ ?

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ซือเฟิงก็รู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่การคาดเดาของเขาจะถูกต้อง

ดินแดนมรดกทุกดินแดนนั้นมันควรจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้เล่นสามารถท้าทายและฝึกฝนภายในได้ และมันไม่ควรจะมีดินแดนมรดกใดที่ผู้เล่นไม่สามารถท้าทายและฝึกฝนภายในได้ ….

ในขณะเดียวกันในสภาพแวดล้อมที่มีมานาเบาบางนี้ ไม่เพียงแต่ผู้เล่นจะสามารถรับรู้ถึงการไหลของมานาภายในร่างกายของพวกเขาได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่มันยังจะทำให้ผู้เล่นฝึกฝนเทคนิคมานาได้ด้วย ซึ่งนี่เป็นเพราะความสามารถในารควบคุมมานาของคนผู้หนึ่งนั้นมีบทบาทสำคัญมากในการเรียกใช้เทคนิคมานา โดยในสภาพแวดล้อมที่มีมานาต่ำแบบนี้ ผู้เล่นก็จะไม่ต้องถูกรบกวนจากมานาภายนอกมากนัก เป็นผลให้พวกเขาจะสามารถรับรู้และควบคุมมานาภายในร่างของตัวเองได้ดีขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งสำคัญสำหรับผู้เล่นที่ต้องการจะเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นสี่นอกเหนือ
จากการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วคือ พวกเขาจะต้องควบคุมมานาให้ได้ระดับที่สูงเพียงพอ เพราะท้ายที่สุดโดเมนมานานั้นมันขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมมานา

ซือเฟิงได้ชัก Abyssal Blade ออกจากฝัก และเริ่มพยายามจะใช้ดาบที่สองโฮลี่ดีวอร์ทันที

ซึ่งสำหรับดาบที่สองโฮลี่ดีวอร์นี้ หากผู้ใช้ไม่มีความเข้าใจอย่างเพียงพอเกี่ยวกับหลักการทำงานและโครงสร้างมานา เพื่อสร้างมานาออกมาเป็นรูปร่าง ไม่งั้นการจะใช้งานโฮลี่ดีวอร์ให้ได้ก็เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

ก่อนหน้านี้ซือเฟิงไม่ได้มีความหวังมากนักว่าเขาจะสามารถเรียนรู้ และใช้งานโฮลี่ดีวอร์ได้ ในขณะที่เขายังอยู่ในขั้นสาม เพราท้ายที่สุดการจะบรรลุเงื่อนไขทั้งหมดเพื่อใช้มันให้ได้นั้นยากมากๆ

อย่างไรก็ตามเนื่องจากตราประทับวิญญาณของ Faux Saint Devourers การรับรู้หลักการทำงานมานาและโครงสร้างมานาของเขาของเขาจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างมาก

ในช่วงเวลาต่อมาซือเฟิงก็หลับตาของเขาลง ก่อนที่เขาจะกระชับ Abyssal Blade ด้วยมือทั้งสองของเขาแน่น เพื่อจัดการรวบรวมมานาให้เข้ามาอยู่โดยรอบ Abyssal Blade ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ซึ่งหลังจากแน่ใจว่ามีมานาเพียงพอแล้ว ซือเฟิงก็ลืมตาขึ้น และเหวี่ยง Abyssal Blade เข้าใส่ผนังหน้าผาตรงหน้าเขาทันที

โฮลี่ดีวอร์ !!!