ตอนที่ 1109 เรื่องราวในอดีต โดย Ink Stone_Fantasy
แค่นี้ก็เหลือเฟือ….
เมื่อเจอกับคำพูดที่ดูโอ้อวดแบบนี้ เดิมเขาควรจะหัวเราะออกมาหรือไม่ก็พยายามพูดเตือนถึงจะถูก แต่เมื่อเห็นสีหน้ามั่นใจของอีกฝ่าย โจกลับพูดไม่ออกไปทันที
แต่เรื่องที่่่น่าเหลือเชื่อนั้นยังมีอีก
เขาถูกขอให้ร่วมมือกับปฏิบัติการณ์ในครั้งนี้อย่างเต็มที่ เรื่องนี้ไม่ได้เหนือไปจากความคาดหมายของโจ ในเมื่อราชาแห่งเกรย์คาสเซิลรับปากว่าจะช่วยฟาร์รีน่าออกมา อย่างนั้นทีมช่วยเหลือก็จำเป็นต้องรู้เรื่องสถานการณ์บนเกาะอาชดยุคอย่างละเอียด ส่วนพวกเขาที่คอยซุ่มดูลาดเลาอยู่บนเกาะอาชดยุคมาครึ่งปีย่อมต้องเป็นคนที่รู้เรื่องเกาะดีที่สุด
แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายนั้นอาจจะสอบถามเรื่องอื่นอีก โจเองก็คิดที่จะบอกไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความลับของศาสนจักร คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนแต่ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของฟาร์รีน่า ขอเพียงเป็นเรื่องที่เขารู้ เขาก็ยินดีที่จะบอกทั้งหมด
แต่หลังจากที่เดินเข้าไปในห้องโดยสารของเรือ โจกลับพบว่าตัวเองนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับความคิดของโรแลนด์ วิมเบิลดันผู้ซึ่งเป็นคนบดขยี้ศาสนจักรคนนี้เลย
นี่ไม่ใช่ทั้งการสอบสวน แล้วก็ไม่ใช่การประชุมก่อนทำการรบ
คนที่นั่งอยู่ตรงปลายโต๊ะคือเคแกน เฟส ปรมาจารย์ด้านการแสดงละครเวทีจากเกรย์คาสเซิล
“เขาถามอะไรเจ้าก็ตอบไปตามนั้น” ฌอนพูดจบก็เดินออกไป ปล่อยให้โจนั่งมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงง
ตอนที่อยู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ใหม่ เขาเคยดูการแสดงของคณะละครเคแกน
ถึงแม้มันจะผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว แต่ความทรงจำในหัวบอกเขาว่าชายแกที่อยู่ตรงหน้าคือเคแกน เฟสแน่นอน
ในหัวของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
คนที่มาไม่ใช่กองทัพ หากแต่เป็นคณะละครเวทีที่มีชื่อเสียง…นี่พวกเขาจะมาช่วยคนจริงๆ เหรอ?
“นั่งก่อนสิ พ่อหนุ่ม” เคแกนพยักหน้าให้เขา “เอาชาหรือเหล้าดี?”
“ชา…ก็พอ”
หญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งยกชาร้อนมาวางลงตรงหน้าเขา
“นี่คือลูกศิษย์ข้า มิสเรินต์แกน”
“อา…ขอบคุณ” โจพูดขอบคุณออกไปทันที ถ้าไม่เป็นเพราะมือและเท้าถูกล่ามโซ่เอาไว้อยู่ เขาคงจะนึกว่าตัวเองอยู่ในความฝัน “ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
“เพราะสัญญากับฝ่าบาทเอาไว้” เคแกนยิ้มๆ “เดิมทีพวกเราควรจะคุยกันในสภาพแวดล้อมที่สบายกว่านี้ แต่ยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมปลดล็อกให้เจ้า”
“ไม่ แบบนี้ดีแล้ว…” เขาพูดพึมพำ “ท่านอยากจะถาม…อะไรข้า?”
“เกี่ยวกับเรื่องของเจ้ากับฟาร์รีน่า”
โจมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านหมายถึง เรื่อง…ของข้ากับนางงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง พวกเจ้าเข้าไปอยู่ในศาสนจักรตั้งแต่เมื่อไร แล้วรู้จักกันได้อย่างไร ทำไมนางถึงไปตกอยู่ในมือโรแลนโซ่ได้ ข้าอยากจะรู้ทั้งหมด” เคแกนค่อยๆ พูด
“ฟาร์รีน่า…ฟาร์รีน่านาง…” ทันทีที่พูดถึงชื่อนี้ขึ้นมา ความเจ็บปวดก็ไหลทะลักออกมา ก่อนหน้านี้เขาพยายามที่จะไม่คิดถึงเธอ แต่ความทรงจำมันก็เหมือนกับสายน้ำ ทันทีที่ไหลออกมาแล้วก็ยากที่จะหยุดมันได้ แค่เอ่ยปาก ลำคอเขาก็เหมือนกับตีบตัน ในดวงตามีหยดน้ำไหลซึมออกมา
ในตอนที่เข้ามาอยู่ในศาสนจักร ฟาร์รีนานั้นเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา
เสื้อผ้าเก่าๆ โคร่งๆ ที่สกปรกจนมองไม่เห็นสีเดิมของมัน มือและเท้าถูกหิมะกัดจนเป็นแผล ตัวแข็งเหมือนหัวไชเท้าเนื่่องจากความหนาวเย็น
ถ้าไม่เป็นเพราะรถม้าของเขาไปเจอเธอระหว่างทางที่จะไปเฮอร์มีส เกรงว่าเธอคงจะตายไปนานแล้ว
ส่วนเขานั้นเป็นขุนนางตกยากคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากชื่อสกุล ที่เขาเดินทางไปยังศาสนจักรก็เพราะต้องการเสี่ยงดวง
เมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นพร้อมต้อนรับทุกคนโดยไม่สนใจว่าจะเป็นใครมาจากไหน
เนื่องจากเขารู้หนังสือ จึงทำให้เขาถูกส่งไปอยู่ฝ่ายศาสนบริกร กลายเป็นเจ้าหน้าที่จดบันทึกคนหนึ่ง
ส่วนฟาร์รีน่านั้นกลายเป็นนักรบฝึกหัด
นี่ทำให้โจรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
ศาสนบริกรกับนักรบนั้นเป็นสองโครงสร้างหลักของเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่มีฐานะเท่าเทียมกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือหญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็นคนที่มีฐานะเท่าเทียมกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่เขาช่วยเหลือมาด้วย ในสายตาของเขา ฟาร์รีน่าควรจะเป็นทำงานระดับล่างอย่างเช่นแม่ครั้งหรือคนซักเสื้อผ้ามากกว่า
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิมก็คือหลังผ่านไปไม่นาน เขากลับพบว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายนั้นมีหน้าตาที่งดงามทีเดียว
อย่างนั้นเหตุผลที่เธอถูกเลือกให้เป็นนักรบก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่
ความจริงเธอควรจะเป็นผู้หญิงของเขาต่างหาก
หลายๆ ครั้งที่โจมักจะฉวยโอกาสแกล้งเธอหรือทำให้เธอขายหน้า แต่ฟาร์รีน่าก็ไม่เคยตอบโต้เขากลับเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกโมโห
แต่ในเวลาหลายปีหลังจากนั้น เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ค่อยๆ แสดงพรสวรรค์ของตัวเองออกมา เหมือนกับอัญมณีที่ค่อยๆ ถูกแกะสลักจนเป็นรูปร่าง
ไม่นานฟาร์รีน่าก็ได้เลื่อนขั้นเป็นกองหนุนของทหารพิพากษา จากนั้นก็เป็นทหารพิพากษา แล้วก็กลายเป็นหัวหน้าหน่วยของกองทัพพิพากษา
ในเดือนแห่งปีศาจของทุกปี โจมักจะเห็นเธอวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนกำแพงเมือง
ส่วนเขานั้นพึ่งจะได้เลื่อนขั้นจากพนักงานจดบันทึกเป็นผู้ช่วยบาทหลวง
อีกฝ่ายก้าวหน้าไปกว่าตัวเองแล้ว
เขาเคยจับตาดูฟาร์รีน่าอยู่ทุกย่างก้าว ด้วยกลัวว่าเธอจะกลับมาแก้แค้นตัวเอง แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรเลย นี่กลับทำให้การเฝ้าจับตาดูของเขากลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง
โจค่อยๆ พบว่าเธอไม่ได้เป็นผู้หญิงธรรมดาอย่างที่ตัวเองคิด
จากนั้นเจ้าชายลำดับที่สี่ก็เข้ามา
พระสังฆราชตาย กองทัพอาญาสิทธิ์พังพินาศ วิหารถล่มลงมา ศาสนจักรอันยิ่งใหญ่ล่มสลายลงภายในคืนเดียว
สาวกจำนวนนับไม่ถ้วนพากันหนีออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ฟาร์รีน่าได้รับคำสั่งให้ดูแลกองทัพพิพากษา แถมยังช่วยเขาออกมาจากฝูงผู้อพยพที่แห่หนีออกจากเมือง…ถ้าไม่เป็นเพราะมือข้างนั้น เกรงว่าเขาคงจะถูกผู้อพยพเหยียบจนตายแล้ว
วินาทีนั้นเอง เขาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ฟาร์รีน่าไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งสูงสุดในศาสนจักร เหนือเธอขึ้นไปยังมีมุขนายก แม่ทัพกองทัพพิพากษากับหัวหน้าระดับสูงในกองทัพ ดังนั้นพวกเขาจึงมอบหมายหน้าที่ให้เธอคอยปกป้องเมืองศักดิ์สิทธิ์หลังจากศาสนจักรพ่ายแพ้ในศึกสันเขาโคลด์วินด์ แทนที่จะบอกว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับฟาร์รีน่า ควรจะบอกว่าพวกเขาตัดหางปล่อยวัดเธอมากกว่า ทัคเกอร์ที่ถูกเลือกให้เป็นผู้รักษาการณ์พระสังฆราชเองก็เหมือนกัน ทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่อาจรักษาเมืองศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้แล้ว แต่ก็ไม่มีใครที่จะยอมรับผิดชอบในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการหาคนมาคอยรักษาสถานการณ์ภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ เพื่อที่ตัวเองจะได้มีเวลามากพอให้หนีไป ดังนั้นหญิงสาวอายุ 20 ปีคนหนึ่งจึงต้องกลายเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพพิพากษา ที่น่าตลกกว่านั้นก็คือเธอพยายามที่จะทำให้ระเบียบภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์ใหม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ผู้นำระดับสูงที่เหลืออยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นน้อยลงไปทุกที ภาพผู้คนหนีหายไปจนหมดภายในคืนเดียวกลายเป็นสิ่งที่เห็นอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งถึงวันที่เดือนแห่งปีศาจจบลง เมืองศักดิ์สิทธิ์เหลือทหารพิพากษาอยู่แค่ 500 นาย
เธอถูกคนเหล่านั้นทิ้งให้เป็นเครื่องสังเวยแก่โรแลนด์ วิมเบิลดันเพื่อซื้อเวลา
ฟาร์รีน่าไม่รู้เรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ?
ไม่ เธอรู้แต่แรกแล้วว่าหน้าที่นี้มันหมายความว่าอย่างไร
แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะทำมันอย่างไม่ลังเล แถมยังพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุดด้วย
เพียงเพราะว่าศาสนจักรรับเธอเข้ามาและเลี้ยงดูเธอจนถึงตอนนี้
ก็เหมือนกับที่เธอไม่เคยแก้แค้นตัวเขา แม้กระทั่งด่าซักคำก็ยังไม่เคย
เพียงเพราะว่าเขาให้เธอติดรถขึ้นมาด้วย
เมื่อเห็นภาพฟาร์รีน่าวิ่งไปมาจนเหงื่อท่วมตัวแล้วยืนตะโกนเสียงดังอยู่บนกำแพง โจรู้สึกว่าภายในใจเหมือนมีอะไรมากระทบ ภาพเธอเดินโซเซอยู่บนพื้นหิมะเมื่อตอนที่เขาเจอเธอครั้งแรกยังคงติดตาอยู่ เม็ดเหงื่อที่อยู่ตรงปลายจมูกส่องประกายเจิดจ้ากว่าอัญมณี
สำหรับโจแล้ว ศาสนจักรนั้นเป็นแค่สถานที่ที่ให้เขาได้ใช้หาประโยชน์ เขาควรจะหนีออกไปนานแล้ว แต่สุดท้ายเขากลับเลือกที่จะอยู่ต่อ
มันไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้า
ภายในใจเขาสาบานเอาไว้ว่าจะจงรักภักดีต่อฟาร์รีน่า
ไม่ใช่ความจงรักภักดีแบบสาวกเชื่อฟังผู้บังคับบัญชากองทัพพิพากษา
หากแต่เป็นความจงรักภักดีแบบอัศวินที่ติดตามคนที่ต้องการปกป้อง
เพราะเขารักเธอเข้าแล้ว
…………………………………………………………….