ปล่อยข้าเถอะ!

ชายวัยกลางคนสองเคราสีขาวดอกเลากำลังโบกมือด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน หนิงอวี้นิ่งอึ้ง ครั้นแล้วก็ดีใจจนแทบคลั่ง นางรีบเดินเข้ากลับเหลือเพียงความว่างเปล่า

 

 

“ท่านพ่อ?”

 

 

หนิงอวี้มองมือทั้งคู่ของตนอย่างเหม่อลอย หนิงจื้อหย่วนยิ้มดูเมตตาอยู่ไกลๆ

 

 

“อวี้เอ๋อร์ เจ้าฟังพ่อนะ”

 

 

“ไม่ต้องออกตามสืบเรื่องหนิงเฝ่ยแล้ว คอยใช้ชีวิตอยู่กับท่านอ๋องให้ดีเถิด”

 

 

หนิงอวี้พยักหน้าพลางร้องไห้ เงาร่างสีขาวนั้นค่อยลอยจากออกไป

 

 

“ท่านพ่อ อย่าไปนะเจ้าคะ!”

 

 

หนิงอวี้กรีดร้องหนึ่งเสียงแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นก็พบว่าหน้าผากตนเต็มไปด้วยเหงื่อ บนหน้าอกรู้สึกเจ็บหน่วงอยู่ลึกๆ

 

 

แสงเทียนถูกจุดขึ้น สาวใช้ยืนอยู่ข้างเตียง หนิงอวี้หันกายเข้าหาผนังเงียบๆ ท่านพ่อมาเข้าฝันนางหรือ หรือท่านพ่อจะกลับมาจริงๆ ไม่…เป็นไปไม่ได้ คำพูดนั้น! ท่านพ่อเคยพูดก่อนจากไป

 

 

ตอนนั้นนางตกตะลึงจนทำตัวไม่ถูกจึงไม่ได้ฟัง เอาแต่ร่ำไห้คร่ำครวญ ทั้งที่บิดาบอกกับนางไม่ให้ตามสืบเรื่องพี่ชาย คิดดูแล้วท่านคงจะรู้…ว่าท่านพี่คือมู่หรงเหยียน ผู้ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านต้องตายโดยอ้อม

 

 

——

 

 

“เมื่อวานแม่นางอารมณ์แปรปรวนรุนแรง จึงสิ้นสติไป กระหม่อมสั่งยาให้สงบอารมณ์แล้ว แต่ยานั้นมีพิษอยู่สามส่วน อย่างไรแม่นางก็ยังต้องพักผ่อนสงบจิตใจพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

มู่หรงเหยียนได้ฟังก็พยักหน้า สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก้าวเข้ามาแล้วยื่นเงินให้กับหมอแท่งหนึ่ง หมอคุกเข่ากับพื้นกล่าวขอบคุณแล้วแบกกล่องยาจากไป

 

 

เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป เสียงปิดประตูดังขึ้น ภายในห้องตกสู่ความเงียบงันอีกครั้ง มู่หรงเหยียนยืนเหม่ออยู่ชั่วครู่ แล้วผินกายตั้งใจจะเดินจากไปก็ได้ยินหนิงอวี้พูดขึ้นว่า “หนิงเฝ่ย”

 

 

มู่หรงเหยียนหยุดฝีเท้า แผ่นหลังสะดุ้งเหยียดตรงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าเหลียวกลับไปมอง

 

 

หนิงอวี้ยกถ้วยยาที่อยู่ด้านข้างขึ้นแล้วเป่าลมลงไปอย่างใจเย็น ไอขาวถูกเป่ากระจายไปเผยให้เห็นน้ำยาสีดำ

 

 

“เจ้าจำได้หรือไม่ ว่าเจ้าเคยบอกว่าจะคุ้มครองข้าชั่วชีวิต ไม่ให้ใครอื่นมารังแกข้าได้”

 

 

“จำได้สิ”

 

 

“เจ้ายังจำได้ไหมว่า เจ้าเคยบอกว่าหวังให้ข้ามีความสุขไร้ทุกข์กังวลชั่วชีวิต ไม่ต้องทุกข์ร้อนด้วยเรื่องอันใด”

 

 

มู่หรงเหยียนคะเนได้ว่านางต้องการจะพูดสิ่งใด เสียงในลำคอจึงเริ่มแหบพร่าขึ้นเล็กน้อย “จำได้สิ”

 

 

หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ แล้วดื่มน้ำยานั้นจนหมดในอึกเดียว ทั่วปากเต็มไปด้วยรสขมฝาด ทำให้นางรู้สึกคลื่นไส้ นางกลืนยาลงไปสีหน้านิ่งเฉยแล้วพูดขึ้นเสียงเบาด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ปล่อยข้าไปเถอะ”

 

 

มู่หรงเหยียนหันกายกลับ จ้องตรงมายังนางแล้วปฏิเสธกลับอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้”

 

 

หนิงอวี้ลืมตาทั้งคู่ขึ้นโดยพลันแล้วถามด้วยเสียงอันเบา “ข้าไม่เอาความเรื่องการตายของท่านพ่อแล้ว ไยเจ้าจึงดึงรั้งไม่ยอมวางมือเสียที”

 

 

เมื่อคืนนางนอนพลิกตัวไปมาอยู่นาน นางพบว่าท่านพ่อรู้แจ้งแต่แรกแล้ว วิทยายุทธ์ของหนิงเฝ่ยเป็นเขาที่สั่งสอน ท่านปะมือกับเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ทุกคำพูดของบิดาล้วนแต่สื่อว่าไม่ต้องไปตามหาเขา

 

 

อีกคำพูดหนึ่งของท่านพ่อก่อนสิ้นใจคือให้นางใช้ชีวิตร่วมกับท่านอ๋องด้วยดี นางคิด สิ่งที่นางทำได้คงมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น

 

 

ท่านพ่อมักจะกังวลให้นางเป็นฝั่งเป็นฝา หากนางสามารถร่วมเรียงเคียงข้างกับท่านอ๋อง บิดาที่ปรภพคงตายตาหลับ

 

 

นางไม่กล้าที่จะตามเอาเรื่องและไม่อยากติดตามแล้ว หวังเพียงให้เขาปล่อยให้นางจากไปเท่านั้น เห็นแก่ความผูกพันในอดีต ให้ทั้งสองฝ่ายได้มีทางหนีทีไล่ของตน เขาจะไม่ยินยอมเชียวหรือ

 

 

“ข้าไม่รู้”

 

 

หนิงอวี้ย่นคิ้วชำเลืองขึ้น ก็สบเข้ากับรอยยิ้มเจื่อนบนมุมปากของมู่หรงเหยียนเข้าพอดี

 

 

“ต่อให้เห็นแก่ความผูกพันในอดีต เจ้าก็ไม่ยอมปล่อยข้าไปเลยเชียวหรือ”

 

 

หนิงอวี้พูดเสียงเบา มือข้างที่ยกถ้วยยานั้นสั่นเทาอย่างห้ามมิได้

 

 

มู่หรงเหยียนส่ายหน้าช้าๆ อย่างหนักแน่น หนิงอวี้หัวเราะออกมาด้วยความโกรธแล้วพลิกมือปาถ้วยยากระแทกพื้น

 

 

มู่หรงเหยียนเห็นท่าทีโกรธเกรี้ยวของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะอยากเข้าไปปลอบประโลม ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หันกายกลับช้าๆ ขอโทษนะ ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ หากปล่อยเจ้าจากไป ใครจะช่วยให้ข้าหลุดพ้นเล่า