บทที่ 451 สงครามหรือสันติ?

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 451 สงครามหรือสันติ?

ภาพลักษณ์ของลั่วหยุนเดิมทีเขาเป็นเหมือนบัณฑิตที่อ่อนแอ

แม้ว่าจะมีเพียงดวงวิญญาณที่ยังเหลืออยู่ แต่ผู้คนทั่วไปก็ยังสามารถมองเห็นร่างของเขาได้ราวกับเขายังมีร่างกายปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เพราะด้วยวิชาที่เขาได้บ่มเพาะซึ่งก็คือ ‘พิรุณวายุแปดทิศ’

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เมื่อเขาได้ดูดซับพลังแห่งความอาฆาตและเจตจำนงแห่งการสังหารจากสนามรบแล้ว แม้ว่ารูปร่างภายนอกเขาจะยังคงดูเหมือนบัณฑิต แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากดวงวิญญาณของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจนมันกลายเป็นให้ความรู้สึกเหมือนกับเขาคือแม่ทัพที่โชกโชนสงคราม

ในขณะดียวกับที่ลั่วหยุนกำลังเริ่มเปลี่ยนดวงวิญญาณของเขา สีเป่ยเซียะและสีจิ้งหมิงก็มาถึงเมืองเจินไห่แล้วเช่นกัน

แน่นอนว่าทั้งสองมาพร้อมกองทัพและผู้เชี่ยวชาญของพวกเขาเองจำนวนหนึ่ง

หลังจากถึงเมืองเจินไห่ สีจิ้งหมิงเรียกจูหยงเฉียนให้มาเข้าพบทันที และถามว่า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

จูหยงเฉียนตอบด้วยความเคารพว่า “เรียนฝ่าบาท พวกเขาแจ้งว่าต้องการที่จะขอยืมใช้เส้นทางของเราเพื่อผ่านไปยังอาณาจักรมังกรทะยาน แต่กระหม่อมเองด้วยความกังวลจึงได้ปฏิเสธพวกเขาไป ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็หยุดรอฝ่าบาทอยู่นอกเมือง”

“ยืมทาง?” สีจิ้งหมิงขมวดคิ้ว

เขาไม่แน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงต้องการจะทำอะไร แต่เขารู้สึกว่าการกระทำของหลิงตู้ฉิงในครั้งนี้แปลกออกไป

จากนั้นสีจิ้งหมิงโบกมือให้จูหยงเฉียนออกไป และเรียกให้สายลับของเขาที่อยู่ในทะเลชางหมางเข้ามา

เมื่อได้ยินรายงานของสายลับ สีจิ้งหมิงก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น จากนั้นเขาก็ถามอย่างสงสัยว่า “นี่เจ้าพูดว่าอาณาจักรจันทราได้ทำลายอาณาจักรหลงซานไปแล้วงั้นเหรอ? แม้ว่าอาณาจักรหลงซานจะได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรมังกรทะยานด้วยผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญหลายร้อยคน พวกเขาก็ยังคงแพ้งั้นเหรอ?”

“ฝ่าบาท ข่าวที่เราได้รับมาเป็นความจริงแน่นอน!” สายลับโค้งคำนับและพูดต่อ “ส่วนรายละเอียดที่เกิดขึ้นในสนามรบนั้นพวกเราไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะด้วยตำแหน่งที่ตั้งฐานของเรานั้นค่อนข้างห่างไกลจากทั้งสองอาณาจักร กว่าที่เราจะได้ทราบข่าวนี้เวลาก็ผ่านไปกว่า 1 เดือนแล้วนับตั้งแต่การสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่ายปะทุขึ้น”

“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าทำไมทั้งสองฝ่ายถึงต่อสู้กัน?” สีเป่ยเซียะถาม

นางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่หลิงตู้ฉิงเคยพูดว่าเขามีลูกชายที่กำลังรวมทะเลชางหมาง เป็นไปได้ไหมว่าลูกชายคนนั้นของหลิงตู้ฉิงได้เริ่มแผนการรวมทะเลชางหมางให้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว?

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น นี่มันก็เร็วไปหน่อยไหมที่พวกเขาจะออกมาสู่ภายนอกเลยทั้ง ๆ ที่พึ่งจะเอาชนะอาณาจักรหลงซานได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ แถมยังครอบครองดินแดนทั้งหมดของทะเลชางหมางได้ไม่ครบเลยด้วยซ้ำ

แล้วส่วนที่แปลกที่สุดก็คือหลังจากที่พวกเขาออกมาแล้ว พวกเขากลับต้องการยืมเส้นทางจากอาณาจักรอี้จิ๋นของพวกนางเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรมังกรทะยาน

“กระหม่อมไม่ทราบ!” สายลับตอบด้วยสีหน้าอับอาย “แต่ตามที่กระหม่อมทราบก็มีเพียงอาณาจักรหลงซานเป็นผู้เริ่มสงครามก่อน ซึ่งในช่วงแรกเป็นฝ่ายอาณาจักรหลงซานที่ได้เปรียบถึงขนาดแทบจะบุกเข้าไปถึงเกาะเทียนหยวน ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรจันทราได้แล้ว แต่หลังจากนั้นจู่ ๆ สถานการณ์ก็พลิกกลับกลายเป็นว่าอาณาจักรหลงซานถูกตีโต้กลายเป็นผู้พ่ายแพ้ย่อยยับจนสิ้นซาก จนแม้แต่ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในทะเลชางหมางต่างรู้สึกตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของอาณาจักรจันทรา”

“มันต้องเป็นเพราะเขาแน่นอน!” สีเป่ยเซียะพยักหน้าอย่างหนักแน่นทันที

เนื่องจากที่นางเคยเห็นวิธีการอันพิสดารมากมายของหลิงตู้ฉิงมาหลายอย่างแล้ว ดังนั้นหากจะมีใครที่พลิกสถานการณ์กลับได้เช่นนี้มันก็จะต้องเป็นเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

สีจิ้งหมิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “อืม ถ้านับจากเรื่องของเขาที่ท่านเล่าให้ข้าฟังบ่อย ๆ มันก็คงมีความเป็นไปได้เดียวนั่นก็คือเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแน่นอน เอาล่ะในเมื่อเขาเชิญเราไปพบ ข้าก็ต้องไปดูสักหน่อยว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ เอาล่ะเจ้าออกไปได้แล้ว!”

หลังจากที่สายลับจากไป สีจิ้งหมิงก็พูดกับสีเป่ยเซียะว่า “พี่ใหญ่ พรุ่งนี้ท่านต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างให้ดี แม้ว่าเขากับท่านจะคุ้นเคยกัน แต่เราก็ยังต้องระวังตัวเองหากจะไปพบเขา”

“ไม่จำเป็น” สีเป่ยเซียะส่ายหัว “ข้ารู้จักเขามานานกว่าสิบปีแล้ว ดังนั้นข้าจึงรู้นิสัยของเขาดี ยิ่งไปกว่านั้นเราเป็นศิษย์ของสำนักเบญจธาตุ ถ้าเราไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะพบเจอกับคนคนเดียวแล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? นอกจากนี้เรายังมีอาวุธระดับจักรพรรดิอยู่กับเรา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดที่เรามีแล้ว หากทั้งหมดนี้ไม่สามารถปกป้องเราได้ ต่อให้เราจะเตรียมการไปมากเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์”

สีจิ้งหมิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าพี่สาวของเขาค่อนข้างไว้วางใจในนิสัยของหลิงตู้ฉิง แต่เขาก็จำเป็นต้องคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งเมื่อเขาคิด ๆ ไปแล้วว่าด้วยการปกป้องของอาวุธระดับจักรพรรดิ พวกเขาคงไม่น่าจะมีอันตรายมากนัก แน่นอนว่าถ้าอาวุธระดับจักรพรรดิและโองการจักรพรรดิพวกเขามีอยู่นั้นไร้ประโยชน์อย่างที่พี่สาวของเขาพูดไว้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเตรียมการมากเท่าไหร่มันก็ไม่มีประโยชน์ เว้นแต่เขาจะเรียกผู้อาวุโสของสำนักมา

“ไปแจ้งหลิงตู้ฉิงว่าเราตกลงที่จะพบกับเขา และขอให้เขามาคุยกับเราในเมือง!” สีจิ้งหมิงสั่งจูหยงเฉียน

ที่เขาสั่งเช่นนี้นั้นเป็นเพราะเขาคือ จักรพรรดิของอาณาจักรอี้จิ๋น เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเป็นฝ่ายไปขอเข้าพบกับฝั่งตรงข้าม

จูหยงเฉียนที่ได้รับคำสั่งก็ลุกขึ้นยืนและออกจากเมืองเจินไห่ทันที จากนั้นเขาก็ส่งคำสั่งของสีจิ้งหมิงไปยังคนของหลิงตู้ฉิง

ส่วนทางด้านของหลิงตู้ฉิงนั้นไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อย เขาเอาแต่มองไปที่ลั่วหยุนที่น่าจะอีกไม่นานก็คงดูดซับพลังจากลูกปัดเสร็จ ซึ่งเขาเองไม่ได้คิดจะเข้าไปในเมืองอยู่แล้วหากลั่วหยุนยังคงดูดซับลูกปัดอยู่แบบนี้

อันที่จริงสำหรับหลิงตู้ฉิงนั้น การเข้าเมืองสำหรับเขานั้นง่ายมาก ไม่ว่าอาณาจักรอี้จิ๋นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่การรอให้ลั่วหยุนดูดซับพลังจากลูกปัดและเปลี่ยนดวงวิญญาณของเขานั้นมีความสำคัญมากกว่าในตอนนี้

แต่ในระหว่างที่สีจิ้งหมิงและสีเป่ยเซียะยังไม่ได้รับการตอบรับจากหลิงตู้ฉิงสักที คิ้วของพวกเขาก็เริ่มขมวดแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ

พวกเขายอมพบด้วยแล้ว แต่ฝั่งตรงข้ามกลับทำเป็นไม่สนใจแบบนี้ดีไง?

“ข้าจะไปพบเขาเอง!” สีเป่ยเซียะพูดขึ้นด้วยสีหน้าทนไม่ไหว

“เย็นไว้ท่านพี่…” สีจิ้งหมิงรีบหยุดนาง

“ข้าได้รับการคุ้มครองจากโองการจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังคงเป็นหนี้บุญคุณข้า ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่ทำอะไรข้า!” สีเป่ยเซียะตะโกนขึ้น

สีจิ้งหมิงที่เห็นสีหน้าอันแน่วแน่ของพี่สาวของเขา เขาก็ได้แต่ถอนหายใจและมอบอาวุธระดับจักรพรรดิของตนเองให้กับสีเป่ยเซียะ และพูดว่า “ท่านจงนำมันไปปกป้องตัวเอง!”

สีเป่ยเซียะครุ่นคิดเล็กน้อย และตัดสินใจที่จะนำอาวุธระดับจักรพรรดิติดตัวไปด้วย หลังจากนั้นนางก็พาหยูเอ๋อ สาวใช้ของนางออกจากเมืองเจินไห่

สำหรับสีจิ้งหมิง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดก็ได้ขึ้นไปอยู่บนเชิงกำแพงเมืองเจินไห่ เพื่อเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วหากมีสิ่งใดผิดปกติพวกเขาจะโจมตีทันที

สีเป่ยเซียะที่ออกมานอกเมืองเจินไห่แล้ว เมื่อนางเห็นเสี่ยวเยว่เฟิง นางจึงรีบตะโกนถามขึ้นทันที “เฟิง ท่านหลิงอยู่ที่ไหน?”

เสี่ยวเยว่เฟิงรีบตอบกลับทันที เมื่อนางเห็นว่าเป็นสีเป่ยเซียะที่ตะโกนขึ้นถามนาง “เอ๊? แม่นางสีตอนนี้นายท่านอยู่ในรถม้า ข้าขอตัวเข้าไปรายงานให้เขาทราบก่อนว่าท่านมา…เอ่อ…แม่นางสี นายท่านของข้าเชิญให้ท่านเข้าไปด้านในได้เลย”

ก่อนที่เสี่ยวเยว่เฟิงจะได้พูดจบประโยค นางก็ได้รับข้อความเสียงทางโทรจิตจากหลิงตู้ฉิงอนุญาตให้สีเป่ยเซียะเข้าไปในรถม้า

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีเป่ยเซียะก็พยักหน้าและนำหยูเอ๋อเข้าไปในรถม้า

นางเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนักบุญ ดังนั้นนางจึงไม่กลัวอาณาเขตสวรรค์เทียมที่อยู่ในรถม้า เนื่องจากมันไม่มีอำนาจพอจะผนึกนาง

เมื่อเข้าไปด้านใน เย่ชิงเฉิงก็ทักทายทันที “คารวะ พี่หญิง!”

“เอ๊ะ นี่เจ้าก็อยู่ด้วยงั้นเหรอ? ว่าแต่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่?” สีเป่ยเซียะตอบกลับเย่ชิงเฉิง จากนั้นนางก็หันหน้าไปมองหาหลิงตู้ฉิงและบังเอิญเห็นลั่วหยุนที่กำลังดูดซับพลังจากลูกปัดประหลาด ๆ อยู่ “เอ่อ…นี่คือ…”

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ลั่วหยุนกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนกลายเป็น วิญญาณสงคราม ดังนั้นตอนนี้ข้ายังไม่สามารถไปไหนได้!”

เมื่อได้ยินเพียงแค่นั้น สีเป่ยเซียะก็รู้แล้วว่าทำไมหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ถึงไม่เข้าไปในเมืองทั้งที่พวกเขาได้รับคำเชิญ

“ผู้อาวุโสลั่วกำลังจะกลายเป็นวิญญาณสงคราม?” สีเป่ยเซียะถามอย่างสงสัย

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “หลังจากที่เขาเปลี่ยนเป็นวิญญาณสงครามได้สำเร็จเมื่อไหร่ เขาจะสามารถโจมตีได้ตามต้องการ ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่เขาจะใช้พลังในส่วนเดียวกับที่เขาต้องคงเหลือไว้หล่อเลี้ยงดวงวิญญาณเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่รอดในขณะที่โจมตี อันที่จริงเรื่องของเขาเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เรามาพูดกันเรื่องของเจ้าก่อนดีกว่า ตกลงแล้วพวกเจ้าเลือกอะไร?”

“พวกเราเลือกอะไร?” สีเป่ยเซียะถามขึ้นอย่างสับสน

“ไม่ใช่ว่าข้าเคยบอกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอ? เกี่ยวกับเรื่องที่คนของเจ้าที่อยู่ในทะเลชางหมางต้องยอมจำนนต่อลูกชายของข้า” หลิงตู้ฉิงจ้องไปที่สีเป่ยเซียะ “ยิ่งไปกว่านั้นอีกไม่นานเมื่อลูกชายของข้ารวบรวมทะเลชางหมางได้สำเร็จแล้ว เขาจะต้องขยายดินแดนออกมาสู่โลกภายนอกแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นอาณาจักรอี้จิ๋นของเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร? ในเมื่อตอนนี้ไหน ๆ เราก็มาอยู่ที่นี่กันแล้ว ข้าขอฟังการตัดสินใจของเจ้าเลยก็แล้วกันว่าเจ้าจะเลือกยังไงกันแน่?”