เป็นเรื่องจริงที่หมูป่ามีทฤษฎีในการสู้รบยอดเยี่ยม เมื่อพวกมันพุ่งเข้ามาก็ยากจะต้านทานพละกำลังไว้ได้ แต่กลับสู้ฝูงหมาป่าไม่ได้ เพราะฝูงหมาป่ามีกลยุทธ์ร่วมมือสอดประสานกัน ไม่ให้พวกมันโจมตีง่ายๆ แน่นอน
ในขณะที่สุนัขล่าสัตว์ผ่านการฝึกสอนมาแล้วกลับเอาชนะหมูป่าไม่ได้ แต่ก็พอจะไล่หมูป่าออกมาจากที่ซ่อนตัวได้ แล้วให้นักล่าสัตว์จัดการหมูป่า
หมูป่าฝูงนี้ถูกฝูงหมาป่าไล่จนเหนื่อย แถมยังรำคาญคลื่นเสียงความถี่สูงที่คอยรบกวนนี้อีก โกรธจนตาเขียวปั้ดแล้ว คิดแต่จะตามหาผู้สร้างเสียงน่ารำคาญ และใช้เขี้ยวแทงเข้ารูเล็กๆ สองรูของมัน
หมูป่าตัวผู้หัวโจกที่น้ำหนักถึงสี่ร้อยกิโลกรัมเป็นราชาหมูป่าของป่านี้ ตัดเจ้าไข่ออกมาแล้วได้ประมาณห้ากิโลกรัม กลิ่นอายฮอร์โมนเพศชายมากเกินจนเกิดอารมณ์ฉุนเฉียว หมูป่าตัวมหึมาแบบนี้ แม้แต่คนล่าสัตว์ยังเมิน เพราะเจ้าไข่ของมันส่งกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้เนื้อไม่อร่อย
มันวิ่งนำฝูงหมูป่าหลบหนีจากการตามของฝูงหมาป่าจนหนักใจ พอเร่งความเร็วขึ้นก็ชนต้นไม้ ตอนนี้มาถึงชายทะเลที่มีต้นไม้ค่อนข้างบางตา ความเร็วของพวกมันเพิ่มขึ้นเหมือนบิน พูดอย่างไม่เกินจริง ถึงรถเก๋งจอดอยู่ข้างหน้าคันหนึ่ง มันก็ใช้หัวดันให้คว่ำไปได้
มันวิ่งไปด้วย ร้องเสียงดังวี๊ดๆ ไปด้วย เพื่อระบายความโกรธที่อยู่ในอก
แต่หมูป่ามีสายตาย่ำแย่มาก โดยเฉพาะการมองเห็นในสภาพสงบเงียบ พวกมันลืมตาอยู่ก็จริง แต่ทำได้แค่มองเห็นแสงไฟสว่างรางๆ ในที่ไกลออกไป บริเวณแสงไฟมีกลิ่นหอมสดชื่นของธัญพืชโชยมา
โครม!
หมูป่าสายตาสั้นมองไม่เห็นต้นไม้ต้นใหญ่ตรงหน้า จึงชนเข้าอย่างจัง แต่มันมักจะชอบเอาไหล่หนาๆ ไปถูกับต้นไม้แก้คัน พอครั้งนี้ชนเข้ากับลำต้นอย่างแรงก็ไม่รู้สึกเจ็บ ถึงอย่างไรก็โมโหมากกว่า แรงเยอะจนพอจะทำให้ต้นไม้ต้นนี้หักโค่นแล้ว
หมูป่าตัวผู้ร้องอย่างภาคภูมิใจ รู้สึกราวกับตัวเองเป็นหนึ่งในใต้หล้า
ตอนนี้มันกลับรู้สึกได้ว่าบนหลังมีบางสิ่งขยับได้ตกลงมาใส่หลัง ของสิ่งนี้มีชีวิต แถมยังใช้กรงเล็บแหลมเกี่ยวขนตรงกระดูกสันหลังไม่ให้ตกลงไป
นั่นคือแมวตัวหนึ่ง เมื่อครู่มันหมอบหลบอยู่บนต้นไม้ หลังจากต้นไม้ถูกชนหักก็ตกลงมาบนหลังของหมูป่าพอดี
คอของหมูป่าตัวผู้มีเนื้อหนามาก ย่อมหันคอไม่ได้ ถึงหมุนตัวก็มองไม่เห็นว่าอะไรอยู่บนหลังตัวเอง แต่จากกลิ่นของมันก็รู้ว่าเป็นบ๊อบแคทหรือเสือภูเขา เพราะสัตว์ประเภทแมวมีอยู่แค่สองสายพันธุ์ในป่านี้
น้ำหนักและร่างกายของแมวบ้าน บ๊อบแคท และเสือภูเขามีความแตกต่างกัน อยู่ต่อหน้าราชาหมูป่าหนักสี่ร้อยกิโลกรัมตัวนี้แล้วไม่ต่างกัน และมันที่โกรธจนตาเขียว โดนแบบนี้เข้าก็พร้อมระเบิดเต็มที
ฝูงหมาป่าจะยังไงก็ช่าง แต่เสือภูเขาจิ๊บจ๊อยกล้าขุดดินบนหัวไท้ส่วยเอี๊ยเหรอ?
มันรู้ว่ารูปแบบการจู่โจมของสัตว์ประเภทแมวคือกระโดดใส่หลังแล้วกัดคอ แน่นอนว่ามันไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำได้สำเร็จ ดังนั้นมันจึงวิ่งเร็วอย่างบ้าคลั่ง พุ่งทำลายรั้ว เหยียบย่ำธัญพืชในทุ่งนาจนเละตุ้มเป๊ะ สุดท้ายก็ชนผนังบ้านไม้หลังหนึ่ง รุนแรงจนบ้านไม้พังทลายไปครึ่งหนึ่ง และแมวบนหลังของมันก็ถูกสะบัดกระเด็นไปด้วย
ผู้คนในบ้านมองหน้าหมูป่าตัวใหญ่อย่างงุนงง หลังจากได้สติกลับมาแล้ว ก็ตกใจจนร้องตะโกนเสียงดัง วิ่งหนีกระเจิงกันออกมาทางกำแพงที่แตกออก
จากนั้นหมูป่าตัวอื่นก็ใช้หัวชนเข้ามาให้หมู่บ้านอย่างฮึกเหิม พวกมันไม่รู้ว่าทำไมต้องพุ่งเข้ามา แต่อย่างไรก็เสร็จสิ้นไปได้อย่างสบายใจ
พวกหมูป่าพุ่งชนหมู่บ้านไปทั่ว ไม่มีใครขวางและไม่มีใครกล้าขวางด้วย
ตั้งแต่หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นมา ก็ไม่เคยเกิดเหตุวุ่นวายใหญ่โตแบบนี้มาก่อน
แต่นี่เพิ่งเริ่มต้น อีกนานถึงจะจบสิ้น
เสียงเพลงความถี่สูงของเซฮวายังคงแผ่กระจายอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เกินกว่าขอบเขตการได้ยินของหูคนไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้คุมและชาวบ้านที่เหลือจึงรู้สึกสงบลงทันที แต่อาการคลื่นไส้และสายตาพร่าเลือนกลับทวีความรุนแรงขึ้น ถึงขนาดรู้สึกได้ว่าเลือดไหลจากขมับ รู้สึกเจ็บตุบๆ
นี่ก็คือเสียงไพเราะยากจะได้ยินที่ว่า ‘เสียงที่ดังที่สุดก็คือเสียงที่ไม่ได้ยิน’
เปรี๊ยะ
เพล้ง
กระจกหน้าต่างของบ้านไม้หลังหนึ่งเกิดรอยแตกเล็กๆ เส้นหนึ่ง จากนั้นก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับใยแมงมุม เหมือนมือล่องหนข้างหนึ่งสลักต้นไม้ไร้ใบบนกระจก สุดท้ายก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงดังเพล้ง
สำหรับกระจกหินควอตซ์ ความถี่เสียงเกินสองหมื่นเฮิร์ทซ์ก็เกิดการสั่นสะเทือนแล้ว นักร้องเสียงเทอร์เนอร์และโซปราโนจำนวนน้อยถึงจะทำได้ใกล้เคียงกับระดับนั้น ระดับที่แก้วไวน์หรือกระจกบางๆ แตกได้ แต่จากชายหาดถึงหมู่บ้าน เสียงที่สั่นสะเทือนกระจกให้แตกได้ในระยะทางไกลขนาดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้แน่นอน
ไม่ใช่แค่หน้าต่างบานนี้ หน้าต่างทุกบานในหมู่บ้านกำลังแตกกระจาย ราวกับโรคระบาดที่แพร่กระจายมาถึงเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องกระเบื้องเคลือบ
ผู้คนที่สายตาพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ต่างก็มองด้วยความหวาดกลัว ทั้งที่ไม่ได้เกิดแผ่นดินไหว แต่น้ำในแก้วและหม้อกลับกระเพื่อมเป็นชั้นๆ ราวกับตั้งอยู่ในเตาไมโครเวฟ
พวกเขาไม่แน่ใจแล้วว่านี่เป็นจินตนาการหรือเรื่องจริง รู้แค่ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป สมองของทุกคนคงจะต้องถูกต้มสุกแน่ๆ
ไม่รู้ว่าใครก้าวขาวิ่งก่อน อาจจะเป็นชาวนา หรืออาจจะเป็นผู้คุม คลื่นเสียงความถี่สูงใกล้เคียงกับคลื่นไมโครเวฟทำให้สมองที่ถูกล้างสมองของพวกเขากลับสู่สภาพเดิม อาศัยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดมาขับเคลื่อนร่างกาย และสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดบอกพวกเขาว่า…วิ่งเร็ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่ตายลูกเดียว
พอมีคนหนึ่งวิ่งนำ คนอื่นๆ ก็เฮโลวิ่งออกไปนอกหมู่บ้านทันที ในหัวของพวกเขาเติมอะไรไปไม่ได้อีกแล้ว มีแค่คำเดียวคือ ‘วิ่ง’
ผู้คุมจำนวนน้อยที่จิตใจแข็งแกร่ง หรือถูกล้างสมองมามากต่างก็พยายามขัดขวางเพื่อนร่วมงานที่กำลังหนี ถึงขนาดยกปืนเทเซอร์ขู่ด้วย แต่ไม่นานก็ถูกคลื่นชาวบ้านและหมูป่าพุ่งเข้าชน จนล้มและถูกเหยียบซ้ำอยู่หลายครั้ง
ความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ไม่อาจหยุดยั้งอะไรได้อีกแล้ว ถ้านี่เป็นสถานที่ที่มีประชากรรวมกันหนาแน่นกว่านี้ อย่างเช่น สนามกีฬา ก็คงจะเกิดโศกนาฏกรรมเหยียบย่ำกันเป็นวงกว้างแล้ว
อีกสามทิศทางนอกเหนือจากวิ่งไปทางชายหาด ผู้คนต่างก็วิ่งหน้าตั้งเข้าไปในป่า วิ่งมั่วจนไม่สนอะไรทั้งสิ้น
กระทั่งวิ่งจนหายใจไม่ทัน วิ่งไม่ไหวแล้วจริงๆ คนจำนวนหนึ่งถึงจะหยุดลง จับต้นไม้หอบหายใจเหมือนกับใกล้ตาย ก่อนจะหันหลังไปมองพร้อมใบหน้าตกใจกลัว
พวกเขาวิ่งมานานมากแล้ว คิดว่าตัวเองวิ่งออกมาไกลทีเดียว แต่อยู่ในป่ามืดๆ แล้วยังมองเห็นแสงไฟบนเนินเขาเล็กได้เพียงรางๆ
เสียงน่ากลัวนั่นหยุดแล้วเหรอ?
เนื่องจากต่อมาไม่ได้ยินเสียงแล้ว พวกเขาจึงตัดสินไม่ได้ว่าเสียงหยุดแล้วหรือยัง แผนการตัดสินเพียงอย่างเดียวก็คือวิ่งกลับไปลองดูด้วยตาตัวเอง…แต่ใครจะยอมทำแบบนั้นกันล่ะ
ยังมีอีกหลายคนที่เหลือแรงเยอะ พวกเขาวิ่งเข้าไปในป่าลึกรวดเดียว แม้แต่แสงไฟก็มองไม่เห็นแล้ว บนท้องฟ้าไร้แสงจันทร์ รอบด้านมืดมิด แม้แต่ทิศทางก็ยังไม่รู้ แล้วจะกลับไปอีกเหรอ? คงทำได้แค่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้หรือก่อกองไฟหลบหลีกสัตว์ป่า แล้วถึงกลางวันค่อยคิดหาทาง