บทที่ 424.1 โลกมนุษย์เดินช้าๆ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ฮูหยินเซียวหลวนยืนนิ่งอึ้งอยู่นอกประตู เนิ่นนานก็ยังไม่จากไป ในขณะที่นางกำลังลังเลว่าควรจะเคาะประตูอีกครั้งดีหรือไม่ หันหน้ากลับไปก็เห็นผู้เฒ่าหลังค่อมที่ไม่สะดุดตาคนนั้น

ตอนที่เดินอยู่บนระเบียงมุ่งหน้าไปร่วมงานเลี้ยงที่โถงเซวี่ยหมาง ฮูหยินเซียวหลวนเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการสังเกตสีหน้าและท่าทางของผู้คน ตอนที่เห็นคนผู้นี้เป็นครั้งแรก ดูจากลมหายใจที่ทอดยาว เสียงฝีเท้าที่สัมผัสกับพื้นอย่างเต็มเท้าก็เห็นได้ชัดว่าเขาอำพรางตัวเองอย่างลึกล้ำ ถึงขนาดจงใจรักษาตบะวิถีวรยุทธขอบเขตห้าเอาไว้ตลอดเวลา แต่ครั้งนี้ที่ผู้เฒ่ามาปรากฎตัวอยู่บนชั้นสี่อย่างเงียบเชียบกลับเผยลักษณะของวิถีวรยุทธที่คล้ายคลึงกับซุนเติงเซียน

เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นคนประเภทที่มีความคิดและกลอุบายลึกซึ้งแยบยล

ฮูหยินเซียวหลวนแค่มองออกว่าผู้ติดตามเฒ่าคนนี้คือปรมาจารย์ที่มีวรยุทธสูงกว่าซุนเติงเซียน แต่จะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองแล้วหรือไม่ เท้าทั้งสองเริ่มก้าวไปบนขั้นบันไดของการหลอมจิตของขอบเขตปลายทางวิถีวรยุทธแล้วหรือไม่ นางกลับมองไม่ออก

มองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งก็หมายความว่าเซียวหลวนต้องระวังคนผู้นี้ไว้ให้ดี

รอยยิ้มของผู้เฒ่าเกือบจะทำให้ขนทั่วร่างของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ลุกพอง ถ้อยคำที่เขาเอ่ยก็ยิ่งทำให้นางครั่นเนื้อครั่นตัว “ฮูหยินเซียวหลวนกินน้ำแกงประตูปิดของนายน้อยข้าหรือ? อย่าเก็บไปใส่ใจเลย นายน้อยของข้าก็เป็นอย่างนี้แหละ หาใช่ตั้งใจเป็นปฏิปักษ์กับฮูหยินไม่”

ฮูหยินเซียวหลวนใคร่ครวญหาคำพูดอยู่พักหนึ่งก็ยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ท่านผู้เฒ่า คืนนี้จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา ท่านเองก็รู้ว่าข้าคือองค์เทพแห่งสายน้ำ แน่นอนว่าต้องรู้สึกชิดใกล้เป็นพิเศษ กว่าจะสลายฤทธิ์สุราไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงคิดจะใช้โอกาสนี้มาเที่ยวชมตำหนักจื่อชี่ยามค่ำคืน บังเอิญเห็นคุณชายของท่านฝึกหมัดอยู่บนระเบียงชั้นบนนี่พอดี เดิมทีข้านึกว่าคุณชายเฉินเป็นผู้ฝึกตน คือเซียนกระบี่น้อยที่มีอนาคตยาวไกลท่านหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าปณิธานหมัดของคุณชายเฉินจะเยี่ยมยุทธถึงเพียงนี้ ไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์ในยุทธภพท่านใดของแคว้นหวงถิงพวกเราเลย ด้วยความใคร่รู้ก็เลยละลาบละล้วงมาเยือนที่นี่ เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเอง”

จูเหลี่ยนกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “ไม่บุ่มบ่ามๆ ใต้หล้านี้มีแต่บุรุษมุทะลุเท่านั้นที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น บุ่มบ่ามล่วงเกินสาวงาม แต่ไม่ว่าสาวงามจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็ล้วนไม่บุ่มบ่ามทั้งสิ้น!”

ฮูหยินเซียวหลวนไม่อยากจะพัวพันอยู่กับคนผู้นี้ต่ออีก เรื่องในคืนนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องจบลงอย่างค้างคา จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่

อีกอย่างคิดว่านางไม่รู้จักละอายบ้างเลยหรือ? องค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของแม่น้ำใหญ่ลำดับที่สามแคว้นหวงถิง เมื่อเทียบกับองค์เทพห้าขุนเขาของแคว้นก็ไม่เป็นรองสักเท่าไหร่ หากไม่เป็นเพราะอู๋อี้และจวนจื่อหยางมีอำนาจยิ่งใหญ่เกินไป อีกทั้งวันนี้ยังเป็นผู้คุมสถานการณ์ใหญ่ สวามิภักดิ์กับราชวงศ์ต้าหลี หาไม่แล้วหากเปลี่ยนให้เซียวหลวนไปอยู่ในงานเลี้ยงใดก็ตามของแคว้นหวงถิงก็ล้วนต้องได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นที่เฉินผิงอันได้รับในค่ำคืนนี้

ดังนั้นนางจึงพูดจาตามมารยาทไปสองสามคำ แล้วเตรียมจะผละจากไป

มาเยือนจวนจื่อหยางแห่งนี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย วันนี้เมื่อไปจากหอเก็บสมบัติแห่งนี้แล้วก็ยังมีเรื่องปวดหัวรอนางอยู่อีกเช่นกัน

จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ขอฮูหยินโปรดรอสักครู่”

ในใจเซียวหลวนลุกโชนไปด้วยโทสะ เพียงแต่ภายนอกยังคงวางท่าสุขุมเยือกเย็น กล่าวอย่างกังขา “ท่านผู้เฒ่ามีธุระอะไรหรือ? หากไม่รีบร้อน พรุ่งนี้ค่อยไปคุยกับข้าก็ได้”

จูเหลี่ยนยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบก “ท่านผู้เฒ่าอะไรกัน เมื่อเทียบกับกาลเวลาอันยาวนานในชีวิตของฮูหยินเซียวหลวนแล้ว ข้าก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่หน้าแก่คนหนึ่งเท่านั้น ฮูหยินเซียวหลวนเรียกข้าว่าเสี่ยวจูก็ได้ จูจากประโยคผมสีกาน้ำ พวงแก้มแดงปลั่ง หมึกดำชาดแดงน่ะ (จูของชื่อจูเหลี่ยนแปลว่าสีแดง/สีชาด) ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรหรอก เพียงแต่ตอนอยู่โถงเซวี่ยหมาง ข้าน้อยไม่มีความกล้าจะดื่มสุราคารวะฮูหยิน ตอนนี้ค่ำมืดดึกดื่น ไม่มีคนนอกพอ จึงเกิดอารมณ์อยากออกมาเที่ยวเล่นจวนจื่อหยางไม่ต่างจากฮูหยิน ไม่ทราบว่าฮูหยินคิดเห็นเช่นไร?”

เซียวหลวนรู้สึกพะอืดพะอมยิ่งกว่าตอนดื่มสุราเจียวเฒ่าน้ำลายสอสี่ไหเสียอีก

นางยังคงคลี่ยิ้มส่งมาให้ “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้ายังต้องออกจากจวนจื่อหยาง ย้อนกลับไปยังแม่น้ำป๋ายกู่ ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนให้เร็วสักหน่อย หวังว่าท่านจะให้อภัย”

จูเหลี่ยนกลับก้าวยาวๆ ออกไปเบื้องหน้าแล้ว “ย่อมต้องให้อภัยฮูหยินอยู่แล้ว! ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ข้าได้คุ้มครองฮูหยินไปส่งที่พัก ฮูหยินกลับไปคนเดียว ข้าไม่วางใจจริงๆ ฮูหยินมีรูปโฉมงดงาม แม้จะบอกว่ามีมาดน่าเกรงขามของสุดยอดสาวงามผู้มากความสามารถ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าต่อให้พวกผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางที่ลาดตระเวนแค่มองฮูหยินนานหน่อย ข้าก็เจ็บปวดใจแทบแย่แล้ว ไม่ได้ๆ ฮูหยินไม่ต้องกลัวว่าข้าจะลำบากหรอก ข้าจะต้องไปส่งฮูหยินให้จงได้!”

เซียวหลวนยิ้มรับ ด้วยความสามารถในการวางตัวของนางก็ยังเกือบจะอดไม่ไหวชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย

นางหมุนตัวกลับทันที ทั้งไม่ปฏิเสธและไม่ได้รับปาก ทะยานวูบออกไปจากหอเรือน เรือนกายอรชรที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งแจ่มชัดพลันกลายร่างเป็นสายรุ้งที่พุ่งออกไป หากเจ้ามีปัญญาก็ตามมาให้ทันแล้วกัน

คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วพริบตาจูเหลี่ยนจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายนาง ทะยานลมไปพร้อมกันกับนาง!

จิตใจเซียวหลวนสั่นสะเทือน เกือบจะพลัดตกลงมาบนพื้น

ขอบเขตเดินทางไกล!

เจ้าเฒ่าหื่นกามผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตแปดเชียวหรือ?!

บุคคลอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ในยุทธภพของแคว้นหวงถิงมาสี่สิบกว่าปีก็ยังเป็นแค่ขอบเขตร่างทองเท่านั้น

จูเหลี่ยนที่อยู่ข้างฮูหยินเซียวหลวนกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าอ่านเจอจากหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่ง บอกว่าเผ่าพันธ์เจียวหลงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำ หากเกิดความรักขึ้นมาก็จะมีฝนหวานน้ำค้างฉ่ำชื้นโปรยลงมาบนโลกมนุษย์ ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ?”

ฮูหยินเซียวหลวนทั้งอับอายและแค้นเคืองอย่างถึงที่สุด เกลียดคนที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นั้นยิ่งนัก และยิ่งอยากจะตบเจ้าเฒ่าลามกผู้นี้ให้หัวทิ่มลงไปยังก้นแม่น้ำป๋ายกู่ จากนั้นนางจะค่อยๆ สาวเอาดวงวิญญาณของคนผู้นี้ออกมา ขมวดให้กลายเป็นไส้ตะเกียงหลายๆ เส้น แล้วเอาตะเกียงที่ทำเสร็จแล้วแขวนไว้สูง จุดให้จวนน้ำของนางสว่างไสวเรืองรอง!

จูเหลี่ยนยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ได้เที่ยวชมจวนจื่อหยางยามค่ำคืนร่วมกับฮูหยินเซียวหลวน ช่างเป็นเรื่องที่น่าปิติยินดียิ่งนัก พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าฮูหยินจะหัวเราะเยาะ ข้าเสี่ยวจูชอบเขียนบันทึกท่องเที่ยว บันทึกเรื่องประหลาดและคนมหัศจรรย์ที่พบเจอท่ามกลางพันภูเขาหมื่นสายน้ำมากที่สุด คิดมาตลอดว่าวันใดวันหนึ่งจะจัดพิมพ์บันทึกท่องเที่ยวเล่มนี้ ข้ารู้สึกว่าเรื่องในคืนนี้ที่ข้าโชคดีได้ท่องเที่ยวเคียงคู่อยู่กับฮูหยิน ก็ต้องเขียนบรรยายไว้ในบันทึกท่องเที่ยวเล่มนั้นสักหน่อย รอให้รวมเล่มจัดพิมพ์เมื่อไหร่ ข้าจะต้องเอาไปมอบให้ฮูหยินเล่มหนึ่งถึงจวนเลยล่ะ!”

ฮูหยินเซียวหลวนโมโหจนกัดฟันกรอดๆ เป็นเหตุให้ลมหายใจไม่มั่นคง หน้าอกจึงกระเพื่อมขึ้นลง อีกทั้งเดิมทีอาภรณ์บนร่างที่นางรู้สึกว่าร้อนแรงเกินไปตัวนี้ก็ถูกคนผู้นั้นทิ้งไว้ บังคับให้นางสวมใส่

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองทัศนียภาพอันงดงามตระการตาที่ราวกับว่าฟ้าดินอยู่ใกล้ในระยะประชิดแล้วรีบหันหน้ากลับไปมองทางลำคลองเถี่ยเชวี่ยนอย่างว่องไว พูดด้วยเสียงอันดังว่า “ทัศนียภาพช่างงดงามนัก!”

……

จูเหลี่ยนกลับไปยังที่พักในชั้นสองของหอเรือนนานแล้ว

ในห้องของหอเก็บสมบัติ เฉินผิงอันไม่รู้สึกง่วงอีกแล้ว เขาจึงลุกขึ้นมาจุดตะเกียง เริ่มอ่านหนังสือ อ่านไปได้พักหนึ่งก็พูดขึ้นอย่างคนที่หวาดผวาไม่คลาย “ในนิยายจอมยุทธเล่มหนึ่งกล่าวไว้ว่าอย่างไรแล้วนะ วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงาม? เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ช่าง…ช่างไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเกินไปแล้ว! ตอนอยู่ที่โถงเซวี่ยหมางข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าด้วยความหวังดี มีอย่างที่ไหนที่เจ้าจะมาเล่นงานข้าเช่นนี้! เคยได้ยินแต่ประโยคว่าผู้มีคุณธรรมไม่มีความแค้นชั่วข้ามคืน ต้องสะสางกันภายในคืนนั้นเลย แต่เจ้ากลับดีนัก ตอบแทนบุญคุณคนอื่นเช่นนี้หรือ? มารดามันเถอะ หากไม่เพราะกังวลว่าจูเหลี่ยนจะเข้าใจผิดคิดว่าข้าร้อนตัว ตบเจ้าทีหนึ่งยังเบาไปเลย…หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ใช่ว่าในกางเกงข้าเต็มไปด้วยดินเหลือง ไม่ใช่ขี้ แต่คนอื่นก็มองว่าข้าขี้หรอกหรือ?”

เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก บ่นพึมพำพลางสบถด่าเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นั้นไม่หยุด

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ได้แต่หาข้ออ้างมาปลอบใจตัวเอง “เดินทางท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัว ถือว่าไม่เสียเที่ยว นี่หากเปลี่ยนมาเป็นเมื่อก่อน ไม่แน่ว่าข้าอาจเปิดประตูให้นางเข้ามาในห้องอย่างโง่งมไปแล้ว”

เมื่อจิตใจเริ่มสงบลง เฉินผิงอันก็เริ่มรวบรวมสมาธิอ่านหนังสือ นั่นคือคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่ง ตอนนั้นเขายืมตำรามาจากหอเก็บหนังสือของสำนักศึกษาซานหยามาหกเล่ม ไม่ว่าจะเป็นตำราของลัทธิขงจื๊อ พุทธ เต๋า สำนักนิติธรรมหรือสำนักโม่ก็ล้วนมีครบหมด เจ้าขุนเขาเหมาบอกว่าไม่ต้องรีบร้อนส่งคืน เมื่อใดที่เขาเฉินผิงอันทำความเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วค่อยส่งกลับคืนมายังสำนักศึกษาก็ยังไม่สาย

เฉินผิงอันพลันปิดหน้าหนังสือ เดินออกมาจากห้อง มาหยุดอยู่ตรงราวรั้วของระเบียง

เหตุการณ์ราบรื่นเกินไปย่อมไม่ปกติ

ฝนนอกหอเรือนหยุดตกแล้ว ม่านราตรีดำมืด

เฉินผิงอันยื่นมือมาจับราวระเบียง เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือล้วนเต็มไปด้วยน้ำฝนที่หลังจากแตกกระจายแล้วก็มารวมกันเป็นหนึ่ง จึงรู้สึกเย็นเล็กน้อย

เฉินผิงอันแบฝ่ามือออก ก้มหน้าลงมอง

เขากระโดดขึ้นไปบนราวระเบียงแล้วเดินช้าๆ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล มองไปยังลำคลองเถี่ยเชวี่ยนนอกจวนจื่อหยาง และนอกลำคลองก็มีขุนเขาเขียว

ตอนนี้เขาอยู่ในแคว้นหวงถิง ในจวนจื่อหยาง ในหอเก็บสมบัติสูงชั้นของตำหนักจื่อชี่ อยู่บนราวระเบียงใต้ชายคา

ความคิดล่องลอยไปไกล

เฉินผิงอันคิดถึงการเดินทางไปเยือนแคว้นชิงหลวนก่อนหน้านี้แล้วได้ยินชาวบ้านในพื้นที่ที่มากินอาหารในเหลาสุราพูดถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋า นึกถึงเรื่องเล่าที่บอกว่ามีภิกษุยืนกางร่มอยู่ข้างนอก บัณฑิตหลบฝนอยู่ใต้ชายคา

หากระหว่างที่เดินทางมีฝนตก ย่อมต้องหาชายคาให้หลบฝนเป็นธรรมดา

แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ในเรือนหลังเล็กของป้อมอินทรีบิน ลู่ไถเคยทอดถอนใจบอกว่า ความน่าเสียดายบนโลกมนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่สามคำว่า ‘รั้งไว้ไม่อยู่’ ถ้อยคำที่ออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจก็เป็นแค่ประโยคหนึ่งที่กล่าวกับแต่ละทัศนียภาพ แต่ละบุคคลว่าให้เดินช้าๆ

 ลู่ไถยังพูดอีกว่า ยากนักที่พวกเราจะรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวความทุกข์ยากมากมายในโลกมนุษย์เหมือนได้ประสบพบเจอกับตัวเองอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อความยากลำบากเกิดขึ้นกับใครเข้าจริงๆ ไม่ว่าใครก็ล้วนรับมือไม่ทันทั้งสิ้น

เดินช้าๆ

ช้า

เจ้าลัทธิผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า นักพรตผู้เฒ่าไร้นามที่ใช้ความหลากหลายของสรรพสิ่งในพื้นที่มงคลดอกบัวมาพิศดูมรรคา ผู้ที่มีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้า เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถควบคุมแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัวไว้ได้ สามารถทำให้มันเร็ว ทำให้มันช้า ทำให้มันหยุดนิ่งไม่เดินหน้า

ทว่ากระแสแห่งแม่น้ำกาลเวลาของสี่ใต้หล้า อย่าว่าแต่ควบคุมเลย คิดจะไปขวางมันไว้ ว่ากันว่าแม้แต่มรรคาจารย์เต๋าก็ยังทำไม่ได้ เป็นเหตุให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่พิศสายน้ำเคยบรรลุธรรมจึงกล่าวว่า กาลเวลาไหลรินไม่หยุดนิ่งดั่งสายน้ำ จากไปแล้วไม่หวนกลับมา

ชุยตงซานเคยบอกว่าตระกูลเซียนบนภูเขาและนครทั้งหลายในโลกมนุษย์ล้วนมีความลี้ลับ รวมถึงสงครามและความรู้ของเมธีร้อยสำนักที่ต่างก็เกี่ยวพันกับความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลา คือสิ่งที่เหล่าอริยะหวังจะเปลี่ยนวิธีการมาทำให้มันช้าลง

อริยะสามลัทธิที่ยืนอยู่สูงขนาดนั้น มองเห็นได้กว้างไกลขนาดนั้น เหตุใดถึงยืนกรานจะทำให้มันช้าลงให้ได้?

ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ศาสดาพุทธ มรรคาจารย์เต๋า ในสายตาของอริยะผู้บุกเบิกฟ้าดินทั้งสามท่านนี้ พวกเขามองเห็นอะไรกันแน่? ถึงต้องให้โลกมนุษย์ของใต้หล้าทั้งสามแห่ง ‘เดินช้าๆ’?

ครั้งแรกที่เดินทางไปถึงแคว้นหวงถิงพร้อมกับชุยตงซาน มีครั้งหนึ่งตอนที่อยู่บนยอดเขา ชุยตงซานฝึกวิชาหมัดเป็นเพื่อนเขาและเคยพูดด้วยรอยยิ้มว่า ยามที่กงล้อแห่งประวัติศาสตร์เคลื่อนไปเบื้องหน้า ย่อมต้องบดขยี้ดอกไม้ใบหญ้าไปมากมาย

นี่ไม่ใช่คำพูดไร้เมตตาของผู้ที่มีจิตใจของกษัตริย์ แต่เป็นถ้อยคำจากความเศร้าอาดูรของผู้รอบรู้แห่งแผ่นดินกลางท่านหนึ่ง บัณฑิตคนนั้นหวังให้ผู้มีอำนาจทุกคน หรือไม่ก็บุคคลยิ่งใหญ่ที่ตอนนั้นนั่งอยู่บนรถม้าคันนั้นซึ่งได้เห็นประโยคนี้ จะก้มหน้าลงมองต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกบดจนเละสักครั้ง

วิถีทางโลกค่อยๆ ดีขึ้น ต้องเป็นกังวลด้วยหรือ? ขอแค่มันเปลี่ยนไปดีขึ้น ทิศทางถูกต้อง ต่อให้ช้าแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกังวล

หากวิถีทางโลกเปลี่ยนไปเป็นแย่ยิ่งกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นล้อรถแห่งประวัติศาสตร์เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว บดขยี้ต้นไม้ใบหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนไปตลอดทาง ต่อให้มีคนอยากจะก้มหน้าลงมองก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเห็นได้ชัดเจน

แล้วจะชดเชยอย่างไร?

ดังนั้นถึงต้องให้ช้าลงอีกหน่อย?

เพราะหากเดินไปอย่างเชื่องช้า ต่อให้เดินแยกไปบนมหามรรคาที่ผิดและเริ่มทำพลาด ก็หมายความว่ายังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงแก้ไขใช่หรือไม่? หรือไม่ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ก็จะลดน้อยลงไปอีกหน่อย?

—–