ตอนที่ 722 ดื่มชา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 722 ดื่มชา

“นี่มันบ้าเกินไปแล้ว ! ”

แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังคาดมิถึงเลยว่าผู้คนในยุคสมัยนี้จะมีการตอบรับต่อการซื้อขายหุ้นอย่างกระตือรือร้นมากยิ่งนัก

แม้ราษฎรคนธรรมดาจะมีเงินอยู่ในมือมิมากเท่าใดนัก แต่ทว่าก็มีข้อได้เปรียบที่จำนวนคน !

1 ตำลึงต่อ 1 หุ้น เมื่อทุกคนซื้อ 30 – 50 ตำลึง ดังนั้นเมืองว่อเฟิงที่ปัจจุบันมีราษฎรเกือบหนึ่งล้านคนจึงสามารถรวบรวมเงินลงทุนได้มากกว่า 30 – 50 ล้านตำลึง… ราวกับพวกเขามิรู้ว่าหุ้นก็มีโอกาสราคาตกได้เช่นกัน แม้ทางธนาคารซื่อทงจะเขียนเตือนเอาไว้ตัวใหญ่ ๆ แล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังเลือกที่จะปิดหูปิดตาแล้วเชื่อว่า… เมื่อใดที่ซื้อหุ้นเมื่อนั้นย่อมกอบโกยผลกำไรได้

มิรู้ว่าพวกเขาไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด ถึงได้กล้าถือหุ้นเอาไว้ในมือมิปล่อย จนเป็นเหตุให้การขยับตัวของราคาหุ้นในตลาดทุกตัวลดน้อยลง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นทุกคนก็ยังคาดหวังที่จะเห็นราคาของหุ้นขยับสูงขึ้น

“นี่ย่อมมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน ! ”

“เพราะเหตุใดจึงมิใช่เรื่องดีเล่าขอรับ ? ” หยุนซีเหยียนเอ่ยถาม

เนื่องจากหยุนซีเหยียนเห็นว่าเรื่องหุ้นส่วนพวกนั้นเป็นดั่งสวรรค์บันดาล !

บรรดาเจ้าของธุรกิจสามารถรวบรวมเงินทุนได้ในจำนวนท่วมท้น ส่วนคนธรรมดาทั่วไปก็ได้รับผลกำไรใหญ่โตจากตลาดหุ้น นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดและไร้วิธีใดที่สามารถให้ผลดีต่อทั้งสองฝ่ายมากถึงเพียงนี้อีกแล้ว แต่เหตุใดติ้งอันป๋อถึงบอกว่ามิใช่เรื่องดีไปได้เล่า ?

“พวกเจ้าจงคิดเอาเถิดว่า 1 หุ้นราคา 1 ตำลึง ตอนนี้ราคาได้โตขึ้นถึง 6 ตำลึงแล้ว พวกเจ้าว่าเงินส่วนที่เกินมา 5 ตำลึงนี้มาจากที่ใด ? ”

“เรียนใต้เท้า ก็ย่อมมาจากการซื้อขายเยี่ยงไรเล่าขอรับ ! ”

“ใช่ ! ถ้าเช่นนั้นข้าใคร่ถามเจ้าว่าคนที่ซื้อหุ้นตอนราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 6 ตำลึงมาไว้ในมือ หากเขาต้องการผลกำไร ดังนั้นเขาจะต้องขายตอนที่ราคาสูงกว่า 6 ตำลึงใช่หรือไม่ ? ”

หยุนซีเหยียนพยักหน้าตอบรับ

“แล้วถ้าไร้ผู้ใดมาซื้อหุ้นต่อจากเขาเล่า ? ”

หยุนซีเหยียนผงะ จริงด้วย ! หากมิมีผู้ใดมาซื้อต่อ ตลาดหุ้นย่อมซบเซาลงอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้วผู้ถือหุ้นในราคาสูงก็จะต้องยอมขายขาดทุนจนย่อยยับใช่หรือไม่ ?

“นอกเสียจากว่าบริษัทที่เขาถือหุ้นอยู่จะสามารถกอบโกยผลกำไรได้อย่างมหาศาล ! หลังจากที่บริษัทเหล่านี้สร้างมูลค่าได้เพียงพอแล้ว พวกเขาถึงจะได้รับเงินปันผล… ในตอนนี้ปัญหาที่ข้าเอ่ยถึงยังมิปรากฏขึ้นมาให้เห็น หรือแม้แต่ในช่วงสามถึงห้าปีข้างหน้าก็ย่อมมิใช่เรื่องใหญ่ เพราะนี่เป็นช่วงขาขึ้นทางเศรษฐกิจของราชวงศ์หยู”

หยุนซีเหยียนเข้าใจความหมายของคำเอ่ยนี้ดี หากว่าเศรษฐกิจของราชวงศ์หยูหยุดนิ่งและตกต่ำลงเมื่อใดล่ะก็…เกรงว่าทุกอย่างจะพังไม่เป็นท่า

“ติ้งอันป๋อ เรื่องนี้จะแก้ปัญหาได้เยี่ยงไรหรือขอรับ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้มเล็กน้อย “ยังมิต้องจัดการในตอนนี้หรอก”

“เพราะเหตุใดหรือขอรับ ? ”

“หากไร้มนุษย์ไปข้องเกี่ยว ตลาดย่อมมีความสามารถในการปรับตัวด้วยตัวของมันเอง ปล่อยให้ราคาหุ้นในตลาดตกเสียบ้างย่อมมีประโยชน์อย่างล้นหลาม เพราะอย่างน้อยก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจของราชวงศ์หยูมีแนวโน้มที่ดี จริงอยู่ที่ตอนนี้ผู้คนยังเข้ามาซื้อหุ้นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ถ้าหากลองมองให้ไกลขึ้นอีกสักนิด…เจ้าจะเห็นว่ามันก็คือตัวพยากรณ์ทิศทางเศรษฐกิจนั่นเอง”

หยุนซีเหยียนมิเข้าใจและฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้ขยายความเพิ่มเติม อีกทั้งยังเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นเสียอย่างนั้น “เรื่องที่ข้าให้เจ้าเชิญผู้นำจากตระกูลชั้นสูงมาเยือนเมืองว่อเฟิง เจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง ? ”

“จัดการเรียบร้อยเเล้วขอรับ และนี่คือรายชื่อของบรรดาแขกผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ท่านลองดูเถิด ข้าน้อยได้จองหอซื่อฟางไว้เรียบร้อยแล้ว งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นในช่วงค่ำของวันนี้ขอรับ”

“ดี ! เจ้าจงแจ้งท่านผู้ว่าหนิงให้เขาติดตามข้าไปในคืนนี้ด้วย… ตอนนี้ผู้อาวุโสประจำตระกูลหนิงและตระกูลจินสองตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่แห่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เรียนใต้เท้า ทั้งสองท่านกำลังดื่มชาอยู่ที่หอน้ำชาป้านสุ่ยขอรับ”

“…จงไปเชิญผู้อาวุโสประจำตระกูลหนิงมาพบข้าตอนนี้ ข้าจะรออยู่ที่จวนด้านหลัง จงบอกเขาว่า…ข้าเชิญมาร่วมดื่มชา ! ”

……

……

เหล่าผู้ดีตระกูลเก่าแก่ของแคว้นอี๋ทั่วทุกหนแห่งในว่อเฟิงเต้า มีด้วยกันทั้งสิ้นสี่ร้อยแปดสิบกว่าคน

ในทั้งหมดนั้นมีตระกูลที่มีสมาชิกจำนวนมากถึงหลักหมื่นอยู่เพียงแค่ 30 ตระกูลเท่านั้น โดยมีตระกูลหนิง ตระกูลจิน และตระกูลจาง ซึ่งเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในชิงโจว และมีตระกูลเว่ยกับตระกูลโหยวเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฉีโจว

บัดนี้ผู้อาวุโสทั้งห้าตระกูลใหญ่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่หอน้ำชาป้านสุ่ย สีหน้าของแต่ละคนสุดแสนจะเคร่งขรึม

ผู้อาวุโสประจำตระกูลหนิงนามว่าหนิงลี่รุ่นกำลังลูบเคราขาวของตนเพื่อทลายความอึมครึมของสถานที่แห่งนี้

“พวกท่านและข้าล้วนมีตระกูลใหญ่โตจนเป็นเหตุให้ต้องปักหลักที่ว่อเฟิงเต้าต่อไป เมื่อติ้งอันป๋อมาถึงก็ได้เปลี่ยนสถานะของพวกเราเป็นชาวหยูทันที… และข้าก็คาดมิถึงเอาเสียเลยว่า เขาจะเชิญพวกเรามาเยือนเมืองว่อเฟิงเพื่อถกเถียงการเมืองใต้แสงจันทรา”

หนิงลี่รุ่นแสยะยิ้มจนเห็นฟัน “ข้าเห็นว่าติ้งอันป๋อผู้นี้ประสงค์จะใช้อำนาจเพื่อสร้างบารมีข่มพวกเรา ! ”

จินซานเซิ่งผู้อาวุโสประจำตระกูลจินพยักหน้าเล็กน้อย “ก่อนมาเยือนในครานี้ ข้าได้เรียกคนในตระกูลมารวมตัวกันเพื่อหารือ เห็นว่าติ้งอันป๋อคงมิประทุษร้ายแก่พวกเราหรอก เพราะแท้ที่จริงแล้วว่อเฟิงเต้ามีชาวอี๋อาศัยอยู่มากถึง 3 ล้านคน สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือเขาต้องการดึงพวกเราเข้าเป็นพวก คงประสงค์จะให้ว่อเฟิงเต้ามีเสถียรภาพ และพวกเราในฐานะผู้อาวุโสประจำตระกูลก็เป็นบุคคลสำคัญที่จะทำให้ว่อเฟิงเต้าเกิดความเสถียรภาพขึ้นมาได้”

“จากความเห็นของคนในตระกูลจิน…หมายความว่าการเคลื่อนไหวของเขามิได้นำมาซึ่งผลร้ายใช่หรือไม่ ? ”

“ท่านเว่ยได้โปรดวางใจเถิด การเคลื่อนไหวของเขาในครานี้มีความเป็นไปได้สูง ว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ปะทะกันที่อำเภอหนิงซาน” เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ จินซานเซิ่งก็หันไปมองจางผิงจวี่ผู้อาวุโสประจำตระกูลจางทันที “ตระกูลจางเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในย่านหงเย่ ท่านคงรู้ถึงเหตุการณ์ปะทะอย่างแจ่มชัดกว่าผู้ใดในที่นี้”

จางผิงจวี่หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันใด “ชาวหยูข่มเหงข้า แล้วพวกท่านจะยอมถูกพวกเขาข่มเหงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ในระหว่างที่เอ่ยไม้เท้าในมือของเขาก็กระแทกลงกับพื้นหนึ่งครา “ติ้งอันป๋อเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน จะมีความอดทนอดกลั้นมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ข้ามิเชื่อหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขารับสตรีมาเป็นขุนนางประจำหนิงซาน… พวกท่านเคยพบพานขุนนางสตรีท่านนั้นหรือไม่ ? สตรีเยี่ยงนางน่ะหรือจะสามารถควบคุมคนได้ ? ข้าพบนางคราใด ข้ายังต้องทำความเคารพตามธรรมเนียม โดยที่นางมิได้ยำเกรงเลยว่าอายุขัยของนางจะสั้นลง ! ”

อีก 4 คนที่เหลือได้หันไปมองจางผิงจวี่เป็นตาเดียว จากนั้นผู้อาวุโสตระกูลเว่ยแห่งฉีโจวก็ได้กล่าวเชิงตำหนิว่า “ผู้อาวุโสตระกูลจางได้โปรดระวังวาจา ! ”

“พวกท่านทั้งหลายกลัวฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ? แต่ข้ามิกลัวเขาหรอก ! เขาจะกล้าทำอันไรข้ากัน ? หากเขากล้าแม้แต่ทำให้ขนของข้าร่วงเพียงเส้นเดียว ข้าขอรับประกันเลยว่าชิงโจวจะมิสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้เป็นแน่ ! ”

หนิงลี่รุ่นแสร้งกระแอมสองครา บุตรชายของจางผิงจวี่ทั้งสามเดิมทีก็เป็นขุนนางประจำว่อเฟิงหยวน แต่ทว่าหลังจากที่ว่อเฟิงหยวนถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งมณฑลของราชวงศ์หยู ฐานะขุนนางของพวกเขาจึงได้จบสิ้นลง แต่พวกเขามิได้หนีไปอยู่ในดินแดนของแคว้นอี๋ พวกเขาเลือกที่จะอยู่ในถิ่นกำเนิดดั้งเดิมแทน ได้ยินมาว่าทุกวันนี้พวกเขาประกอบธุรกิจค้าขายอยู่ที่หนิงซาน

“ผู้อาวุโสตระกูลจาง ท่านอย่าดูแคลนติ้งอันป๋อผู้นี้เลย ถึงตัวเขาจะเป็นคนหนุ่มเลือดร้อนแต่ทว่าก็สามารถแย่งชิงผืนปฐพีนี้มาจากพระหัตถ์ขององค์รัชทายาทได้ ! ข้าอายุอานามมากแล้วย่อมปรารถนาเพียงดินแดนที่สงบสุขเท่านั้น”

“ผู้อาวุโสตระกูลหนิง ข้าได้ยินมาว่าตระกูลหนิงลงทุนปลูกหม่อนเลี้ยงหนอนไหมที่อำเภอเว่ยหยวน เกรงว่าท่านจะลงหลักปักฐานได้แล้วจึงใช้ชีวิตกันอย่างขลาดเขลา ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนท่าน…มิได้เป็นเช่นนี้นี่”

หนิงลี่รุ่นเดือดดาลขึ้นมาในทันใด “จางผิงจวี่ ท่านอาศัยอยู่ที่อำเภอหนิงซานส่วนข้าอยู่ที่อำเภอเว่ยหยวน พวกเราต่างก็มิได้ข้องเกี่ยวซึ่งกันและกัน หากท่านเห็นว่าตนสามารถข่มเหงติ้งอันป๋อได้ก็จงยืนหยัดต่อไปเถิด แต่อย่าเอาข้าเข้าไปร่วมแผนการโสมมของท่านเลย ! ”

จางผิงจวี่หัวเราะเสียงดังลั่น เขาส่ายศีรษะพร้อมด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “พวกท่านทั้งหลาย นี่เพิ่งผ่านไปเท่าใดกันเอง ? พวกท่านลืมสิ้นแล้วหรือว่าตนเองเป็นชาวอี๋ ! และยังเป็นจนถึงทุกวันนี้ด้วย ! ”

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยออกมาเช่นนั้น ผู้อาวุโสทั้งสี่ท่านที่เหลือต่างก็หน้าถอดสีในทันที

ทั้งสี่ล้วนมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป บ้างเห็นว่าคำเอ่ยของจางผิงจวี่มีเหตุผล บ้างก็เห็นว่าเจ้าหมอนี่สมองมิปกติ

ในระหว่างที่ความเงียบงันได้ปกคลุมสถานที่แห่งนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ทำเอาทุกคนตกอกตกใจเสียจนขวัญกระเจิง จากนั้นหยุนซีเหยียนก็ก้าวฉับ ๆ เข้ามา

เขายกมือขึ้นคารวะต่อหนิงลี่รุ่นแล้วเอ่ยว่า “ติ้งอันป๋อประสงค์จะเรียนเชิญท่านผู้อาวุโสตระกูลหนิงไปร่วมดื่มชาที่จวนขอรับ ! ”