ตอนที่ 566 ตายหรือรอด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อร่างวิญญาณของผู้นำฝ่ายมารหายวับไป การต่อสู้ในลานจัตุรัสก็หยุดชะงักไปทันที

ฝ่ายมารไม่มีจอมยุทธ์ในขอบเขตนภาเซียนอีกต่อไปในขณะที่หานโม่ฉือยังคงยืนผงาดอย่างสงบนิ่ง ทุกคนตระหนักดีว่าหากยังดึงดันสู้ต่อไป ฝ่ายมารจะต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“เหอะ ต่อให้แผนการในวันนี้จะล้มเหลวไป ทว่าเราจะได้พบกันอีกในอนาคต !”

ผู้อาวุโสลั่วแค่นเสียงเย็นชาก่อนขยิบตาส่งสัญญาณให้สมาชิกฝ่ายมารและพวกเขาถอนกำลังไปในทิศทางที่แตกต่างกันทันที

สมาชิกฝ่ายมารมากกว่าครึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ และเมื่อได้รับสัญญาณจากผู้อาวุโส พวกเขาก็หลบหนีออกไปทันทีและไม่คิดว่าฝ่ายของฉินอวี้โม่จะไล่ตามได้ทัน

“เหอะ พวกเจ้าคิดว่าจะหนีไปได้งั้นรึ ?”

พลั่ก ! พลั่ก !

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มอย่างเยือกเย็นจนน่าขนลุก จากนั้นทุกคนที่พยายามหลบหนีก็กระแทกเข้ากับกำแพงบางอย่างและล้มลงไปอย่างแรง

สีหน้าของผู้อาวุโสลั่วบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาคาดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ หากทราบมาก่อนว่าจะลงเอยด้วยความล้มเหลว พวกเขาก็คงไม่คิดใช้แผนสำรองอย่างแน่นอน

“ต้องยอมรับเลยว่าพวกเจ้าแข็งแกร่งทีเดียว อย่างไรก็ตาม… หากพวกเราทั้งหมดระเบิดตัวเองด้วยกัน เกรงว่าเจ้าคงไม่อยากเห็นความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจงปล่อยพวกข้าไปจะดีกว่า”

แม้ในเวลานี้ ผู้อาวุโสลั่วก็ยังคงกล่าววาจาข่มขู่ฉินอวี้โม่เช่นเดิม เขาไม่คิดว่าฉินอวี้โม่จะยอมให้พวกเขาระเบิดตัวเองดังที่กล่าวออกไป เนื่องจากฝ่ายดินแดนเทพมายารวมตัวกันอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก หากพวกเขาระเบิดตัวเองพร้อมกัน มันจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างซึ่งมีระยะรัศมีกว่าหลายร้อยลี้ และผลลัพธ์ที่เลวร้ายเช่นนั้นมิใช่สิ่งที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะยอมรับได้อย่างแน่นอน

“ช่างโง่เขลาจริง ๆ จนถึงตอนนี้แล้วยังกล้าข่มขู่พวกเราอีกรึ ?!”

เพ่ยหลงจ้องหน้าผู้อาวุโสลั่วอย่างดูหมิ่นเหยียดหยาม

เป็นไปได้อย่างไรที่จะข่มขู่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ? ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้อีกฝ่ายคิดจะระเบิดตัวเอง พวกเขาก็ไม่มีทางได้รับโอกาสนั้น

“คิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีโอกาสระเบิดตัวเองอย่างนั้นหรือ ?”

ขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น แรงกดดันจากร่างของหานโม่ฉือก็แผ่ออกไปอย่างแรงกล้าอีกครั้ง

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว ทุกคนจากฝ่ายมารก็ถึงกับแข้งขาอ่อนและเข่าทรุดลงบนพื้นตาม ๆ กัน พวกเขาไม่สามารถควบคุมพลังในร่างกายได้อีกต่อไปและไม่สามารถพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการระเบิดตัวเอง

สีหน้าผู้อาวุโสลั่วจากฝ่ายมารก็หม่นหมองอย่างยิ่ง แววตาที่เขาจ้องตรงไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ความสงบนิ่งใจเย็นที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง เจ้าตัวประหลาดทั้งสองคนนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก !

“ว่านเจียง…ไม่คิดเลยว่านครหมื่นอสูรของเจ้าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฝ่ายมาร”

เมื่อหันไปมองว่านเจียงที่มีสีหน้ากังวลจนแทบเหงื่อตก ฉินอวี้โม่ก็กล่าวอย่างเย้ยหยัน นางไม่คิดที่จะสังหารคนอย่างว่านเจียง ถึงอย่างไรแล้วการปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ก็มีประโยชน์มากกว่า

“ท่านเทพมายาโปรดเมตตาพวกเราเถิด พวกเราก็ถูกฝ่ายมารข่มขู่มาเช่นกัน”

ว่านเจียงถือเป็นคนที่มีไหวพริบดีพอสมควร เมื่อเข้าตาจนเช่นนี้ เขาก็ไม่ห่วงศักดิ์ศรีของตนอีกต่อไปและคุกเข่าลงเพื่ออ้อนวอนขอความเมตตาทันที

เขายังไม่ต้องการทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ตราบใดที่ยังมีแสงแห่งความหวัง ไม่ว่าจะริบหรี่เพียงใด เขาก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

“ข่มขู่งั้นรึ ?”

เมื่อได้ยินคำกล่าวอ้างและสีหน้าจริงจังของว่านเจียง ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“เจ้าก็ฉลาดดีนี่ คิดหาข้ออ้างได้รวดเร็วจริงเชียว”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และสีหน้าเรียบเฉยของนาง ว่านเจียงก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่านางคิดจะทำสิ่งใดต่อไปและเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรอก แต่หากว่าเจ้ายังต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป จงเอาข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาแลก หากข้าพิจารณาว่ามันมีมูลค่ามากพอ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”

หานโม่ฉือโบกมือเบา ๆ และเก้าอี้ตัวหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า จากนั้นเขาก็โอบแขนรอบฉินอวี้โม่และนั่งลง อากัปกิริยาของเขาแสดงถึงความรักที่มีต่อฉินอวี้โม่อย่างไม่ปิดบัง

ฉินอวี้โม่เอนกายพิงอ้อมแขนอบอุ่นของบุรุษคนรักและใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสุขใจ นางไม่สนใจสายตาสนอกสนใจของผู้คนรอบตัวที่มองมาเลยสักนิด

ทุกคนก็มองหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่พูดอะไรไม่ออก ทั้งสองทิ้งตัวนั่งลงแอบอิงเคียงกันอย่างสบาย ๆ โดยไม่สนใจสายตาหรือสถานการณ์ตรงหน้า

“ท่านเทพมายา ข้ารู้ความลับที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของนครหมื่นอสูร ตราบใดที่ท่านให้คำมั่นว่าจะปล่อยให้ข้าไป ข้าก็จะบอกความลับนั้นให้ท่านได้ทราบ”

ว่านเจียงนึกบางอย่างขึ้นมาได้และพยายามเจรจาต่อรอง เขาต้องการมีชีวิตรอดกลับไปและทราบดีว่ามีบางอย่างที่ต้องแลก บังเอิญเหลือเกินที่เขาเคยทราบความลับของนครหมื่นอสูร และหากเปิดเผยความลับนั้นกับฉินอวี้โม่ในตอนนี้ เขาก็อาจรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้

“เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อรองอะไรทั้งสิ้น”

หานโม่ฉือกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “บอกความลับที่เจ้ารู้มาเดี๋ยวนี้ หากพวกข้าพอใจ เจ้าก็จะได้มีชีวิตกลับไป”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ตั้งม่านป้องกันรอบตัวทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยิน ‘ความลับ’ และบทสนทนาของพวกเขา นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ ตัวเขาและว่านเจียง

ว่านเจียงลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม “เท่าที่ข้ารู้ นครหมื่นอสูรของเรามีความสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมโยงกับเผ่าอสูรและมีการร่วมมือกันระหว่างผู้นำของเราและผู้นำของเผ่าอสูร ข้าไม่ทราบแน่ชัดว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องใด ทว่าข้ารับประกันได้ว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของเผ่าอสูรเป็นแน่ !”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็รอให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือตอบสนอง อย่างไรก็ตาม ราวกับทั้งสองไม่ได้ยินสิ่งใดและไม่มีความผันผวนด้านอารมณ์แต่อย่างใดซึ่งนั่นทำให้เขาเริ่มประหม่าขึ้นมา

แม้ฉินอวี้โม่จะยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย ทว่านางก็กำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายในใจ ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างนครหมื่นอสูรและเผ่าอสูรซึ่งนางไม่ทราบมาก่อน

จากที่นางเคยได้ยินมา กล่าวกันว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าอสูรไม่มีการติดต่อกันมานานหลายปีและความสัมพันธ์ก็ไม่เป็นมิตรต่อกันนัก ทว่าทั้งสองขุมกำลังกลับมีการเชื่อมโยงต่อกันและมันยังเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของเผ่าอสูร สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซิวยังคงอยู่ในสภาวะเก็บตัว นอกจากสามารถใช้เพลิงแห่งชีวิตของมันได้ตามต้องการ ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีหนทางติดต่อกันมันได้เลย มิฉะนั้นนางคงสอบถามเรื่องนี้จากอสูรมายาประจำตัวไปแล้ว

หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบา ๆ

“เอาล่ะ แม้ว่าข่าวเรื่องนี้จะเป็นข่าวที่ไม่เลวทีเดียว ทว่ามันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า”

สีหน้าของว่านเจียงเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นี่คือความลับเดียวที่เขามีและมันเป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนครหมื่นอสูร หากฉินอวี้โม่ไม่พึงพอใจ มันก็มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะต้องตายอยู่ที่นี่

“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเจ้าจะจริงใจทีเดียว ทิ้งสมบัติของเจ้าไว้และไสหัวออกไปซะ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ หากไม่ถือโอกาสนี้เอาคืนให้สาสม นางก็คงมิใช่ฉินอวี้โม่ตัวจริง

ในที่สุดว่านเจียงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เขาไม่รอช้าและรีบปลดของมีค่าทั้งหมดจากร่างกายตนเองเก็บลงในแหวนมิติก่อนยื่นให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยท่าทางนอบน้อม

ฉินอวี้โม่ไม่ได้ตรวจดูสิ่งของข้างในด้วยซ้ำและเพียงโบกมือเพื่อให้ว่านเจียงออกไป

เมื่อรอดพ้นจากหายนะได้แล้ว ว่านเจียงก็หายไปจากตรงหน้าทุกคนอย่างรวดเร็ว

เมื่อบรรดาศิษย์ของนครหมื่นอสูรเห็นว่านเจียงจากไปเพียงลำพังและทิ้งพวกเขาไว้เผชิญกับชะตากรรมต่อไป พวกเขาก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้

“ในเมื่อหัวหน้าของพวกเจ้าไปแล้ว พวกเจ้าก็ไปเถอะ ดูเหมือนว่านครหมื่นอสูรและฝ่ายมารจะร่วมมือกันและพยายามจะทำอะไรบางอย่างกับดินแดนเทพมายาของเรา หากพวกเจ้ายังพอมีหัวคิดกันอยู่บ้างก็คิดให้ดีว่าจะทำอย่างไรต่อไป”

ฉินอวี้โม่ไม่คิดที่จะสร้างปัญหาให้ศิษย์ทั่วไปเหล่านี้ต้องลำบากใจ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขายังคงดื้อรั้นและเลือกเป็นศิษย์ของนครหมื่นอสูรต่อไป เมื่อได้พบกันในครั้งหน้า ฉินอวี้โม่จะสังหารพวกเขาให้สิ้นซากด้วยตัวเอง

“ขอบพระคุณท่านเทพมายา”

คนเหล่านั้นโค้งคำนับฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ พวกเขาจะกลับไปพิจารณาวาจาของฉินอวี้โม่อย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ที่เลือกเข้าร่วมกับนครหมื่นอสูร พวกเขาเพียงต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้น บัดนี้เมื่อทราบว่านครหมื่นอสูรคิดไม่ซื่อต่อดินแดนเทพมายา พวกเขาก็ควรไตร่ตรองให้ดีว่าจะอยู่ต่อหรือถอนตัวออกไป

สำหรับการตัดสินใจของฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าทุกคนไม่มีข้อคัดค้านใด พวกเขาเพียงมองศิษย์ของนครหมื่นอสูรด้วยแววตาไม่เป็นมิตรนักและเจือด้วยความดูหมิ่น คนเหล่านี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเขาเลยสักนิด

เมื่อสมาชิกจากนครหมื่นอสูรจากไป ในเวลานี้ก็เหลือเพียงสมาชิกของฝ่ายมารเท่านั้น

ใบหน้าของคนเหล่านั้นแสดงถึงความกังวลอย่างชัดเจนทว่าพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น พลังของหานโม่ฉือแกร่งกล้ามากเกินไปและพวกเขาไม่สามารถต่อต้านได้เลย

ต่อให้ผู้นำฝ่ายมารต้องการปรี่มาช่วยพวกเขา มันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายวันซึ่งพวกเขาไม่สามารถกัดฟันรอจนถึงตอนนั้นได้

“ฉินอวี้โม่ ข้าก็มีความลับจะบอกเจ้า เรื่องนี้เกี่ยวกับแม่ของเจ้า…”

เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ผู้อาวุโสลั่วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและสัมผัสได้ถึงประกายความหวังของชีวิต

ฉินอวี้โม่ก็ใจสั่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมารดาของตน แน่นอนว่าหานโม่ฉือก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนางได้และเขาก็เขย่ามือบางของนางอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมไม่ให้นางคิดมากจนเกินไป

“เหอะ เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อรองอะไรทั้งนั้น หากเจ้ายังอยากมีชีวิตรอดกลับไป จงบอกสิ่งที่เจ้ารู้มาซะ มิฉะนั้น…ข้าก็ยังมีวิธีอื่นที่จะบีบเค้นข้อมูลออกมาจากเจ้าได้ !”

ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะกล่าวสิ่งใด ฉินเทียนก็ทนไม่ไหวและแค่นเสียงเย็นชาก่อนเดินตรงเข้าไปเตะผู้อาวุโสลั่วอย่างแรง

แน่นอนว่าเขากังวลเรื่องภรรยาของตนเป็นที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนมาข่มขู่บุตรสาวของตน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่อาจทราบได้เลยว่าคำพูดของผู้อาวุโสลั่วเชื่อถือได้เพียงใด หากไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ เกรงว่าเขาอาจคิดตุกติกก็เป็นได้

หลังจากถูกฉินเทียนเตะอย่างแรง เลือดในร่างผู้อาวุโสลั่วก็เริ่มพลุ่งพล่านทันที

“ท่านพ่อ อย่าเพิ่งวู่วามไปเลยเจ้าค่ะ หากเขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ข้าก็จะไว้ชีวิตเขา เขาก็เป็นบุคคลที่รักตัวกลัวตายมากทีเดียว เราก็ยังมีวิธีการอื่นอีกตั้งมากมาย ข้าคิดว่าเขาไม่กล้าปิดบังข้อมูลไปจากเราหรอก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ก่อนกวาดสายตามองสมาชิกฝ่ายมารรอบตัวและกล่าว “พวกเจ้าทุกคน หากผู้ใดมีข้อมูลเกี่ยวกับสตรีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหรือรู้เรื่องเกี่ยวกับบุปผาแห่งความมืด จงบอกข้ามา ตราบใดที่ข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ ข้าจะปล่อยเจ้าไปทันที และแน่นอนว่าหากผู้ใดคิดจะลองดีและโกหกข้า ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่านรกเป็นอย่างไร !”

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเผยรอยยิ้มออกมา ทว่าคนเหล่านั้นกลับรู้สึกหวาดกลัวจนสันหลังวาบ สตรีผู้นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวโดยแท้

“ท่านเทพมายา ข้ามีข้อมูลเกี่ยวกับบุปผาแห่งความมืด…”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ศิษย์คนหนึ่งก็คลานออกมาข้างหน้าฉินอวี้โม่และถอดผ้าคลุมบดบังใบหน้าออกก่อนกล่าวตามตรง

.