ห้องลับแห่งหนึ่ง
ขบวนการกลุ่มกบฏใต้ดินของเมืองหยุนเมิ่งได้มารวมตัวกัน
ภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียดและน่าตื่นเต้น
“พี่น้องทุกท่านต้องทำงานหนักแล้ว”
“ครั้งนี้ภารกิจของเราไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นคือการทวงคืนพื้นที่เมืองหยุนเมิ่งกลับมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แน่นอนว่ามันต้องเกิดการปะทะหักล้างกับพวกชาวทะเลพอสมควร…”
“ถึงพวกเราอาจจะต้องสูญเสียเลือดเนื้อเป็นจำนวนมาก แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่า อย่างน้อยชาวทะเลก็จะได้รู้ว่าพวกมันไม่มีทางมาตั้งถิ่นฐานในเมืองนี้ง่ายๆ อย่างที่คิด”
เหลียวหวังซูกวาดสายตามองทุกคนในห้องประชุมและชี้แจงรายละเอียดของภารกิจ
รายละเอียดของทุกๆ ภารกิจก่อนหน้านี้ มีแต่เพียงเหลียวหวังซูคนเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้
เยว่หงเซียงกับฮันปู้ฟู่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน พวกเขาหันมองหน้ากันด้วยสีหน้าตกตะลึง
ภารกิจเช่นนี้ เท่ากับเป็นการกวาดล้างมนุษย์ในเมืองหยุนเมิ่งชัดๆ
“ชาวเมืองยังไม่มีกำลังมากพอที่จะตอบโต้ชาวทะเลได้หรอกเจ้าค่ะ”
เยว่หงเซียงส่งเสียงพูดออกมาด้วยความสุภาพอ่อนน้อม “ตลอดระยะเวลาก่อนหน้านี้ ได้มียอดฝีมือประจำเมืองจำนวนมากต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของชาวทะเล ทำให้ในขณะนี้ ประชากรที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงคนแก่ เด็ก สตรีและคนพิการเท่านั้น พวกเขาย่อมไม่สามารถหยิบจับอาวุธออกไปต่อสู้ได้เด็ดขาด การเกณฑ์ชาวเมืองออกไปต่อสู้ในสถานการณ์นี้ จะทำให้เกิดการสูญเสียโดยไม่จำเป็นนะเจ้าคะ”
เหลียวหวังซูหันหน้ากลับมามองเด็กสาว
แววตาบอกถึงความไม่สบอารมณ์
“แต่พวกเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นชาวจักรวรรดิเป่ยไห่ นี่คือการเสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดินเกิด”
เหลียวหวังซูขมวดคิ้ว สีหน้าบึ้งตึง “ในฐานะที่เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มกบฏ ข้ารู้สึกผิดหวังกับคำพูดของเจ้าเหลือเกิน…”
“แต่ว่า…”
เยว่หงเซียงพยายามจะโต้แย้งต่อไป
เหลียวหวังซูพูดสวนกลับมาโดยไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งสิ้น “ไม่ต้องพูด เยว่หงเซียง เจ้าก็รู้ดีว่าถ้าเกิดพวกชาวทะเลมันตั้งถิ่นฐานในเมืองหยุนเมิ่งได้มั่นคงเมื่อไหร่ จักรวรรดิของเราก็จะต้องถูกคุกคามเป็นแน่แท้ กองทัพของพวกมันกระจายตัวรวดเร็วยิ่งกว่าเชื้อโรค เพียงไม่นาน พวกมันคงสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตบนบกทุกชนิดได้แล้วด้วยซ้ำ”
“แต่ถึงจะให้ชาวเมืองเสียสละชีวิตของตนเอง พวกเขาก็คงเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ดีขอรับ”
ฮันปู้ฟู่พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”
เหลียวหวังซูตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย บนใบหน้าประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “การประลองกับชาวทะเลที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ฝ่ายมนุษย์ก็เป็นผู้ชนะไม่ใช่หรือ? แม้แต่แม่ทัพฉลามอู๋หยาก็ต้องตายบนเวทีประลอง… ฮ่าฮ่าฮ่า นี่ยังไม่ใช่ข้อพิสูจน์ให้เจ้าได้รู้อีกหรือ ว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งมีฝีมือเก่งกาจขนาดไหน?”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปในทันที
บรรดาองครักษ์และยอดฝีมือจำนวนมากชำเลืองมองสบตากัน
สมาชิกในกลุ่มกบฏกลุ่มนี้ บางส่วนเป็นยอดฝีมือประจำเมืองหยุนเมิ่ง และพวกเขาก็รับทราบดีถึงความร้ายกาจของเด็กหนุ่มบนเวทีประลอง
เหตุผลที่ฝ่ายมนุษย์สามารถเอาชนะการประลองกับชาวทะเลได้ ก็เพราะว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีวิชาฝ่ามือลำแสงพิฆาต
“ที่ชาวเมืองสามารถเอาชนะได้ ก็เพราะว่ามีหลินเป่ยเฉิน…”
“ถูกต้อง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายหลิน ป่านนี้ชาวเมืองคงถูกสังหารหมู่ไม่เหลือสิ้น”
ดังนั้น ยอดฝีมือหลายคนจึงอดส่งเสียงประท้วงออกมาไม่ได้
เหลียวหวังซูคลี่ยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้หลินเป่ยเฉินมาเข้าร่วมขบวนการกับพวกเราสิ เพียงเท่านี้ ปัญหาทุกอย่างก็หมดแล้วไม่ใช่หรือ?”
“แต่ว่า… พวกเราเคยพูดคุยเรื่องนี้กับเขามาหลายครั้งแล้วเจ้าค่ะ”
หลู่หลิงโจวตอบกลับไปพร้อมกับขมวดคิ้วนิ่วหน้า “แต่คุณชายหลินไม่เห็นด้วยกับการปลุกระดมให้ชาวเมืองหยิบอาวุธออกไปต่อสู้ โดยเฉพาะหลังเพิ่งเสร็จสิ้นการประลองครั้งสำคัญ เขาบอกว่าอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างราบเรียบสงบสุขสักหน่อย คงไม่คิดที่จะชักกระบี่ออกมาห้ำหั่นกับผู้ใดในเร็ววันอีก”
หยางเฉินโจวพยักหน้าสนับสนุน “และเขาไม่มีทางเห็นด้วยกับการส่งชาวเมืองออกไปตายเด็ดขาด”
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย อดีตช่างตีเหล็กก็กล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่ามีเรื่องบางอย่างที่เขาจะเข้าใจใต้เท้าเหลียวผิดไป กลุ่มกบฏของเรานั้น…”
เหลียวหวังซูพูดสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องเข้าใจผิดอะไรนั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ความมั่นคงของจักรวรรดิเราต่างหากที่สำคัญมากกว่า เอาล่ะ เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของจักรวรรดิเป่ยไห่ การเสียสละชีวิตชาวเมืองเพียงเท่านี้จะนับว่าเป็นอย่างไรได้ หลินเป่ยเฉินไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องเห็นด้วย เราจะหาทางทำให้เขาเข้าร่วมกลุ่มกบฏให้ได้ ข้าศึกษานิสัยใจคอของเด็กหนุ่มผู้นี้มาแล้ว เขาเป็นคนที่แข็งนอกอ่อนใน ขอเพียงถูกชักจูงเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็จะคล้อยตามได้ไม่ยาก…”
“ไม่มีทาง”
“ใต้เท้าได้โปรดทบทวนดูใหม่”
“แผนการนี้ไม่ดีแน่”
ผู้เข้าร่วมการประชุมจำนวนมากส่งเสียงอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย
แววตาของเหลียวหวังซูเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาทันที บรรยากาศเช่นนี้แตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้โดยสิ้นเชิง
คาดไม่ถึงเลยว่าขบวนการเคลื่อนไหวใต้ดินที่ทางเมืองหลวงก่อตั้งขึ้นมา
กลับตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของหลินเป่ยเฉินโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว
ดังนั้น เหล่าสมาชิกในกลุ่มกบฏจึงยอมไม่ได้เด็ดขาดที่จะมีการหลอกใช้หลินเป่ยเฉิน
เกือบทุกคนที่อยู่ในห้องนี้พร้อมเสียสละเลือดเนื้อของตนเองได้โดยไม่เสียดายชีวิต พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้นานแล้วว่าชีวิตของตนเองนั้นเป็นของจักรวรรดิเป่ยไห่ ต่อให้ต้องเสียชีวิต มันก็ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับการตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่
แต่ถ้าใต้เท้าเหลียวหวังซูอยากจะล่อลวงหลินเป่ยเฉินให้ดำเนินตามแผนการของตนเอง นั่นคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
พวกเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด
เกือบทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือบ้านนอก จิตใจใสซื่อสะอาดบริสุทธิ์ ย่อมรับไม่ได้กับแผนการที่เต็มไปด้วยคำหลอกลวงเช่นนี้
เหลียวหวังซูเฝ้าสังเกตคำพูดและสีหน้าทุกคนอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นดังนั้น ชายชราก็รู้แล้วว่าตนเองคงต้องรีบเปลี่ยนแผน
เขาทั้งประหลาดใจและรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
เหลียวหวังซูคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลินเป่ยเฉินจะมีอิทธิพลต่อผู้คนในเมืองหยุนเมิ่งถึงขนาดนี้
และเขาก็รู้สึกโกรธแค้นที่กลุ่มกบฏซึ่งตนเองเป็นผู้บังคับบัญชานั้นกลับไม่ยอมทำตามคำสั่งโดยง่าย… แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะอีกไม่นาน สมาชิกของกลุ่มกบฏทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมแห่งนี้ ก็จะถูกส่งออกไปสังเวยชีวิตของตนเองเพื่อแผนการของเขาในที่สุด
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อทุกคนมีความคิดเห็นเช่นนี้ ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้”
เหลียวหวังซูปั้นหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับพูดต่อ “ข้าไม่ได้มีความคิดที่จะหลอกลวงหลินเป่ยเฉินแม้แต่น้อย แต่ข้าแค่อยากให้เขาทำความเข้าใจต่อความเป็นจริงบ้างเท่านั้นเอง เขาสมควรรับรู้ว่าชาวทะเลเป็นภัยต่อความมั่นคงของทั้งจักรวรรดิขนาดไหน หากหลินเป่ยเฉินยอมเข้าร่วมกลุ่มกบฏของพวกเรา มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนโดยรวมมากที่สุด… พวกเจ้าต้องไม่ลืมว่าบิดาของเขาและข้านั้นเป็นสหายเก่ากันมาก่อน เรื่องราวของหลินเป่ยเฉินเดี๋ยวข้าจะเป็นคนจัดการเอง เพราะเมื่อครั้งสุดท้ายที่ข้ามาเยือนเมืองหยุนเมิ่ง เราเกิดความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย และนั่นเป็นสิ่งที่ข้ากำลังจะแก้ไข”
เมื่อทุกคนได้ยินคำอธิบายของเหลียวหวังซู
พวกเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
…
ครืน!
ผิวน้ำในมหาสมุทรก่อตัวเป็นคลื่นลูกยักษ์
สายลมกระโชกแรง ทำให้ผิวน้ำทะเลกลายเป็นระลอกคลื่น
แล้วมังกรเขียวตัวหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นมาจากใต้น้ำ
มันเป็นมังกรเขียวที่มีความยาวเกินจินตนาการ เกล็ดบนลำตัวสะท้อนประกายระยิบระยับ กรงเล็บคมกริบยิ่งกว่าคมกระบี่ ดวงตาของมันเป็นสีแดงปานโลหิต ดูเยือกเย็นและอำมหิต เปิดเผยให้รับรู้ได้ถึงรังสีการฆ่าฟันและความรุนแรง
“โฮก!”
มังกรเขียวที่โผบินขึ้นไปบนท้องฟ้าระเบิดเสียงคำรามที่ดังกึกก้องไปไกลหลายร้อยลี้
กลางมหาสมุทรเกิดพายุฝนโหมกระหน่ำราวกับว่าจะถล่มโลกทั้งใบให้กลายเป็นเมืองบาดาล
หากมีใครสักคนมาพบเห็นมังกรเขียวในขณะนี้ บุคคลผู้นั้นก็คงต้องเป็นลมล้มพับไปด้วยความตกตะลึง
มังกรเขียวเป็นสัตว์ทะเลในตำนาน ได้ชื่อว่าเป็นยอดนักล่าในหมู่นักล่าทั้งปวง
แต่บัดนี้ มีใครบางคนกำลังยืนอยู่บนหัวมังกร
บุคคลผู้นั้นเป็นหญิงชราหลังค่อม สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีฟ้าปิดบังใบหน้า ในมือถือไม้เท้าที่มีหัวเป็นลูกแก้วสีคราม นางมีความสูงเท่ากับเด็กหกเจ็ดขวบคนหนึ่งเท่านั้น ลักษณะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือหญิงชราสามารถยืนหยัดอยู่บนหัวมังกรและเผชิญหน้ากับสายลมรุนแรงที่พัดเข้ามาปะทะร่างกายได้อย่างมั่นคงตลอดเวลา
“อู๋หยาศิษย์ของข้า เจ้าต้องเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อรับใช้เทพเจ้าแห่งท้องทะเล นับว่าเจ้าได้ตายเยี่ยงวีรบุรุษแล้ว”
หญิงชราจ้องมองไปยังทิศทางของเมืองหยุนเมิ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต “อาจารย์มาช้าไป แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง อาจารย์จะแก้แค้นให้เจ้าเอง”
แล้วหญิงชราก็โบกสะบัดไม้เท้าในมือเล็กน้อย
มังกรเขียวที่อยู่ใต้เท้าของนางระเบิดเสียงคำรามอีกครั้ง ก่อนที่มันจะเพิ่มความเร็วบินผ่านกลุ่มก้อนเมฆ และเพียงพริบตาเดียว มังกรตัวนี้ก็มาปรากฏกายอยู่บนท้องฟ้าของเมืองหยุนเมิ่งราวกับเป็นสายฟ้าที่มีสีเขียวสว่างไสวเป็นประกายสวยงาม
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย