บทที่ 124 ความในใจของนาง โดย Ink Stone_Romance
ตานั่นส่งของพรรค์นี้ให้เธอเนี่ยนะ!
ทำไม? คิดว่าเธอหน้าอกเล็กเหรอ?
รู้ได้ยังไงว่าเธอ…
อวี๋หวั่นนึกบางอย่างออก จึงก้มลงมองที่รองเท้า หลังจากนั้นก็มองที่กระโปรงของเธอ
เขาคงไม่ได้ ‘วัด’ ที่ตรงนั้นหรอกมั้ง?
ใช้อะไรวัดล่ะ? สายตา?
…อันธพาลตัวเหม็น!
หลังจากที่กัวเซี่ยนเยว่ถือหลอดด้ายมาถึงบ้าน นางก็เจอกับตู้จินฮวาในห้องครัวพอดี
ตู้จินฮวาเป็นคนตะกละตะกลาม เมื่อได้กินอาหารของบ้านสกุลอวี๋ นางก็ยิ่งอยากอาหารกว่าเดิมเสียอีก หากไม่มีอะไรทำก็จะเข้าไปเดินสำรวจห้องครัว
นี่ไง เจออัวอัวโถวผักดองอีกลูกหนึ่งแล้ว
“กินไหม?” ตู้จินฮวากัดอัวอัวโถวเข้าปาก แล้วส่งชามในมืออีกข้างให้กัวเซี่ยนเยว่
กัวเซี่ยนเยว่เห็นมารดาไม่รักษาภาพลักษณ์เช่นนี้ จึงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ท่านแม่ ท่านกินข้าวเย็นไม่อิ่มอย่างไร?”
“ข้าหิวอีกไม่ได้หรือไง?” แน่นอนว่าตู้จินฮวาไม่มีทางยอมรับว่าอาหารของบ้านสกุลอวี๋อร่อยเหลือเกิน เมื่อบ้านซ่อมเสร็จก็ต้องไปแล้ว ก่อนไปนางต้องกินให้หนำใจก่อนไม่ดีหรืออย่างไร?
“ท่านแม่ ท่านทำเช่นนี้…” กัวเซี่ยนเยว่อยากพูด แต่ก็มิได้พูดต่อ
“ข้าทำเช่นนี้แล้วอย่างไร?” ตู้จินฮวามองนางด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
กัวเซี่ยนเยว่หลุบตา “ไม่มีอะไร ข้าไปนอนแล้ว”
นางเดินผ่านตู้จินฮวา ทว่าตู้จินฮวาเรียกให้นางหยุด “เดี๋ยว ในมือเจ้าถืออะไรอยู่?”
“ด้ายสีของท่านพี่หวั่น” กัวเซี่ยนเยว่กล่าวพร้อมกับแบมือให้ดู
ตู้จินฮวาหยิบด้ายขึ้นมาดู แล้วจ้องตาค้าง “ด้ายดีขนาดนี้ ใช้เสร็จไม่ต้องไปคืน หยิบไปไว้ในห้องแม่!”
ได้อย่างไรกัน? นางยังต้องไปเจอหน้าพี่หวั่นอีกนะ อีกอย่าง ทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม
กัวเซี่ยนเยว่พูดด้วยความหนักใจว่า “ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านพี่หวั่นอารมณ์ร้าย? ท่านเอาของของนางไป ไม่กลัวว่านางจะมาจัดการหรือ?”
“นางกล้ารึ?”
กล่าวถึงตรงนี้ ตู้จินฮวาก็นึงถึงสภาพน่าเวทนาของกัวเซี่ยนเฉี่ยว สุดท้ายแล้วจึงมิได้เอ่ยถึงเรื่องเก็บด้ายสีเหล่านี้ไว้กับตัวอีก “เจ้าอย่าเพิ่งไป แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
“ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?” กัวเซี่ยนเยว่ถาม
ตู้จินฮวาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคุยกับพ่อเจ้าแล้ว รอให้อากาศอุ่นขึ้นอีกสักหน่อย พวกเราจะไปบ้านสกุลหลัว ให้เจ้าไปหมั้นหมายกับลูกพี่ลูกน้องของเจ้า”
“ท่านแม่!” กัวเซี่ยนเยว่หน้าซีดเผือด
ตู้จินฮวากัดอัวอัวโถวอีกคำหนึ่ง แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่หรือพี่รองเจ้าเลือกได้เอง แต่พี่ใหญ่ของเจ้า เมื่อเขาโตแล้วก็จะได้สืบทอดกิจการของตระกูล มีภาษีดีกว่าพี่รอง แต่พี่รองของเจ้าก็เรียนหนังสือเก่ง ภายภาคหน้าสอบได้เป็นจวี่เหรินแล้ว เจ้าก็จะได้เป็นฮูหยินตระกูลขุนนาง”
อะไรกันนี่?
สกุลหลัวมีลูกชายสติปัญญาไม่ดีสองคน แม้แต่ซิ่วไฉยังสอบไม่ได้ ก็จะเป็นจวี่เหรินแล้วหรือ?
บุตรชายคนโตสกุลหลัวก็มิใช่คนดีเด่อะไร ทุกครั้งที่ไปบ้านสกุลหลัว เขาก็จะมองนางด้วยสายตาหื่นกาม หากมิใช่เพราะนางแอบหลบ ไม่แน่ว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็เป็นได้
แต่นางไม่กล้าพูด พูดไปแล้วมารดาของนางก็ไม่เชื่อ และนางก็ไม่อยากให้อาเล็กของนางโกรธ
ในสมองของกัวเซี่ยนเยว่ก็มีเงาสว่างไสวดุจแสงจันทร์ของคนผู้หนึ่งลอยมา คนผู้นั้นก็คือคุณชายบัณฑิตซึ่งนาง
พบใกล้บ่อน้ำ และนางก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาสักครา ทว่าคุณชายวั่นผู้นั้น สิ่งใดที่ไม่ดีบ้างก็ช่าง เขาเป็นวิญญูชน อีกทั้งพี่หวั่นก็บอกไม่ใช่หรือว่าเขามีความรู้?
มองแล้ว คุณชายวั่นนี่สิถึงจะมีโอกาสเป็นจวี่เหรินมากกว่า
หากนางได้ออกเรือนไปกับเขา…
ใบหน้าของกัวเซี่ยนเยว่ร้อนผ่าว เรื่องพวกนี้คิดแล้วก็รู้สึกขวยเขิน ด้วยความสามารถและรูปร่างหน้าตาของนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ควรคู่กับบุรุษอย่างคุณชายวั่น
อย่างที่กล่าวว่ามารดาย่อมเข้าใจบุตรี ตู้จินฮวามองบุตรสาววัยเยาว์เพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตู้จินฮวาหรี่ตา “เจ้ามีคนในใจแล้วรึ?”
ทางที่ดีต้องไม่ใช่คนจนๆ อย่างอวี๋เฟิง ไม่เช่นนั้นนางจะตัดขาเขาเสีย!
กัวเซี่ยนเยว่ลากมารดาเข้ามาในห้อง แล้วเล่าเรื่องที่พบกับคุณชายวั่นให้ตู้จินฮวาฟัง
“เจ้าหมายถึงบัณฑิตที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่หรือ?” ตู้จินฮวาเคยได้ยินเกี่ยวกับคุณชายผู้นี้ ไม่เพียงรู้จักกับนายอำเภอ ยังเรียนหนังสือเก่ง ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ ดูแล้วฐานะทางบ้านคงมีอันจะกิน “ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับสกุลหลัวแล้วเป็นอย่างไร”
กัวเซี่ยนเยว่กล่าวอย่างมุ่งมั่นว่า “พี่น้องสกุลหลัวจะไปเปรียบกับคุณชายวั่นได้อย่างไร? ท่านแม่ยังไม่เห็น ถ้าเห็นแล้วจะรู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องสกุลหลัวก็มิได้ดีเท่าไรนัก”
ตู้จินฮวาเชื่อมั่นในสายตาของบุตรสาว ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาชาวบ้านที่มาช่วยงานบ้านสกุลอวี๋ก็เคยพูดถึงคุณชายวั่น เรียกเขาว่า ‘ว่าที่จ้วงหยวน’ ในเมื่อคุณชายวั่นมีโอกาสได้เป็นจ้วงหยวน เช่นนั้นหากกัวเซี่ยนเยว่แต่งงานกับเขา นางก็จะกลายเป็นฮูหยินของจ้วงหยวนมิใช่หรือ?
“แต่ว่า…” ทันใดนั้นเองตู้จินฮวาก็นึกเรื่องหนึ่งออก “คุณชายวั่นดูเหมือนว่าจะมีลูกแล้ว”
ตู้จินฮวาไม่ทำงานทำการ วันๆ ได้แต่เดินเตร็ดเตร่ไปในหมู่บ้าน มีครั้งหนึ่งนางเห็นเด็กสามคนวิ่งออกมาจากบ้านเก่าสกุลติง “ข้าไม่เคยได้ยินชาวบ้านพูดถึง อาจเป็นเด็กบ้านอื่นก็ได้กระมัง”
เด็กน้อยทั้งสามไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นในหมู่บ้าน แต่เป็นตู้จินฮวาที่มีเวลาเหลือล้น จึงไปเห็นเข้าโดยบังเอิญ เรื่องนี้คนอื่นๆ ก็ยังไม่รู้
“หากเป็นลูกของเขาจริง เช่นนั้นเขาก็เป็นพ่อหม้ายน่ะสิ” ตู้จินฮวากล่าว
บุรุษคนหนึ่งมีลูกติดมา หากภรรยาไม่ได้ทิ้ง ก็คงเสียไปแล้ว
กัวเซี่ยนเยว่ก้มหน้า แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าไม่สน”
หากสามารถแต่งงานกับคนอย่างคุณชายวั่นได้ ต่อให้นางต้องเลี้ยงเด็กก็ไม่เป็นไร
ตู้จินฮวามิได้เห็นเด็กทั้งสามคนอยู่ในสายตา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณชายวั่นแล้วอย่างไร? ลูกสาวนางปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ จะกำราบเด็กสามคนไม่ได้เชียวหรือ? รอให้ลูกสาวนางมีลูกเป็นของตัวเอง ก็ค่อยหาวิธีเตะเด็กสามคนนี้ออกไป จะไปยากอะไร?
ตู้จินฮวารู้สึกเพียงว่าบุตรสาวของนางสะสวยถึงเพียงนี้ หากแต่งให้พ่อหม้ายก็ออกจะน่าเสียดายไปสักหน่อย แต่ถ้าหากอีกฝ่ายสามารถสอบเป็นจ้วงหยวนได้ เรื่องนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป
“แต่ว่าท่านแม่ พวกเราไม่รู้จักเขา” จะไปพูดกับเขาอย่างไรดีเล่า? ให้นางซึ่งเป็นสตรี บากหน้าไปบ้านอีกฝ่ายเพื่อขอแต่งงานหรือ?
ตู้จินฮวาจีบปากจีบคอ “เจ้าเด็กโง่ของแม่ เจ้าไม่เห็นหน้าตาของตัวเองหรือ? แถบนี้คุณหนูบ้านไหนงามไปกว่าเจ้าเห็นจะไม่มี เขาเป็นบัณฑิต หากไม่แต่งงานกับเจ้า จะให้ไปแต่งกับสตรีบ้านนอกคอกนาหรืออย่างไร?”
กัวเซี่ยนเยว่หน้าแดง นางจึงก้มหน้า “ท่านพี่หวั่น…ท่านพี่หวั่นก็สวยเหมือนกัน”
ตู้จินฮวากลอกตา “หึ คนที่สำส่อนจนถูกถอนหมั้นอย่างนางน่ะหรือ? ต่อให้งามกว่านี้จะมีประโยชน์อันใด? มีบุรุษที่ไหนต้องการ? ไหนเลยจะบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนลูกสาวข้า? เจ้าไม่ต้องคิดมาก ทำเรื่องที่เจ้าต้องทำ คุณชายวั่นต้องมาแต่งงานกับเจ้าอย่างแน่นอน!”
………………………………………….