ลอบจุมพิต

แสงจันทร์นวลผ่อง มู่หรงเหยียนเดินเข้าห้องอย่างเงียบเชียบ สาวใช้ยังไม่ได้ปิดหน้าต่าง สายลมพัดเข้ามาอยู่หวิวๆ ทำให้ปอยผมข้างหูหนิงอวี้ไหวริกตามลม

 

 

แสงจันทร์สาดแสงอ่อนโยนลงบนหน้านาง ทำให้แม้แต่รอยแผลเป็นก็ดูจางลงไปเล็กน้อย มู่หรงเหยียนบอกกับตัวเองว่าควรไปเสียที

 

 

จังหวะช่างประจวบเหมาะ เขาไม่เพียงแต่ไม่หันกายกลับ แต่เขายังนั่งลงริมขอบเตียง ก้มหน้าลงจดจ้องดวงหน้าของหนิงอวี้

 

 

นี่คือหญิงสาวที่เขาเห็นนางเติบโตมา เมื่อยังเล็กนางงอแงให้เขาช่วยหวีผมให้ ทั้งจูงมือเขาทั้งขอให้สอนขี่ม้า พอร่วงลงกับพื้นก็ร้องไห้อ้ามือทั้งคู่ออกร้องขอให้เขาอุ้ม

 

 

เขาเคยป้องนางไว้ข้างหลัง ยินยอมต่อสู้กับทุกอย่างบนโลกนี้เพื่อนาง เพียงแต่ ความรู้สึกนี้ค่อยๆ บ่มเพาะ ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากปกป้องในฐานะพี่น้องอีกต่อไป แต่…

 

 

นางอยากไป อยากจากไป อยากกลับคืนสู่อ้อมอกของเว่ยหยวน เขาควรเห็นด้วย ที่จริงในหมู่เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือเต็มไปด้วยความรุนแรงและความโกลาหล เขาเองก็เพิ่งจะตั้งหลักได้ หนำซ้ำในใจนางก็มีแค่เว่ยหยวนเท่านั้น

 

 

คิดถึงจุดนี้ มู่หรงเหยียนก็ยกมุมปากยิ้ม รอยยิ้มดูขื่นขม หากตอนแรก ไม่ตกลงยอมเป็นบุตรบุญธรรม ไม่จงใจเปิดเผยชาติกำเนิดตน เขาและนาง เติบโตมาด้วยกัน บริสุทธิ์จริงใจต่อกัน จุดจบคงไม่เหมือนที่เป็น

 

 

เขาจำได้เลือนรางถึงแววตาของเด็กหญิงผมเผ้ากระเซอะกระเซิงนางหนึ่งที่กำลังยื่นหวีไม้มาให้เขา เขาได้แต่กลืนคำปฏิเสธลงคอไปแล้วหยิบหวีขึ้นอย่างว่าง่ายด้วยท่าทีดูงุ่มง่าม

 

 

มู่หรงเหยียนโน้มตัวลง ยกมือขึ้นทัดปอยผมของหนิงอวี้ไว้หลังหู มือนั้น ค่อยๆ เลื่อนออกจากใบหน้า จากนั้นก็เลื่อนไปยังริมฝีปาก ปากแดงเล็กจุ๋มจิ๋ม มู่หรงเหยียนหัวใจเต้นรัว

 

 

เขาโน้มตัวลงแล้วจุมพิตลงอย่างบางเบา ริมฝีปากทั้งสองเฉียดผ่าน เบาดั่งแมลงปอแตะผิวน้ำ สัมผัสอันนิ่มนวลกลับเจือด้วยหวานละมุน มู่หรงเหยียนราวกับสะดุ้งจากฝันแล้วรีบหันกายเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เสียงปิดประตูดังขึ้น หมัดที่กำแน่นภายใต้ผ้าห่มของหนิงอวี้ก็คลายออก นางลืมตาขึ้นช้าๆ ความหวาดกลัวในตอนแรกนั้นได้ผ่านไปแล้ว นางยกมุมปากยิ้มเยาะ

 

 

——

 

 

“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ดื่มยา! ออกไปซะ!”

 

 

หนิงอวี้ถลึงตาใส่สาวใช้นางนั้นอย่างดุดัน สาวใช้พยักหน้ารับ แต่มือที่ประคองถ้วยน้ำแกงยานั้นกลับนิ่งไม่ขยับ

 

 

“ถวายบังคมองค์รัชทายาท”

 

 

เสียงเบาๆ ดังแว่วเข้ามา หนิงอวี้แค่นเสียงเยาะหนึ่งที

 

 

เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองเขาหนึ่งทีแล้วหันหน้าหลบไม่พูดจา มู่หรงเหยียนหัวเราะเบาๆ เขายื่นมือไปยกถ้วยน้ำแกงยานั้นขึ้นแล้วเดินไปด้านหน้านาง

 

 

“ยังจะทำตัวเป็นเด็กอีก แผลบนแขนเจ้าโดนเหล็กมา เสี่ยงจะติดเชื้อนะ โอ๋ ดื่มยาหน่อยนะ”

 

 

มู่หรงเหยียนนั่งลงข้างขอบเตียง หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว แต่มือเท้ากลับมิได้ขยับหลีก นางหดตัวเข้ามุมเตียง มู่หรงเหยียนหลุดเสียงหัวเราะออกมาแล้วยึดตัวขยับเข้าไป เขายื่นช้อนไปจรดริมฝีปากนาง

 

 

หนิงอวี้อ้าปาก นางไม่ได้สนใจมองน้ำแกงยาถ้วยนั้น แต่จ้องไปยังนัยน์ตาเขาพลางพูดขึ้นเสียงเบา “หากดีต่อข้า ก็ปล่อยข้าไปเสียเถอะ”

 

 

รอยยิ้มบนมุมปากมู่หรงเหยียนพลันเหือดไป มือที่ถือช้อนสั่นเบาๆ หนึ่งที ครั้นแล้วก็หดมือกลับ เขาวางช้อนกลับลงไปในกลางถ้วย

 

 

เขาส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มมุมปากเลือนหายไป หนิงอวี้แค่นเสียงหนึ่งทีแล้วปะทะสายตากับเขา นางถาม “ด้วยเหตุใด”

 

 

เงียบอยู่ครู่ใหญ่ หนิงอวี้ก็ยกมือขึ้นป้องหน้า ถามด้วยเสียงแผ่ว “เจ้าเป็นใครกันแน่”

 

 

“มู่หรงเหยียน”

 

 

“ดีมาก”

 

 

หนิงอวี้พยักหน้าพลางปล่อยมือลงแล้วเหยียดปากยิ้มหนึ่งที มู่หรงเหยียนขมวดคิ้ว เขาตักน้ำแกงขึ้นมาแล้วยื่นไปที่ริมฝีปากนาง

 

 

หนิงอวี้ส่ายหน้า นางยืดตัวขยับเข้าไปด้วยความเร็วเหนือเสียงดั่งสายฟ้าแล้วใช้ผ้าแพรบางรัดคอเขาเอาไว้ มู่หรงเหยียนคลายมือ ถ้วยยาในมือหล่นลงบนผ้าห่มนวม น้ำแกงยาเปียกซึมเป็นรอยคล้ายดอกโบตั๋น

 

 

“อ๊ะ! ใครก็ได้ มาช่วยองค์ชายที!”

 

 

สาวใช้กรีดร้องเสียงแหลม รีบวิ่งไปยังประตู หนิงอวี้ดึงรัดผ้าแพรบางในมือแน่น พลางกดเสียงต่ำ “ปล่อยข้าไปซะ”