ตอนที่ 337 ต้นแบบผู้นำยุคโบราณ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เมื่อบุรุษที่ตอนนั้นพากลับมาเพราะเกิดความเมตตาสงสาร เกิดความรักต่อตนเองขึ้นมา การปฏิเสธของเจียงเย่วก็รวบรัดชัดเจน

 

 

นี่ทำให้นางตกอยู่ในปัญหาเสียแล้ว

 

 

นางใช้แรงขัดขืนเพื่อหลุดพ้นจากเขา และรีบไปให้พ้นจากสายตาของเขาให้เร็วที่สุด

 

 

นั่นกลายเป็นความทรงจำดำมืดที่เขาไม่กล้าแตะต้องไปอีกชั่วชีวิต

 

 

เขาหันหน้าไป ทอดสายตามองดูกลีบดอกไห่ถางที่ปลิวไปทั่วท้องฟ้า แต่กลับหานางไม่เจอแม้แต่เงา ในตอนนั้นเอง ที่ทั่วทั้งร่างกายของเขาระเบิดความมืดมนที่ไร้ขอบเขตออกมา

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่มองดูอย่างปวดฟัน

 

 

นิสัยที่ชอบอวดอำนาจหยิ่งผยองของจีเฉวียน เกรงว่าคงจะได้รับมาจากท่านปู่ของเขานั่นเอง

 

 

ดูจากท่าทางประหนึ่งว่าต้องการได้เจ้ามาให้ได้ ต่อให้ไม่ได้ก็ต้องได้ นี่มันเป็นแบบฉบับของผู้นำที่บ้าอำนาจชัดๆ

 

 

ดวงพักตร์นั้นของปฐมฮ่องเต้ ช่างคล้ายคลึงกับจีเฉวียนมากไปแล้ว

 

 

นางเพียงมองดูแวบเดียวก็ลากฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นเข้ามาเปรียบเทียบ….จากนั้นก็ครุ่นคิดกลับไป จีเฉวียนไม่เคยใช้กำลังบีบบังคับนาง คล้ายกับว่าจะดีกว่าท่านปู่ของเขาอยู่หน่อย

 

 

ตอนนี้ปล่อยปฐมฮ่องเต้องค์นั้นวางไว้ก่อน ที่ตู๋กูซิงหลันยิ่งสนใจมากกว่าก็คือผู้ที่มีนามว่าฟ่านอิงผู้นั้น

 

 

คงจะเป็นคู่หมั้นขององค์หญิงเย่วกระมัง เช่นนั้นทำไมต่อมานางถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าองค์หญิงเย่วเคยมีคู่หมั้นมาก่อน

 

 

คนผู้นั้น มีความเป็นมาเช่นไรกันแน่?

 

 

ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างมีสมาธิอยู่นั้น แสงจากลูกแก้วในมือก็ลดทอนลงไปกว่าครึ่ง

 

 

แสงจากลูกแก้วที่งดงามดึงนางกลับสู่ความเป็นจริง พิธีฝังศพที่เชิงเขาฝูซางซานกำลังดำเนินไปแล้วครึ่งหนึ่ง จีเฉวียนประทับยืนอยู่เบื้องหน้าสุสานที่ยังไม่ได้ทำการกลบฝังด้วยสายพระเนตรเย็นยะเยือก

 

 

ใบหน้านั้นทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกถึงความสมจริงที่พึ่งได้เห็น สมองของนางยังวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องของปฐมฮ่องเต้กับองค์หญิงเย่ว จนแทบจะไม่อาจดึงสติกลับมา

 

 

พอนางก้มหน้าลงมองดูลูกแก้วที่อยู่ในมือ ก็ยิ่งเห็นว่าแสงของลูกแก้วไม่สว่างเหมือนเดิมอีกแล้ว

 

 

นางถึงได้นึกรู้ขึ้นมาว่า ลูกแก้วลูกนี้ได้ผนึกความทรงจำของเจียวเย่วเอาไว้

 

 

ยามที่อยู่ในโลกปัจจุบันนั้น นี่เป็นวิชาลับแขนงหนึ่ง ที่สามารถดึงเอาความทรงจำที่ไม่ต้องการออกมา เก็บเอาไว้ในวัตถุบางอย่าง

 

 

ลูกแก้วลูกนี้ก็คือส่วนหนึ่งในความทรงจำของเจียวเย่ว และความทรงจำส่วนนี้คล้ายกับว่าเกือบทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับปฐมฮ่องเต้แห่งต้าโจว

 

 

ตู๋กูซิงหลันดูมาถึงตรงนี้ ก็คิดไปถึงเรื่องที่สุดท้ายแล้ว แคว้นกู่เย่วก็ล่มสลาย ในใจก็บังเกิดความเหน็บหนาวขึ้นมา

 

 

ฝูซางซานคือหลุมฝังศพของชาวกู่เย่ว แรงแค้นลึกล้ำเกินบรรยาย เกรงว่าคงเพราะเหตุนี้ถึงได้กระตุ้นให้ความทรงจำของเจียงเย่วที่อยู่ในลูกแก้วเคลื่อนไหว จนเปิดเผยออกมา

 

 

และเพราะว่าร่างนี้คือหลานสาวแท้ๆ ของเจียงเย่ว ดังนั้นนางจึงสามารถมองเห็นความทรงจำของเจียงเย่วได้

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้แต่ถอนใจเบาๆ ขณะเดียวกันก็เห็นว่าหมอกสีแดงที่เชิงเขาฝูซางซานเข้มข้นหนาแน่นกว่าเดิม ทั้งยังมีเสียงภูติผีร่ำร้อง

 

 

ตู๋กูซิงหลันเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นว่าในหมอกสีแดงทึบนั่นมีวิญญาณแค้นอยู่นับไม่ถ้วน แต่ละตนต่างก็แยกเขี้ยวยิงฟันมองลงมาที่ภูเขา

 

 

สายตาของเหล่าวิญญาณแค้นทั้งหลายตกอยู่บนร่างของจีเฉวียน เมื่อได้เห็นใบหน้านั้น ต่างก็อยากจะกลืนกินเขาลงไปทั้งเป็น

 

 

แต่น่าเสียดายที่บนร่างของวิญญาณแค้นเหล่านี้ต่างก็มีโซ่สีแดงตรึงเอาไว้ แม้จะเป็นเพียงเส้นบางๆ แต่ก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

 

 

พอพวกมันเคลื่อนไหว โซ่เหล่านั้นก็รัดแน่นขึ้นมาคล้ายกับว่าจะบาดลึกลงไปในร่างของวิญญาณแต่ละตัว

 

 

วิญญาณทมิฬที่พึ่งจะตื่นขึ้นมาต้องน้ำหลายไหล อยากกินจนหยดติ๋งๆ

 

 

“หลันหลัน เจ้าช่วยจับลงมาสักหลายร้อยตัวให้ข้ากินได้ไหม?” วิญญาณทมิฬมองดูตู๋กูซิงหลัน ดวงตากลมโตของมันเปล่งประกาย

 

 

วิญญาณทมิฬพึ่งจะกล่าวจบ เงาสีแดงกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในรถม้า กลายเป็นคนผู้หนึ่ง

 

 

เส้นผมสีเงินโบกโบย คาดเอาไว้ด้วยผ้าคาดสีแดงเส้นหนึ่ง ฉู่เจียงปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลันโดมมิได้คาดหมาย ดวงตาสีมรกตคู่นั้นจับจ้องมาจนวิญญาณทมิฬต้องขนลุกซู่

 

 

ฉู่เจียงเหลือบตาดูมันแวบหนึ่ง ก็ยิ้มเย็นออกมา “เจ้าตัวแสบ สิ่งของของเราเจ้าก็กล้าแตะต้อง?”

 

 

 

 

วิญญาณทมิฬกอดชายกระโปรงของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ แอบอยู่ด้านหลังของนาง โผล่ศีรษะออกมาดูฉู่เจียงเพียงครึ่งเดียว “วิญญาณแค้นเหล่านี้ล้วนเป็นชาวเมืองของแคว้นกู่เย่ว ไหนเลยจะเป็นสิ่งของของท่านได้กัน?”

 

 

“ฮึ ข้าคือราชาของเขาฝูซางซานแห่งนี้ ต้นหญ้าทุกต้น ดอกไม้ทุกดอกในที่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นของข้า แล้วเจ้าว่าวิญญาณแค้นเหล่านั้นเป็นของข้าหรือไม่เล่า?”

 

 

ฉู่เจียงกล่าวจบแล้วก็มาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน เขานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามตู๋กูซิงหลัน ไอหยินจากร่างของเขากำจายออกมาจนทั่ว

 

 

พอสายตาของเขาเหลือบไปเห็นลูกแก้วความทรงจำที่อยู่ในมือขอนาง ก็ต้องหรี่ตาลง

 

 

เขามองดูลูกแก้วลูกนั้น ก็เอ่ยออกมาเพียงสองคำ “เจียงเย่ว”

 

 

เรื่องที่ฉู่เจียงรู้จักเจียงเย่ว ตู๋กูซิงหลันมิได้แปลกใจเลย เพราะอย่างไรเขาก็อยู่ที่ภูเขาฝูซางซานนี้มานานหลายปี ยามที่เจียงเย่วอยู่ในเมืองกู่เย่ว ก็มักจะมาที่ภูเขาอยู่บ่อยๆ ฉู่เจียงย่อมต้องเคยพบเห็น

 

 

“ความทรงจำถูกดึงออกมาแล้ว ยังจะเก็บเอาไว้ทำไม?” เขาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาดูตู๋กูซิงหลันแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นหลานสาวของนาง?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ตอบคำถาม เพียงมองสบตาฉู่เจียงครั้งหนึ่ง “ยมราชฉู่เจียงถึงกับมาเยือนด้วยตนเอง มิทราบว่ามีธุระอันใด?”

 

 

“ท้องที่ของข้า ข้าย่อมสามารถไปได้ทุกที่” ฉู่เจียงพูดต่อไป หมอกสีแดงในมือก็ถูกผลักเข้าไปภายในลูกแก้วที่เหลือแสงสว่างเพียงครึ่งเดียวลูกนั้น

 

 

ทันใดนั้นเอง ลูกแก้วลูกนั้นก็เรืองแสงส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศโดยรอบของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไป

 

 

เสียงขลุ่ยไผ่ร่าเริง ดอกไม้สดและผ้าแดงถูกประดับประดาไปทั่วเมืองหลวงของแคว้นกู่เย่ว

 

 

ประชาชนบนถนนต่างก็พากันพูดถึงการแต่งงานครั้งนี้ด้วยความชื่นชมยินดี

 

 

วันนี้คือวันที่องค์หญิงจะทรงอภิเษก องค์หญิงและใต้เท้าฟ่านอิงคือคู่ครองที่สวรรค์สร้าง

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็จับตามองด้วยความเฝ้ารอ รอคอยที่จะได้เป็นพยานในการลงเอยของคนทั้งสอง

 

 

……………………………

 

 

ดอกไห่ถางภายในวัง ไม่เคยผลิบานมากมายเพียงนี้มาก่อนเลย

 

 

บนต้นไม้แขวนโคมและผ้าไหมประดับสีแดงสด ใต้ต้นไม้ก็ปูพรมแดงยาวงดงามบาดตา

 

 

องค์หญิงเย่วคือพระธิดาที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุด ขบวนเจ้าสาวในวันนี้ตกแต่งอย่างงดงามหรูหรา บนท้องฟ้าปรากฏสายรุ้งมวลหมู่วิหคส่งเสียงขับขาน ต่างก็มาเพื่อแสดงความยินดีในงานแต่งงานขององค์หญิง

 

 

เจียงเย่วสวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิง วิหคเพลิงสีทองบนชุดแต่งงานตัวนั้นปักเสร็จแล้ว มันโผบินขึ้นสูงกางปีกราวกับมีชีวิต

 

 

นางในวันนี้งดงามอย่างที่สุด ดูราวกับเทพธิดาที่อยู่ในนิทาน เจิดจ้าจนบาดตา

 

 

ริมฝีปากอวบอิ่มแดงวาวงดงามราวกลีบบุปผา รอยยิ้มน่าดึงดูดดจนใครก็ต้องเหลียวหลังกลับมามอง

 

 

“องค์หญิงเพคะ ใต้เท้าฟ่านอิงตระเตรียมทุกอย่างมาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะมารับท่านออกไปแล้ว”

 

 

นางกำนัลที่สวมใส่ชุดมงคลเข้ามาส่งข่าว

 

 

ดวงหน้าของเจียงเย่วเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ นางหยิบพัดมงคลขึ้นมาบังใบหน้าพลางพยักหน้าน้อยๆ

 

 

มีแต่ยามที่อยู่เบื้องหน้าฟ่านอิงเท่านั้น นางถึงได้มีท่าทีเขินอายออกมา

 

 

นางกับฟ่านอิงเติบโตมาด้วยกันแต่เล็ก ผูกพันลึกล้ำดุจท้องทะเล การลงเอ่ยของทั้งสองเหมือนดั่งคู้สร้างที่สวรรค์เลือกไว้ ไม่มีสิ่งใดจะมาแทรก ไม่มีการบังคับขัดแย้ง

 

 

เสมือนดั่งสายน้ำที่รินไหล เรียบง่ายสงบเย็น สำหรับนางเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

 

 

หลังจากวันนี้เป็นต้นไป นางก็คือภรรยาของฟ่านอิงแล้ว

 

 

อีกไม่นานในอนาคต พวกนางก็จะได้มีลูกหลานของตนเอง มีชีวิตที่สงบสุขเรียบง่ายเช่นนี้ไปชั่วชีวิต

 

 

เจียงเย่วรู้สึกว่า นี่ช่างดีเหลือเกิน

 

 

ขบวนรับตัวยังมาไม่ถึง เหล่านางกำนัลต่างก็เข้ามาช่วยเหลือนางแต่งตัวในช่วงสุดท้าย

 

 

เจียงเย่วมองดูตนเองในกระจกทองแดง ทั้งดวงตาและคิ้วโค้งมน ทันใดนั้นเองในกระจกทองแดงก็สะท้อนใบหน้าอีกผู้หนึ่งขึ้นมา

 

 

“เจียงเย่ว” บุรุษที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงเรียกนางเบาๆ

 

 

เจียงเย่วขมวดคิ้ว พลางหันกลันไป

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “ฝันร้ายของเจียงเย่ว”