ตอนที่ 509 ประลองกระบี่ โดย Ink Stone_Fantasy
บริเวณบ่อเย็นที่อยู่ภายในถ้ำ
“แม่นางจิน ที่นี่คงเป็นบ่อเย็นที่เจ้าพูดถึงในก่อนหน้านั้นสินะ!” หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
สถานที่แห่งนี้ไอเย็นหนาแน่นเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก ไอหมอกดำที่แผ่คลุมอยู่เหนือบ่อ หากฝึกฝนวิชาพวกน้ำแข็งเย็นสะท้านล่ะก็ คงได้ผลเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่า สำหรับคนทั่วไปแล้ว ไอเย็นระดับนี้กลับเป็นอันตรายอย่างมาก
“ไม่ผิด! ของที่บรรพบุรุษข้าทิ้งไว้อยู่ใต้บ่อเย็นแห่งนี้ แต่ว่าบ่อนี้เย็นมาก ไม่รู้ว่าจะมีตัวไหมน้ำแข็งออกมาเมื่อไหร่ ตัวไหมนี้พ่นไอเป็นน้ำแข็ง ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก การฝึกฝนก็บรรลุถึงระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว บวกกับสภาพแวดล้อมในสถานที่แห่งนี้ ทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นทวี ด้วยเหตุนี้จึงต้องให้ศิษย์พี่หลิ่วคอยช่วย หลังจากสังหารมันแล้ว ถึงเข้าไปเอาสมบัติภายในบ่อได้อย่างวางใจ” จินอวี้หวนมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวออกมาตามตรง
หลิ่วหมิงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร กะอีแค่ปีศาจหนอนระดับของเหลวขั้นปลายตัวหนึ่ง เขาเชื่อว่าสามารถรับมือมันได้
จินอวี้หวนเห็นเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มออกมา ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมานั้น พลันมีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาจากเอวของนาง
สีหน้านางเปลี่ยนไปทันที พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ก็มีแผ่นค่ายกลกลมๆ ออกมา มันเปล่งแสงสีขาวจางๆ และสั่นสะท้านเบาๆ
ที่แท้เสียงนั้นก็ดังมาจากของชิ้นนี้นั่นเอง
“แย่แล้ว มีคนบุกรุกหุบเขา!”
พอเสียงของนางสิ้นสุดลง ก็มีเสียงดังกังวานมาจากนอกถ้ำ
“ศิษย์น้องจิน ตั้งแต่จากกันครานั้น ก็ไม่ได้พบกันนานเลย”
น้ำเสียงนี้ฟังดูแล้วเป็นของชายหนุ่มผู้หนึ่ง ดูจากคำพูดดูเหมือนจะคุ้นเคยกับจินอวี้หวนยิ่งนัก
“ซาทงเทียน!” พอจินอวี้หวนได้ยินเสียงนี้ ก็มีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา
หลิ่วหมิงกลับขมวดคิ้วขึ้นมา
คิดไม่ถึงว่าหูตาของซาทงเทียนในนิกายยอดบริสุทธิ์จะร้ายกาจเช่นนี้ จินอวี้หวนได้แปลงโฉมก่อนออกจากนิกายแล้ว และระหว่างทางก็ซ่อนร่องรอยมาโดยตลอด แต่เขายังตามมาถึงที่นี่ได้
สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขามากนัก
ดูท่าเขาคงรู้จักสถานะศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์น้อยไปหน่อย
แน่นอนว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ซาทงเทียนเอาใจใส่จินอวี้หวนแค่ไหน หรือไม่ก็รู้ความลับของบ่อเย็นตั้งนานแล้ว
แต่ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นศิษย์สายใน แต่ความจริงแล้วก็เป็นแค่ศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายคนหนึ่งเท่านั้น แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกยุ่งยากเล็กน้อย แต่ย่อมไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด
“ไป! ออกไปดูกันเถอะ!” เขาพูดออกมาอย่างราบเรียบ และพุ่งนำออกไปก่อน
จินอวี้หวนจ้องมองหลังของหลิ่วหมิง พริบตาเดียว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง ริมฝีปากขยับสองที อยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด และตามหลิ่วหมิงออกไป
ภายนอกถ้ำ ชายหนุ่มชุดผ้าแพรกำลังยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าสีหน้าเรียบเฉย พอเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าพุ่งออกมา ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย และพอจินอวี้หวนตามหลังเขาออกมา และยืนอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงแค่หนึ่งฉื่อ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเยือกเย็น แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว และกุมมือคารวะหญิงนางนี้
“ศิษย์น้องจิน ข้าเสียมารยาทแล้ว”
พอจินอวี้หวนเห็นชายหนุ่ม นางก็แสดงสีหน้าสะอิดสะเอียนออกมา แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงสังเกตดูรอบด้านทีหนึ่ง และสีหน้าของนางก็ซีดขาวขึ้นมา
“ซาทงเทียน คนเฝ้าหุบเขาสองคนนั้นอยู่ที่ไหน?” แม้ในใจนางจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ถามออกไปด้วยความหวัง
“อ้อ? ศิษย์น้องอวี้หวนพูดถึงเจ้างั่งสองคนที่ไม่รู้จักชั่วดีนั่นหรือ? ในเมื่อไม่รู้จักประมาณตนจะขัดขวางข้าให้ได้ ย่อมกลายเป็นวิญญาณภายใต้กระบี่อสรพิษหยกของข้าไปแล้ว” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเผยสีหน้าเยือกเย็น และหัวเราะออกมา
พอจินอวี้หวนได้ยินเช่นนี้ ก็โมโหจนตัวสั่น สายตาที่จ้องมองชายหนุ่มชุดผ้าแพรก็ดูเหมือนจะพ่นไฟออกมา
“ศิษย์น้อง มาถึงวันนี้เวลานี้แล้ว ใยต้องดื้อรั้นเช่นนี้ด้วยเล่า เพียงแค่เจ้ารับปากข้า กะอีแค่ตัวไหมน้ำแข็งตัวเดียว ข้าย่อมช่วยเจ้าจัดการได้อย่างง่ายดาย ใยต้องไปหาคนนอกด้วยเล่า?” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรทำราวกับมองไม่เห็นสายตาโกรธแค้นของหญิงสาว แต่กลับกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน และสายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่สนว่าท่านมีที่มาอย่างไร หากรู้จักเอาตัวรอดล่ะก็ รีบไปซะเดียวนี้ ข้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิเช่นล่ะก็ ข้าจะต้องสั่งสอนท่านสักครา” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรละสายตากลับมา และกล่าวอย่างราบเรียบ
“ความหวังดีของศิษย์พี่ซา ข้าน้อยรับไว้แล้ว แต่ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ข้าได้ลงนามสัญญาเวทของนิกายกับแม่นางจินแล้ว ครั้งนี้จะต้องรักษาความปลอดภัยของนาง คงต้องยอมรับการสั่งสอนจากศิษย์พี่ซาแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ดีมาก! ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ก็หาว่าข้าใจคอโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเองก็ไม่พูดอะไรให้มากความ และตบถุงบนเอวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลิ่วหมิงเขม้นสายตามองไปยังถุงสีขาวบนเอวชายหนุ่มทันที
ถุงหนังเป็นสีขาวสะอาด มีอักขระนูนคล้ายเกล็ดประทับอยู่บนนั้น กลิ่นไอที่แผ่ออกมาแตกต่างจากถุงเก็บของทั่วไป และถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณมาก มีไอน่าครั่นคร้ามแผ่ออกมา
“ฟู่!” แสงสีเขียวเปล่งประกาย กระบี่บินใสแจ๋วราวกับน้ำพุ่งออกจากถุง
พอชายหนุ่มชุดผ้าแพรทำท่ามือ กระบี่บินก็กลายเป็นแสงสีเขียวเจิดจ้าหมุนวนอยู่ตรงหน้า กลิ่นไอกระบี่แผ่ออกมาอย่างดุเดือด
“วิชาขี่กระบี่!”
แม้ก่อนหน้านั้นจะเคยได้ยินมาว่าซาทงเทียนก็เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ แต่พอวันนี้ได้เห็นกับตา หลิ่วหมิงถึงกับต้องถอนหายใจออกมา
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มาถึงแผ่นดินจงเทียน เขายังไม่เคยเจอผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริงเลย และดูจากอานุภาพของกระบี่บินเล่มนี้แล้ว วิชาขี่กระบี่ของเขาคงจะไม่ธรรมดา
จินอวี้หวนก้าวออกไปหนึ่งก้าว และยืนเคียงไหล่กับหลิ่วหมิงโดยไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็นำดาบยาวที่มีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา
หลิ่วหมิงกลับยกแขนขัดขวางนางไว้ และส่ายหน้ากล่าวออกมา
“แม่นางจิน ตรงนี้มอบให้ข้าก็พอแล้ว” พอกล่าวจบ เขาก็ไม่สนใจสีหน้างงงันของนางอีก และสะบัดแขนเสื้อปล่อยกระบี่บินสีแดงที่ปรับแต่งเสร็จแล้วออกมา ทันใดนั้นแสงสีแดงยาวจั้งกว่าๆ ก็พุ่งออกไป และหมุนอยู่เหนือศีรษะของเขา
ทันใดนั้น พายุร้อนก็ม้วนตัวออกไปรอบด้าน
ที่เขาตั้งใจทำเช่นนี้ ย่อมอยากจะทดสอบดูว่า ศิษย์สายในที่ได้ชื่อว่ามีคุณสมบัติเหนือผู้ใดนั้นในนิกายยอดบริสุทธิ์นั้น จะมีพลังเช่นใดในสถานการณ์ที่มีระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกัน
“เจ้าก็เป็นวิชาขี่กระบี่ด้วยหรือ?” พอชายหนุ่มชุดผ้าแพรเห็นแสงกระบี่สีแดงของหลิ่วหมิง ดวงตาของเขาก็เผยแววประหลาดใจออกมา
แต่เขาก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นในทันที พอแสงสีเขียวที่หมุนวนรอบตัวดับลง ก็เผยให้เห็นเงาร่างกระบี่ที่คล้ายกับน้ำ มันขยายใหญ่ตามลมจนมีขนาดหลายจั้ง และลอยอยู่ตรงหน้าเขา
“ฟัน!” น้ำเสียงอันเยือกเย็นตะโกนออกมาจากปากชายหนุ่มชุดผ้าแพร!
กระบี่ยักษ์ของชายหนุ่มพร่ามัว จากนั้นเงากระบี่อันครั่นคร้ามก็ปกคลุมไปทั่วฟ้า และฟันไปทางหลิ่วหมิง
“ถอยหลัง!”
หลิ่วหมิงตะคอกใส่จินอวี้หวนเบาๆ รูม่านตาค่อยๆ หดลง ขณะเดียวกันก็กระตุ้นเคล็ดกระบี่อย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้น แสงกระบี่สีแดงก็เปล่งประกาย และพุ่งออกไปรับทันที มันม้วนตัวแค่ทีเดียว ก็ขยายยาวสองสามจั้งภายในพริบตา พอเขาชี้ไปที่มัน ปลายกระบี่ก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นแสงทรงกลดขนาดใหญ่หลายจั้ง
เกิดเสียงดังราวกับเสียงฟ้าร้อง พอปราณกระบี่สีเขียวเข้ามาใกล้ ก็ถูกแสงทรงกลดสีแดงดูดเข้าไปในระลอกคลื่น ครู่เดียว ก็กลายเป็นสะเก็ดแสงกระเด็นออกไปทั่วทิศ
และทุกครั้งที่แสงทรงกลดสีแดงดูดกลืนแสงกระบี่สีเขียว ขนาดของมันก็ลดลงทีละนิด
ขณะนี้ จินอวี้หวนได้ถอยออกไปสิบกว่าจั้งแล้ว แต่ยังคงรับรู้ได้ถึงปรานกระบี่อันร้ายกาจที่แฝงมากับพายุอย่างชัดเจน ทำให้นางรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา
พลังของซาทงเทียนนั้นนางรู้จักดี แต่คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงที่มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง จะมีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ จากการแสดงออกในก่อนหน้านั้น นางคิดว่าเขาเป็นผู้ฝึกร่างคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเชี่ยวชาญวิชาขี่กระบี่ด้วย ทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีอานุภาพพอๆ กับซาทงเทียน
“ดูท่าคงจะเลือกถูกคนแล้ว” นางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ดวงตางดงามทั้งคู่ยังคงจ้องมองการต่อสู้ของทั้งสอง ขณะเดียวกัน มือของนางก็จับดาบยาวสีเขียวหยกไว้แน่น
“เร็ว!”
ซาทงเทียนเห็นว่าปราณกระบี่ของตนเองโจมตีไม่ได้สักที ก็รู้สึกร้อนใจมาก เขาเปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว แสงกระบี่ที่ปกคลุมเต็มฟ้าหยุดชะงักลง และกลายเป็นเงากระบี่สีเขียวที่มีขนาดใหญ่หลายจั้ง จากนั้นก็ฟันใส่แสงทรงกลดสีแดงของหลิ่วหมิง
“เปรี๊ยะๆ!”
แสงทรงกลดสีแดงพยายามต้านทานอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็แตกออกมาเป็นสองส่วน
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเผยแววตาโหดร้ายออกมา เขาควบคุมให้เงากระบี่สีเขียวฟันใส่หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่างอย่างต่อเนื่อง
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด และขยับตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็คว้ามือข้างหนึ่งออกไป และกระบี่จิตวิญญาณสีแดงก็ปรากฏอยู่ในมือ พอโยนมันออกไป ก็กลายเป็นแสงกระบี่สีแดง
โล่กระบี่เมื่อครู่เพิ่งถูกทำลายไป ปราณกระบี่บนตัวกระบี่ก็ถูกโจมตีจนสลาย แต่ตัวกระบี่ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
ภายในระยะเวลาสั้นๆ แม้ว่าขนาดของแสงกระบี่สีแดงจะเทียบไม่ได้กับเงากระบี่ยักษ์สีเขียว แต่ก็ยังมีขนาดจั้งกว่าๆ พอหลิ่วหมิงชี้ผ่านอากาศ มันก็ฟันเฉียงลงบนกระบี่ยักษ์สีเขียว
มีเสียงแตกร้าวดังออกมาติดต่อกัน พอกระบี่บินสองเล่มปะทะกัน มันก็พากันกระเด็นออกไป และหลิ่วหมิงก็พุ่งถอยออกไปหลายจั้ง
กระบี่บินสีแดงที่กระเด็นออกไปหลายจั้งหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และพุ่งกลับเข้ามาในมือของเขา
หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวททั้งหมดใส่เข้าไปในกระบี่บิน ทันใดนั้นกระบี่บินสีแดงก็ดูคล้ายกับทานโอสถเสริมพลังเข้าไป แสงสีแดงสั่นสะเทือน และกลายเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่ยาวหลายจั้ง และพุ่งไปรับมือกับแสงกระบี่สีเขียวของชายหนุ่มที่พุ่งเข้ามา
แสงกระบี่สองลำที่มีขนาดใกล้เคียงกันประสานกันไปมา และส่งเสียงดังตูมตามอยู่ตลอดเวลา ประเดี๋ยวแสงสีเขียวก็กดทับแสงสีแดงไว้ ประเดี๋ยวแสงสีแดงก็ควบคุมแสงสีเขียวไว้ ชั่วขณะนั้นไม่อาจตัดสินว่าใครเหนือกว่าใคร
แต่ว่าในที่สุดสถานการณ์ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
แสงกระบี่สีเขียวพุ่งออกไปในแนวขวาง ระหว่างที่แสงกระบี่ติดๆ ดับๆ นั้น มันก็ค่อยๆ ควบคุมแสงกระบี่สีแดงไว้
แม้หลิ่วหมิงจะได้คัมภีร์กระบี่ปราณแกร่งมา แต่เพราะไม่ได้ฝึกฝนวิธีการฝึกฝนกระบี่แบบอื่นๆ อย่างแท้จริง และตัวอ่อนกระบี่ในหอยสังข์ย่อส่วนก็หลอมขึ้นมาได้ไม่นาน จึงมีอานุภาพจำกัด วิชาขี่กระบี่ย่อมตกเป็นเบี้ยล่างเป็นธรรมดา
และกระบี่บินสีเขียวของชายหนุ่มชุดผ้าแพรเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด คุณสมบัติมันเหนือกว่ากระบี่บินระดับกลางที่หลิ่วหมิงซื้อมาจากตลาดยิ่งนัก
…………………………………