องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 767 หมอประจำจวนโจวมาแล้ว
ฝูงชนโกลาหล เสนาบดีเหวยบอกตนเองอย่างสุดชีวิตว่าหนานกงเย่ไม่ใช่ผู้กระทำแต่นางก็อดที่จะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ เช่นไรนั้นก็กลัวตาย! นางกลัวว่าคนต่อไปจะเป็นนาง!
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกโกรธอยู่บ้างในเวลานี้แล้วกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า: “เหตุใดท่านถึงได้สังหารเขาเช่นไรก็เป็นชีวิตหนึ่ง ข้าช่วยชีวิตอยู่เบื้องหน้าท่านสังหารคนอยู่เบื้องหลัง คนที่ท่านสังหารนั้นน้อยนิดหรือ ท่านต้องการสังหารถึงเมื่อใดกัน?”
“ข้าไม่ชอบหน้าเขา” หนานกงเย่หน้าตาจองหองและในขณะที่กล่าวเจ้าอีกาตัวหนึ่งก็บินเข้ามาจากด้านนอกแล้วร่อนลงบนไหล่ของหนานกงเย่ หนานกงเย่มองไปโดยที่ยังมีคราบเลือดอยู่ตรงปาก
ทุกคนตกใจกลัวไม่น้อยแต่หนานกงเย่กลับตำหนิว่า: “ยังไม่ได้ล้างปากให้สะอาดก็เข้ามา ออกไป!”
เจ้าอีกาได้ยินเข้าก็เหมือนจะตกใจกลัวซะแล้วจึงรีบบินออกไปราวกับเกรงว่าบินช้าแล้วจะถูกหนานกงเย่นำไปกินยังไงยังงั้น!
ทุกคนตกใจกลัวจนเกือบจะล้มลง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปตรงสถานที่ที่เจ้าอีกาบินไปอย่างโมโหและเหลือบมองหนานกงเย่อย่างดุดัน: “ท่านอ๋อง เรื่องนี้จะไม่มีทางปล่อยไปนะ!”
หนานกงเย่เลิกคิ้วพร้องกับเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นหยุดกล่าวราวกับว่ารู้ว่าตนเองทำผิดจึงไม่กล้ากล่าวสิ่งใดมากมายกับนาง
ฉีเฟยอวิ๋นนั้นอารมณ์ไม่ดีจริงๆ เหตุใดถึงได้ฆ่าคนหล่ะ
หากว่าไม่เห็นก็ช่างเถอะเห็นแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ!
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ฝั่งหนึ่ง หนานกงเย่ได้เดินเข้าไปพร้อมกับเอื้อมมือออกไปจูงมือฉีเฟยอวิ๋นและถูกฉีเฟยอวิ๋นใช้แรงสะบัดออก: “ท่านฆ่าคนอีกแล้ว?”
“ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่พูดคุยเมื่อครู่ถูกได้ยินเข้าแล้วมันก็ไปฆ่าซะแล้วใช่ว่าข้านั้นจะตั้งใจ”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น: “ท่านกล่าวจริงหรือ?”
“จริง!”
“ฮึ!”
อารมณ์ของฉีเฟยอวิ๋นช่างดีเช่นนี้ แค่ไม่กี่คำก็ไม่เป็นไรแล้วเหตุใดทุกคนจะไม่กังวลหล่ะ หนานกงเย่นิสัยบ้าคลั่งพร้อมทั้งวิธีการอันน่าสยอง ส่วนองค์ชายรัชทายาทก็หลงกลได้ง่ายดายเช่นนี้ช่างเป็นความโชคร้ายของแคว้นเฟิ่ง!
ทุกคนนั้นเศร้าใจโดยเฉพาะเสนาบดีเหวยซึ่งในขณะนี้นางเหงื่อออกทั่วใบหน้าเสียแล้ว นางยืนไปยืนมาก็เป็นลมไปเสียแล้ว
เฟิ่งไป่ซูมองไปแล้วกล่าวว่า: “พวกเจ้า ส่งเสนาบดีเหวยไปรักษาอาการก่อน ไม่รู้ว่าตกใจกลัวเสียแล้วหรือไม่ ราชบุตรเขยค่อนข้างจะใจร้อนไปหน่อยแต่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ในสายตาของบุรุษแห่งเมืองต้าเหลียงสตรีแต่งสามีรองเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกับบุรุษของแคว้นเฟิงจะแต่งอนุภรรยา ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ต้องคิดหาวิธีให้องค์รัชทายาทแต่งสวามีรองใดๆแล้ว
หากว่าองค์รัชทายาททรงยินยอมก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าเอ่ยขึ้น”
เฟิ่งไป่ซูได้ทำให้เรื่องนี้ผ่านไปและความโกรธก็ค่อยๆลดน้อยลง จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กล่าวว่า: “ทูลเสด็จแม่ ลูกเตรียมตัวออกเดินทางไปยังเมืองต้าเหลียงแล้วเพคะ ได้ข่าวจากทางเรือนว่าลูกชายคิดถึงจนไม่ยอมกินข้าว ในใจของลูกรู้สึกวุ่นวายสับสนยิ่งนักจะต้องกลับไปถึงจะได้”
“ก็ดี เจ้าก็มาเป็นระยะเวลานานแล้วและก็เป็นเวลาที่ควรกลับได้แล้ว เพียงแต่ว่าเจ้ากลับไปข้าก็ไม่ได้เตรียมสิ่งใดไว้ให้เจ้า เช่นนั้นก็มอบเพชรพลอยแต่ก่อนเหล่านั้นของข้าให้เจ้านะ นำกลับไปแล้วค่อยๆใช้งานเถอะ
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงประทานให้เพคะ”
เดิมทีควรจะถวายฎีกาเพื่อหารือเรื่องราวแต่ถูกคำพูดประโยคหนึ่งของเฟิ่งไป่ซูซึ่งเห็นด้วยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฟิ่งจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะจากไป แต่เมื่อเสนาบดีเหวยเกิดเรื่องและเสนาบดีเอ๋าไม่ได้รั้งเอาไว้ ไม่มีขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊กล้าในราชวงศ์กล่าวสิ่งใดมากมาย เพียงแค่มองดูใบหน้าของหนานกงเย่ก็ตัวสั่นกันไปหมด
ซูอู๋ซินกล่าวว่า: “ในเมื่อจะจากไปงั้นคืนนี้ก็จะจัดงานเลี้ยงอำลาให้พวกเจ้า ตัวข้าตี้จวินก็จะกลับไปปีกใต้รอบหนึ่งเพื่อจัดการเรื่องราวบางอย่างพร้อมทั้งพาฝ่าบาทเสด็จไปทอดพระเนตรขุนเขาและสายน้ำของปีกใต้ ท้ายที่สุดแล้วในภายภาคหน้าจะนำปีกใต้คืนสู่แคว้นเฟิ่งหรือไม่ก็ยังต้องหารือกันอีก
ส่วนเรื่องราวของแคว้นเฟิ่งนั้นมอบให้เอ๋าชิงดูแลจัดการชั่วคราว
เอ๋าชิงเจ้ารับตำแหน่งจักรพรรดิชั่วคราว ”
“กระหม่อมรับบัญชา!”
เอ๋าชิงคุกเข่าลงรับพระบัญชา ทุกอย่างราวกับว่าได้หารือกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขุนนางบุ๋นและบู๊ประหลาดใจกันจนปากไม่หุบเข้าหากันเลย ต้องการกล่าวสิ่งใดนั้นไร้ซึ่งกำลัง เช่นไรเสนาบดีเหวยก็ถอยออกไปกันหมดแล้ว
เรื่องนี้ได้จัดการไว้แล้ว กระทั่งถึงงานเลี้ยงตอนค่ำก็ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวคำว่าไม่
ฉีเฟยอวิ๋นนั้นจะออกจากแคว้นเฟิ่งไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ก็ยังคงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจริง งานเลี้ยงตอนค่ำนั้นมีผู้คนมากมายดื่มอวยพรให้ซึ่งนางไม่แตะเหล้าเลยสักหยด นี่กลายเป็นเรื่องราวใหม่ๆอีกเรื่องหนึ่งในแคว้นเฟิ่ง สตรีแห่งแคว้นเฟิ่งดื่มเหล้าเก่งกาจนักไหนเลยจะมีหญิงที่ไม่ดื่มเหล้า
ด้านการไม่ดื่มเหล้าของฉีเฟยอวิ๋นนั้นราวกับว่าช่างแปลกประหลาดยิ่งนักจนทำให้ผู้คนเป็นกังวล ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊แต่ละคนวิตกกังวลว่าชีวิตความเป็นอยู่ของฉีเฟยอวิ๋นในเมืองต้าเหลียงนั้นทุกข์ยากลำบากจึงได้ก้มหน้าก้มตายอมรับมัน แม้แต่เหล้าสักคำก็ไม่สามารถดื่มได้
ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมากตลอดทั้งคืน มีเพียงแค่ฉีเฟยอวิ๋นเท่านั้นที่รู้ว่านางไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้
หลังงานเลี้ยงยามค่ำฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่กลับไปแล้วและเตรียมการอำลาในวันพรุ่งนี้
แคว้นเฟิ่งยังต้องการส่งนาง ส่วนฉีเฟยอวิ๋นกำลังคิดว่าจะเอาเพชรพลอยเหล่านั้นในสุสานหลวงออกมาได้เช่นไร แต่หนานกงเย่กลับไม่ต้องการเคลื่อนย้ายเป็นการชั่วคราวซึ่งเขารู้สึกว่านำออกมาได้ก็ไม่ได้ใช้ หนทางยาวไกลนำกลับไปได้ยากลำบาก นี่แตกต่างจากการนำสิ่งของเหล่านั้นของเมืองอู๋โยวออกมาอย่างลับๆ ถึงกับเสแสร้งก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย
ฉีเฟยอวิ๋นงุนงง: “เหตุใดถึงไม่นำไป หากว่าผู้อื่นนำเอาไปเสียก่อนก็จะไม่เป็นการลำบากหรอกหรือ?”
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น: “แม้ว่าจะนำไปก็อาจจะไม่ได้ให้ข้าเป็นผู้ใช้ ยิ่งกว่านั้นเงินทองก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์ ภาระอันเร่งด่วนคือการแก้ไขปัญหาการดำเนินชีวิตของราษฎรของเมืองต้าเหลียง”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าที่หนานกงเย่กล่าวนั้นมีเหตุผลแต่ว่าเพชรพลอยของมีค่ามากมายเหล่านั้นปล่อยไว้ที่นั่นเช่นไรนางก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม
“ไม่เหมาะที่ใดกัน? ไว้ที่นั่นปลอดภัยที่สุด หาคนเฝ้าดูก็จะต้องมีคนขโมยไป เจ้าคิดว่าปลากินคนเหล่านั้นและงูทั้งหลายไม่สามารถจัดการได้หรือ ผู้คนที่สามารถเข้าไปได้จะมีสักกี่คนและสิ่งของมากมายเช่นนั้นลำเลียงออกมาได้หรือ?”
“เช่นนั้นก็แปลกนัก เป็นไปได้ไหมว่าพระราชเฟิ่งมีเส้นทางซึ่งนำไปสู่สุสานหลวง มิเช่นนั้นจะนำโลงศพเข้าไปได้เช่นไร?”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจ”
ตอนนี้หนานกงเย่เกียจคร้านเกินกว่าที่จะใส่ใจกับเรื่องเหล่านั้น แต่เรื่องต่อจากนี้นั้นค่อนข้างเร่งรีบหน่อย
“ก่อนกลับไปข้าจะไปทางปีกใต้โน่น เรื่องนี้ไม่เคยกล่าวถึง เดิมทีคิดว่าจากไปแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันแต่คิดไม่ถึงว่าซูอู๋ซินจะรู้ก่อนก้าวหนึ่งแล้วเขาก็จัดการเรื่องราวของแคว้นเฟิ่งเอาไว้เรียบร้อย หลังจากพรุ่งนี้ก็น่าจะตามพวกเราทัน” หนานกงเย่กล่าว
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้คิดเลยว่าซูอู๋ซินจะคำนวณเอาไว้ทุกอย่าง
หนานกงเย่นอนลงตบเบาๆให้ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อน
วันรุ่งขึ้นนั้นตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นหมอประจำจวนโจวซึ่งรีบเร่งมา หมอประจำจวนโจวมาถึงแคว้นเฟิ่งด้วยความตื่นตระหนกตลอดทาง เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าการอยู่ที่นี่สำหรับเขานั้นแล้วเป็นการถูกทอดทิ้งจึงรู้สึกไม่สบายใจ
ตอนนี้เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ร้องไห้เสียแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่าหมอประจำจวนโจวเป็นกังวลจึงมองย้อนกลับไปยังหนานกงเย่ซึ่งเขานั้นรู้ได้ดั่งเซียน
บุรุษก็ยังเข้าใจบุรุษมากพอ
“หมอประจำจวนเจ้าวางใจเถอะ เรื่องทางนี้จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าก็สามารถกลับไปได้แล้ว ข้าเสนอหมอสี่คนให้เจ้าโดยที่พวกนางจะเรียนรู้กับเจ้าอย่างทุ่มเท เจ้าฝึกสอนเรียบร้อยและสามารถจัดการเรื่องต่างๆทางนี้ได้แล้วเจ้าก็กลับไปได้ เจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องเป็นกังวล หมอเทวดาจะอยู่ที่นี่กับเจ้า ภายหน้าพวกเจ้าพี่น้องกลับไปพร้อมกันก็พอ”
“ข้ากระหม่อมขอบพระทัยพระชายา” ได้รับคำสัญญาจากฉีเฟยอวิ๋นแล้วหมอประจำจวนโจวจึงได้สบายใจขึ้นมาบ้าง และเขาก็ได้นำรถม้าขนาดใหญ่มาสิบคันซึ่งฉีเฟยอวิ๋นได้สั่งการเอาไว้ในจดหมาย สิ่งของเหล่านี้ที่นำมาในครั้งนี้ล้วนเป็นของที่แคว้นเฟิ่งไม่มี สิ่งที่สามารถนำมาได้ก็ได้จัดการเอาไว้หมดแล้ว แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นหวังว่าใต้หล้าจะไร้ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ
รถม้าจอดลงฉีเฟยอวิ๋นก็จะจากไปแล้วเช่นกัน หมอประจำจวนโจวหอดถอนใจไม่จบไม่สิ้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมาแคว้นเฟิ่งยิ่งคิดไม่ถึงว่าพระชายาจะมีชีวิตราวกับตำนานตอนหนึ่งเช่นนี้
โบกมือแล้วหมอประจำจวนโจวก็เช็ดน้ำตาจากนั้นหันหลังกลับไปจัดการเรื่องราวในสถานพยาบาล เขาต้องจัดการทางนี้ให้เรียบร้อยเร็วหน่อยเพื่อที่จะได้กลับไปโดยเร็ว และยังสามารถให้คำอธิบายต่อผู้ใหญ่และผู้น้อยในเรือนได้