ตอนที่ 776 คำเชิญประลองกะทันหัน ProjectZyphon
หลินสวินเงยหน้ามองออกไป ก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่หลังพาดกระบี่วิญญาณสีชาด รูปร่างกำยำล่ำสันยืนอยู่กลางโถงชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม
ใกล้ๆ ชายหนุ่มยังมีผู้ติดตามกลุ่มหนึ่ง
เสียงตะโกนหนวกหูมาจากกลุ่มผู้ติดตามนั่น
สายตาพวกเขามองไปยังประตูห้องซึ่งปิดสนิทห้องหนึ่งบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม เห็นชัดว่าฟางหลินหานจากอาศรมดาบแปดวิทูรน่าจะอยู่ในนั้น
“ยอดฝีมือรุ่นเยาว์หลิ่วไจ้เหวินแห่งตระกูลหลิ่ว! เขามาท้ารบฟางหลินหานด้วยตัวเองแล้ว!”
เสียงอึกทึกพลันดังขึ้นกลางโรงเตี๊ยม เผยฐานะชายหนุ่มพาดกระบี่วิญญาณสีชาดนั่น
ตระกูลหลิ่วเป็นหนึ่งใน ‘สี่สำนักสามตระกูล’ แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เส้นสนกลในเก่าแก่ยาวนาน มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแคว้นวิญญาณอัคนี
ภายในตระกูลมียอดฝีมือปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นแหล่งรวมผู้แข็งแกร่ง เฉกเช่นหลิ่วไจ้เหวินก็เป็นพวกชั้นยอดในรุ่นเยาว์ตระกูลหลิ่ว ในนครเตโชนับได้ว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลในบรรดาคลื่นลูกใหม่
“คราวนี้มีเรื่องสนุกดูแล้ว”
ผู้ฝึกปราณซึ่งมุงล้อมมากมายตื่นเต้นยิ่ง
ก่อนหน้านี้ยามหลินสวินเดินเล่นบนถนน ตลอดทางได้ยินข่าวเกี่ยวกับฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูรนั่นไม่น้อย
คนผู้นี้มาจากแคว้นวารีทมิฬ อายุน้อยแต่พลังต่อสู้เป็นเลิศ พรสวรรค์และหน่วยก้านล้วนเรียกได้ว่าน่าตกตะลึง
ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน ฟางหลินหานปรากฏตัวกลางลานประลองยุทธ์นครเตโช ขึ้นเวทีเข้าร่วมการต่อสู้ท้าประลอง
เขาอาศัยท่าทางแกร่งกร้าวทะลวงด่านอย่างราบรื่น พบเจอการต่อสู้น้อยใหญ่นับร้อยสนาม ซัดยอดฝีมือรุ่นเยาว์นับร้อยคนซึ่งมาจากขุมอำนาจต่างๆ ในแคว้นวิญญาณอัคนีจนพินาศ กระทั่งปัจจุบันยังไม่เคยพ่ายแม้เพียงครา!
เรื่องนี้ไม่ช้าก็ฮือฮาทั่วนครเตโชจนอึกทึกครึกโครม ทำให้ผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนีเกือบทั้งหมดต่างรู้จักนามฟางหลินหานนี้
อาศรมดาบแปดวิทูร สำนักซึ่งชื่อเสียงไม่โด่งดังแห่งหนึ่งในแคว้นวารีทมิฬ แต่กลับกลายเป็นที่รู้จักของทุกคนอย่างรวดเร็วเพราะฟางหลินหานที่ผงาดอย่างแกร่งกร้าว
ทว่าสำหรับผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนี ท้ายที่สุดฟางหลินหานก็ยังเป็น ‘คนต่างถิ่น’ คนหนึ่ง
ผลงานซึ่งฟางหลินหานได้รับยิ่งเจิดจรัส ยิ่งทำให้เห็นว่าพวกเขาผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนีไร้น้ำยาโดยไม่ต้องสงสัย
กระทั่งเรื่องนี้ยังถูกมองเป็นความอัปยศอดสูของคนรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนี!
ก็เหมือนกับข่าวสารที่หลินสวินได้ยินเกี่ยวกับฟางหลินหาน แทบจะแฝงอคติและมองเป็นศัตรูทั้งสิ้น
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้กลับทำให้หลินสวินรู้สึกยิ่งกว่าเดิมว่าฟางหลินหานคนนี้ไม่ธรรมดา กล้ามาแคว้นวิญญาณอัคนีตัวคนเดียว ขึ้นเวทีท้าประลองในนครเตโชอันเจริญเฟื่องฟูที่สุด ซึ่งเป็นของยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เพียงแค่ความห้าวหาญนี้ก็หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถมีได้
“ฟางหลินหาน เจ้ากลัวรึไง รีบออกมา!”
“ทำไม รู้ว่าคุณชายตระกูลข้ามาเยือน เจ้าจึงไม่กล้ารับคำท้ารึ”
“เจ้าบ้าคลั่งนักไม่ใช่รึไง เอ็ดตะโรว่าพวกข้าคนรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนีไม่มีใครสามารถต่อกรเจ้าได้ ทำไมตอนนี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะออกจากห้องเล่า”
บรรดาผู้ติดตามตระกูลหลิ่วพวกนั้นยังคงเอะอะ น้ำเสียงแฝงรสยั่วยุเต็มเปี่ยม
นานพอควร ประตูห้องซึ่งปิดสนิทนั้นก็มีเสียงเหนื่อยหน่ายดังออกมา “พวกหมาแมวที่ไหนมาโวยวายใส่ข้า รีบไสหัวไป อย่ามารบกวนการทำสมาธิของข้า”
ทุกคนส่งเสียงอื้ออึง ฉุนเฉียวไม่หยุด
แต่หลินสวินอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน แค่ฟังน้ำเสียงฟางหลินหานคนนี้คงระห่ำจริงดังว่า มีความกำเริบเสิบสานประการหนึ่ง
“เจ้าถึงกับกล้าด่าพวกเราเป็นหมาแมวรึ” ผู้ติดตามตระกูลหลิ่วพวกนั้นโกรธจนร้องตะโกน
แม้แต่หลิ่วไจ้เหวินซึ่งรอคอยอย่างเงียบๆ มาตลอด ขณะนี้ยังคิ้วขมวดมุ่นอย่างอดไม่อยู่ สีหน้าฉายแววเย็นเยียบ
เขาโบกมือหยุดเสียงเอ็ดตะโรของบรรดาผู้ติดตาม เงยหน้ามองไปทางบานประตูซึ่งปิดสนิทนั่น ก่อนกล่าวเย็นชา “ฟางหลินหาน หากเจ้ากลัวข้าจะไปตอนนี้ หากเจ้ากล้ารับคำท้าก็ออกมาหาข้า อย่ามาเสียเวลาทุกคนโดยเปล่าประโยชน์อีก”
“กลัว?”
ภายในห้องเสียงหัวเราะลั่นของฟางหลินหานดังออกมา น้ำเสียงอาจหาญเจือความหยิ่งผยอง “พรุ่งนี้เจ้ามาลานประลองยุทธ์นครเตโช ภายในสามดาบหากล้มเจ้าไม่ได้ ข้าผู้แซ่ฟางจะทำลายปราณทิ้งด้วยตัวเอง!”
เฮือก!
กลางที่นั้นเสียงสูดหายใจหนาวเยือกดังขึ้นฉับพลัน เจ้าฟางหลินหานนี่ไม่เพียงแต่หยิ่งผยอง ยังไม่เห็นใครในสายตาโดยสิ้นเชิง มองหลิ่วไจ้เหวินราวกับไร้ตัวตน!
นี่ไม่ใช่การกล่าวา ด้วยฝีมือของหลิ่วไจ้เหวิน เดิมทีก็สกัดสามดาบของเขาไม่อยู่หรอกรึ
ระห่ำเกินไปแล้ว!
ผู้ฝึกปราณมากมายซึ่งเฝ้าดูล้วนทนต่อไปไม่ไหว คนต่างถิ่นคนหนึ่ง แม้อาศัยความสามารถได้รับชัยชนะมาอย่างเจิดจรัสอยู่บ้าง แต่กลับหลงระเริงเช่นนี้ พาให้ผู้คนรู้สึกโมโหซะจริง
สีหน้าหลิ่วไจ้เหวินเองก็อึมครึม นัยน์ตาสาดแววเยียบเย็น เห็นชัดว่ามีโทสะ
ชิ้ง!
เบื้องหลังเขา กระบี่วิญญาณสีชาดเล่มหนึ่งพุ่งทะยานแหวกอากาศ เพลิงศักดิ์สิทธิ์เรืองรองแสบตา ดุจดั่งมังกรเพลิงก็ไม่ปาน น่าตระหนกชวนประหวั่นหาใดเปรียบ
“ไม่ต้องรอแล้ว ตอนนี้แหละที่ข้าจะให้เจ้าทำลายปราณตนเอง!”
ท่ามกลางน้ำเสียงเยียบเย็น หลิ่วไจ้เหวินยื่นมือจับกระบี่วิญญาณสีชาดมั่น เงาร่างวาบกะพริบ พลันพุ่งไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม ปลายกระบี่สาดแสงส่องสว่างลานตาสายหนึ่ง ฟันผ่าไปทางบานประตูซึ่งปิดสนิทนั่น
เขาหมายบีบบังคับฟางหลินหานออกมาสู้!
ผู้คนกลางที่นั้นกู่ร้องกันเซ็งแซ่ คิดว่าการกระทำนี้ของหลิ่วไจ้เหวินช่วยเชิดหน้าชูตาพวกเขา ไม่ให้ความน่ายำเกรงของพวกเขาเหล่าผู้ฝึกปราณแคว้นวิญญาณอัคนีต้องตกต่ำ
“มดเขย่าไม้ใหญ่ น่าขันที่ไม่เจียมตน”
แต่ไม่รอให้ผู้คนดีใจเร็วเกินไป ที่ตามน้ำเสียงปรามาสและหยิ่งผยองมาคือบานประตูซึ่งปิดสนิทพลันเปิดออก
แทบจะในเวลาเดียวกัน ปลายดาบสายหนึ่งพลันปรากฏ ดุจฟ้าร้องกัมปนาทกลางพื้นราบ ตามมาด้วยแสงสายฟ้าชวนประหวั่นควบทะยาน
พริบตานั้นดวงตามากมายแสบแปลบ จิตใจสั่นตระหนก ล้วนไม่อาจมองเห็นโดยกระจ่าง
ตูม!
เสียงปะทะอึกทึกดับโสตประสาทดังก้องขึ้น เศษไม้ลอยล่อง ราวระเบียงพังทลายแหลกละเอียด แสงสายฟ้าน่าพรั่นพรึงปรวนแปรแผ่กระจาย ทำเอาของประดับบางส่วนในโรงเตี๊ยมกลายเป็นจุณ
ในโรงเตี๊ยมนี้วางค่ายกลป้องกัน แต่กลับไม่อาจต้านทานและสลายพลังทำลายล้างนี้ นี่ทำให้ผู้คนตกตะลึง
จากนั้นคนทั้งหมดก็มองเห็น เงาร่างของหลิ่วไจ้เหวินที่ทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็ว ถูกการโจมตีซัดสะเทือนปลิวกระเด็นกลับมาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า กระแทกพื้นเสียงดังจนพื้นแตกทลาย ผิวดินเกิดหลุมมหึมา
ทันใดนั้นทั้งที่นั้นต่างตระหนก เงียบกริบไร้เสียง
บรรดาผู้ติดตามตระกูลหลิ่วยิ่งนิ่งอึ้งตะลึงงัน
พรวด!
หลิ่วไจ้เหวินกระอักเลือดกบปาก ทั่วร่างสั่นเทา หน้าอกยุบลง กล้ามเนื้อและกระดูกครึ่งหนึ่งแตกหัก เสื้อผ้าเครื่องประดับบนตัวเกินครึ่งถูกอสนีบาตจู่โจมกระจุย ไหม้เกรียมเป็นแถบ ดูอเนจอนาถเหลือประมาณ
เสียงเคล้งหนึ่งดังขึ้น กระบี่วิญญาณสีชาดของเขาร่วงกลับมา ปักเอียงอยู่หน้าเขา คร่ำครวญสั่นระรัวไม่หยุด
ทุกคนตรงนั้นตะลึงงัน นี่น่ะคือหลิ่วไจ้เหวิน ยอดบุคคลรุ่นเยาว์ตระกูลหลิ่วหนึ่งในสี่สำนักสามตระกูล!
แต่กลับพ่ายแพ้ในคราเดียวเช่นนี้?
คนมากมายไม่อาจรับความจริงนี้
กระทั่งแต่ต้นจนจบพวกเขาต่างเห็นไม่ชัดว่าหลิ่วไจ้เหวินพ่ายแพ้ได้อย่างไร!
‘แพ้ขาดลอย ความต่างของพลังมากเกินไป…’
หลินสวินสังเกตอยู่ด้านข้างโดยตลอด เห็นทุกรายละเอียดการต่อสู้อย่างชัดเจน แอบส่ายศีรษะอย่างอดไม่อยู่
ไม่จำเป็นต้องสงสัย ฟางหลินหานมีคุณสมบัติและความสามารถเพียงพอให้หยิ่งผยอง แต่หลิ่วไจ้เหวินกลับไม่รู้จักประมาณตัว ถึงขั้นเป็นไปได้สูงว่าเขาไม่รู้ชัดถึงพลังของฟางหลินหานก็บุ่มบ่ามวิ่งมาท้าทาย จนกระทั่งเกิดความพ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนี้
แน่นอน หลินสวินแค่รับบทคนผ่านทาง เขาไม่รู้สึกอะไรกับหลิ่วไจ้เหวิน
ที่ทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ คือ ความสามารถของฟางหลินหานนั่นเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นเยาว์อย่างแท้จริง
พลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น กลับมีพลังยุทธ์น่าหวาดกลัวยิ่งยวด โดยเฉพาะวิชาดาบของเขาอานุภาพยิ่งใหญ่อัศจรรย์ เผด็จการเต็มเปี่ยม จะต้องเป็นมรดกวิชาลับอหังการบางอย่างแน่
“กระบวนท่าเดียวยังรับไม่ไหว แล้วยังกล้าพูดเหลวไหลท้าทายข้า พวกเจ้าหาว่าข้าหลงระเริง ข้าว่าพวกเจ้าต่างหากที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำที่แท้จริง!”
พร้อมๆ กับเสียงที่ดังขึ้น เงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากห้องชั้นสองนั่น สองมือไพล่หลัง พิงราวระเบียงมองจากเบื้องสูง นัยน์ตาฉายแววชวนตระหนก
รูปร่างเขาสูงโปร่งทรงพลัง ผมยาวหนาแผ่สยาย เผยใบหน้าเจือกลิ่นอายบ้าระห่ำหล่อเหลา
ขณะพูดริมฝีปากเขายกขึ้นเล็กน้อยเป็นเส้นโค้งงดงาม ทั่วร่างแผ่พลานุภาพระห่ำและหยิ่งผยอง
นี่หาใช่หลงระเริงไม่ แต่เป็นพลานุภาพซึ่งแผ่จากภายในสู่ภายนอกประการหนึ่ง มีเพียงความมั่นใจเต็มขั้น พวกมั่นใจในความสามารถของตนอย่างแน่วแน่เท่านั้น จึงจะมีท่วงท่าชวนจับตามองเช่นนี้ได้
‘คนผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่ง’
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลง แอบทอดถอนใจ เยวี่ยเจี้ยนหมิงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทที่พบเจอหลายวันก่อนก็ทำเขารู้สึกตกตะลึง
และบัดนี้ ท่วงท่าของฟางหลินหานถึงกับไม่ด้อยไปกว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงนั่นแม้แต่น้อย!
เพียงแคว้นวิญญาณอัคนีแคว้นเดียว ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็พบเจอคนที่มีบุคลิกและพลานุภาพสมบูรณ์ต่างกันสองคน แต่ล้วนเรียกได้ว่าเป็นเหล่าอัจฉริยบุคคลแห่งยุค จะไม่ให้หลินสวินทอดถอนใจได้อย่างไร
ดินแดนรกร้างโบราณเป็นถิ่นที่ผู้กล้าปรากฏตัวต่อเนื่อง พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนจริงดังคาด!
“ดาบนี้ถือเป็นการเตือนพวกเจ้า ตัวข้าเป็นพวกบ้าระห่ำโดยกำเนิด แต่ก็รู้จักประมาณตน ไม่เหมือนพวกเจ้าที่ใจแคบและไม่ประมาณตัว!”
น้ำเสียงฟางหลินหานสบายอารมณ์ แฝงความโอหังอวดดีเป็นเอกลักษณ์
ภายในโรงเตี๊ยมเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง สีหน้าผู้ฝึกปราณแคว้นวิญญาณอัคนีทั้งหมดต่างเหยเก ถูกฟางหลินหานซึ่งเป็นคนต่างถิ่นตำหนิ ทำให้พวกเขาอับอายเดือดดาลไม่หยุด
“หืม?”
ทันใดนั้น เมื่อสายตาฟางหลินหานเหลือบเห็นหลินสวินกลางฝูงชนก็คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง มุมปากบางดุจปลายดาบฉายรัศมีประหลาดใจวูบหนึ่ง
จากนั้นเขามองหลินสวินอย่างสนอกสนใจพลางกล่าว “สหาย พรุ่งนี้สนใจมาลานประลองยุทธ์นครเตโชสู้กับข้าสักตั้งหรือไม่”
นัยน์ตาเขาฉายแววเปล่งประกายฮึกเหิมวูบหนึ่ง นั่นคือท่าทางดีอกดีใจที่ค้นพบคู่ต่อสู้ ไม่มีปกปิดแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าตรงไปตรงมายิ่ง
ผู้คน ณ ที่นั้นต่างตะลึงงัน ต่างหันสายตามองไปหลินสวิน และอดสงสัยไม่ได้ รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเวลานี้ฟางหลินหานกลับส่งคำเชิญประลองด้วยตัวเอง!
นี่ช่างยากพบเห็นเหลือเกิน
ถึงอย่างไรเมื่อครู่ยามหลิ่วไจ้เหวินส่งเสียงท้าประลองล้วนไม่เคยถูกฟางหลินหานใส่ใจ ไม่ยอมปรากฏตัวมาต่อสู้
แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับสลับกัน!
หรือเด็กหนุ่มหล่อเหลานั่นเป็นพวกชั้นยอดคนหนึ่ง? แต่ดูไปแล้วท่าทางไม่คุ้นหน้า เขาเป็นลูกหลานขุมอำนาจอิทธิพลไหนกัน
ทุกคนอยากรู้อยากเห็น พินิจพิเคราะห์หลินสวินอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่ตัวหลินสวินเองยังคาดไม่ถึงว่าฟางหลินหานจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ จึงอดชะงักไปเล็กน้อยไม่ได้
แต่จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ “มีโอกาสค่อยว่ากันเถอะ”
เขาจองห้องเรียบร้อยแล้ว ขณะพูดจึงเริ่มก้าวเท้าไปทางห้องตนเอง เขาเพิ่งมาถึงนครเตโช สถานการณ์อะไรล้วนไม่รู้ชัด มีหรือจะสนใจการต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กับ ‘คนบ้าระห่ำโดยกำเนิด’ คนหนึ่ง
นี่เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณตรงนั้นต่างตะลึงงันไม่หยุด เจ้าหมอนี่… ถึงกับปฏิเสธอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้? ไม่เกรงกลัวสิ่งใดหรือเพราะหวาดกลัวในใจกันแน่
“ไม่เป็นไร ข้ารอเจ้า”
ฟางหลินหานยิ้มบางๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย รวมกับบุคลิกบ้าระห่ำและอิสระนั่นของเขา ให้ความรู้สึกเหมือนปีศาจหลงระเริงแปลกประหลาดประการหนึ่ง
หากอาศัยแค่ใบหน้าและบุคลิก ฟางหลินหานถือเป็นชายที่โดดเด่นอย่างยิ่ง
ต่อให้เอาเขาไปทิ้งกลางฝูงชน ก็ยังไม่อาจปิดบังรัศมีของเขา ต้องเป็นคนที่ถูกจับตามองที่สุดแน่
ทว่าทั้งที่เขาถูกปฏิเสธและไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย กลับไม่มีท่าทางหยิ่งผยองบ้าระห่ำดังก่อนหน้า การตอบสนองเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นงงงันยิ่งกว่าเดิม
……………..