ตอนที่ 257-2 จิตใจกตัญญูของสวีโย่ว

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เสิ่นเวยที่สวีโย่วบอกว่าพักฟื้นอาการป่วยอยู่ในจวนกลับไม่อยู่ในจวน หลังสวีโย่วไปได้ไม่นานเสี่ยวตี๋ก็มาแล้ว “จวิ้นจู่ เสี่ยวอันอยากพบท่านเจ้าค่ะ”

 

 

“เสี่ยวอันหรือ” เสิ่นเวยประหลาดใจ เสี่ยวอันคือใคร นางจำไม่ได้ว่านางรู้จักคนผู้นี้

 

 

เสี่ยวตี๋ตบหน้าผากนึกออกทันที กล่าวอธิบาย “จวิ้นจู่ เสี่ยวอันก็คือคนผู้นั้นที่พวกเราช่วยหลังกลับมาจากซีเจียงตอนนั้น คือนายโลมผู้นั้น” นางกล่าวเตือน

 

 

เสิ่นเวยเพิ่งจะนึกออก “เขาน่ะหรือ เขายังไม่ไปอีกหรือ” ตอนแรกที่ช่วยไว้เพียงแค่ถือโอกาส นางคิดว่าคนผู้นั้นจากไปนานแล้ว

 

 

“เปล่า” เสี่ยวตี๋ส่ายหน้า “เสี่ยวอันหายดีแล้วก็ไม่ได้เอ่ยปากว่าจะไป ผู้น้อยเคยพูดครั้งหนึ่ง เขาบอกว่าไม่มีที่จะไป ผู้น้อยนึกถึงตอนแรกที่เขาบอกว่าเชี่ยวชาญการคำนวณและกลไก จึงเก็บเขาไว้ เขากลับซื่อสัตย์อย่างยิ่ง หางานมาทำเอง ซ้ำยังไม่ถามนู่นถามนี่ นอกจากถามหาพู่กันหมึกกระดาษกับผู้น้อยแล้วก็ไม่เคยร้องขออะไรที่เกินไปเลย” ดูออกว่าเสี่ยวตี๋มีความประทับใจต่อเสี่ยวอันผู้นี้อย่างมาก

 

 

“เจ้าเอ่ยถึงฐานะของข้าต่อหน้าเขาแล้วหรือ แล้วรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาถึงขอพบข้า” คิ้วของเสิ่นเวยขมวดมุ่น

 

 

บนใบหน้าเสี่ยตี๋มีความกระดากใจปรากฏขึ้น “จวิ้นจู่ เป็นผู้น้อยที่สะเพร่า มีครั้งหนึ่งที่พูดพลั้งปาก ผู้น้อยเอ่ยคำว่าจวิ้นจู่ออกไป คาดว่าเสี่ยวอันคงจะเดาได้จากตรงนี้กระมัง”

 

 

หยุดครู่หนึ่งนางจึงกล่าวต่อ “สำหรับเหตุผลที่ต้องการพบท่าน เขากลับไม่ได้บอก เพียงแค่ฝากข้ามาบอกท่านให้ได้ อีกทั้งยังให้สิ่งนี้กับผู้น้อย บอกว่าให้นำมาให้ท่านดู” เสี่ยวตี๋ยื่นซองจดหมายที่ยังไม่เปิดซองฉบับหนึ่งเข้าไป

 

 

เสิ่นเวยรับมาเปิดออก ดึงกระดาษข้างในออกมาอ่าน ยิ่งอ่านลงไปข้างล่าง สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึม ที่แท้แล้วในกระดาษล้วนเป็นภาพกลไกแต่ละภาพๆ จุดที่ชำนาญแม้แต่คนที่ทะลุมิติมาจากยุคปัจจุบันเช่นนางยังตกตะลึง ดูท่าแล้วเสี่ยวอันผู้นี้ยังเป็นผู้มีฝีมือจริงๆ

 

 

“ไปเถอะ ข้าจะไปพบเขาเสียหน่อย” เสิ่นเวยเก็บกระดาษกลับเข้าไปในซอง ไม่พูดไม่ได้ว่าเสี่ยวอันอะไรนี่ดึงดูดความสนใจของนางสำเร็จ อย่างไรเสียก็ว่างไม่มีอะไรทำ ไปดูเสียหน่อยว่าเขาต้องการอะไรกันแน่

 

 

เสี่ยวตี๋นำเสิ่นเวยเลี้ยวเลาะมาถึงเรือนหลังเล็กที่ไม่ดึงดูดสายตาหลังหนึ่ง เคาะประตูเบาๆ เพียงแค่ชั่วครู่ ประตูก็เปิดออกจากข้างใน เป็นชายรูปร่างเตี้ยอายุประมาณยี่สิบปี เห็นเสี่ยวตี๋ก็ดีใจอย่างนิ่ง กำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็เห็นเสิ่นเวยที่ตามมาข้างหลัง รีบยืนคำนับ “นายท่าน”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า “ไม่ต้องมารยาทมาก เข้าไปเถอะ”

 

 

นี่ยังคงเป็นครั้งแรกที่เสิ่นเวยมายังจุดประสานงานของทหารลับ อยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ แต่หลังจากดูไปได้พักหนึ่งแล้วนางก็ไม่ได้สนใจ ก็แค่เรือนหลังเล็กที่ธรรมดาที่สุด ต่อให้ดูมากกว่านี้ก็ไม่มีดอกไม้บานออกมาหรอก

 

 

ไม่นานนักเสี่ยวอันก็ถูกพาเข้ามา “ผู้น้อยคารวะจวิ้นจู่” เขาคำนับอย่างนอบน้อม

 

 

คิ้วของเสิ่นเวยเลิกขึ้น หัวเราะเงียบๆ เล็กน้อย เกรงว่าเสี่ยวอันผู้นี้จะไม่ใช่คนธรรมจริงๆ แค่ดูจากกิริยาการเดินและการคำนับของเขาก็ดูออกเล็กน้อยแล้ว ของบางอย่างก็ตีตราอยู่บนตัว ไม่ใช่ว่าเจ้าปิดแล้วจะปิดได้

 

 

“ฟังว่าเจ้าอยากพบข้างั้นหรือ” เสิ่นเวยพูดเข้าประเด็น

 

 

“ไม่ทราบว่าของของผู้น้อยเข้าตาจวิ้นจู่บ้างหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวอันไม่ตอบแต่ถามกลับ

 

 

มุมปากของเสิ่นเวยยกขึ้นเล็กน้อย “ไม่เลวเลย ภาพกลไกของเจ้าเป็นภาพที่ประณีตที่สุดที่ข้าเคยเห็นในชีวิตนี้ ไม่รู้ว่าฝีมือของเจ้าใช่จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่” ไม่ใช่ว่ารู้เพียงกลยุทธ์บนแผ่นกระดาษเหมือนกับจ้าวคั่วหรอกนะ

 

 

เสี่ยวอันชายตามองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง กล่าวอย่างตั้งใจ “ขอเพียงแค่จวิ้นจู่รับปากผู้น้อยเรื่องหนึ่ง ผู้น้อยจะไม่ทำให้จวิ้นจู่ผิดหวังเด็ดขาด” มือของเขากำแน่น พยายามสงบความตื่นเต้นภายในใจ

 

 

โอกาส นี่คือโอกาสล้างแค้นเพียงครั้งเดียวของเขา เขาจะต้องคว้าไว้ให้ได้ เขาไม่กล้าดูถูกสตรีที่อายุน้อยกว่าเขาหลายปีผู้นี้ตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว เขาอยู่ในเรือนหลังเล็กแห่งนี้ได้หลายเดือนแล้ว จากเงื่อนงำเบาะแสในวันปกติก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด แล้วคนที่เป็นนายของพวกเขาจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร เขาไม่สนว่านางจะเป็นจวิ้นจู่ตระกูลใด ขอเพียงแค่สามารถช่วยเขาล้างแค้นได้ ต่อให้จะเป็นปีศาจเขาก็ยินยอมถวายชีวิตของเขา

 

 

เสิ่นเวยยังคงสนใจจริงๆ ในจวนเสนาบดีฉินจะต้องมีห้องลับอยู่แน่นอน เสี่ยวอันผู้นี้ยังส่งไปใช้งานได้จริงๆ “ขอเพียงแค่ไม่ผิดหลักทำนองคลองธรรมเจ้าก็พูดมาเถอะ”

 

 

เสี่ยวอันมองเสิ่นเวยนิ่งๆ หลังจากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง “จวิ้นจู่ ข้าคืออันจยาเหอ อันอี้แม่ทัพใหญ่อันคือพ่อข้า”

 

 

ประโยคหน้าเสิ่นเวยไม่ได้สนใจ ประโยคหลังก็เปรียบเสมือนฟ้าผ่าบนที่ราบ เสิ่นเวยลุกพรวดขึ้นมา “ว่าไงนะ พ่อเจ้าคือแม่ทัพใหญ่อันหรือ แม่ทัพใหญ่อันที่ถูกฆ่าใส่ความเมื่อสี่ปีก่อนหรือ ตระกูลเขาไม่ใช่ตายยกครัวหมดแล้วหรือ”

 

 

ฆ่าใส่ความคำนี้ทำให้อันจยาเหอตาแดงให้ชั่วพริบตา ประหนึ่งย้อนกลับไปในวันตะวันรอนที่อาทิตย์อัสดงเป็นสีเลือด พ่อเขาถูกจับขึ้นรถขนนักโทษ แม่เขาตาย พี่ชายทั้งหลายของเขาตาย น้องสาวที่เพิ่งจะหมั้นหมายของเขาก็ตาย ลุงเฝ้าประตูตาย อาหลี่ที่ขับรถตาย ยังมีลุงพ่อบ้านที่ตายเช่นเดียกวัน กระทั่งเสี่ยวเฮยจื่อที่โตมาพร้อมกับเขาก็ตาย…ล้วนตายหมดแล้ว พวกเขาล้วนตายหมดแล้ว โลหิตนองพื้น!

 

 

“มีเพียงข้าที่ยังมีชีวิตอยู่ มีเพียงข้าที่ยังใช้ชีวิตไปวันๆ” เสียงของอันจยาเหอสะอื้นไห้ “จวิ้นจู่ พ่อข้าถูกฆ่าใส่ความ พ่อข้าเป็นชายกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ไม่มีทางทุจริตเงินกองทัพทำเรื่องที่ผิดต่อฝ่าบาทและราชสำนักแน่นอน!”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า “ใช่ ผู้ตรวจการโจวก็เดินทางไปตรวจสอบที่ด่านชายแดนตอนเหนือแล้ว พ่อเจ้าจะต้องถูกใส่ความแน่นอน ฝ่าบาททรงพิโรธ สั่งให้ราชสำนักตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เจ้าได้ยินข่าวลือนี้แล้วใช่หรือไม่”

 

 

“ขอรับ ข้าได้ยินพวกเขาพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ” อันจยาเหอยอมรับด้วยความไร้กังวลอย่างยิ่ง “ตอนแรกที่จวิ้นจู่ช่วยไว้น่าจะรู้ภูมิหลังของข้า ตกอยู่ในสถานที่โสมมเช่นนั้น ข้าทำให้บรรพบุรุษตระกูลเหอต้องอับอาย แต่เป็นลูกหลาน ข้าไม่อาจทนมองพ่อข้าได้รับความไม่เป็นธรรมคนในตระกูลถูกฆ่าตายเฉยๆ ได้ เพื่อที่จะแก้แค้น จึงแบกร่างกายที่พิการพยายามมีชีวิตต่อไป จวิ้นจู่ได้โปรดช่วยข้าอีกแรง” ศีรษะของเขาก้มต่ำอย่างยิ่ง แม้แต่นายโลมก็เป็นแล้ว ศักดิ์ศรีถูกย่ำยีติดพื้นไปนานแล้ว ยังจะห่วงหน้าไปทำไม

 

 

“เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ” เสิ่นเวยรีบกล่าว บุตรของแม่ทัพใหญ่อัน เขาเองก็เป็นคุณชายตระกูลดัง คุกเข่าเช่นนี้อย่างกับอะไรดี

 

 

ทว่าอันจยาเหอกลับดื้อรั้นไม่ขยับ “จวิ้นจู่ได้โปรดช่วยข้าด้วย” ท่าทางเสิ่นเวยไม่ตอบรับเขาก็จะไม่ลุกขึ้น

 

 

เสิ่นเวยก่ายหน้าผากกล่าว “เจ้ารู้หรือว่าข้าคือใคร”

 

 

อันจยาเหอส่ายหน้า “รู้เพียงแต่ว่าท่านเป็นจวิ้นจู่”

 

 

เสิ่นเวยกล่าว “ตำแหน่งจวิ้นจู่นี้ของข้าไม่ใช่สายโลหิตราชนิกุล ข้าเกิดในจวนจงอู่โหว ปู่ข้าคือเสิ่นผิงยวนที่เคยปกครองซีเจียง ข้าเคยได้ยินเขาพูดว่ามีสัมพันธไมตรีกับแม่ทัพใหญ่อันเล็กน้อย ยกย่องชมเชยแม่ทัพอันอย่างยิ่ง หลังตระกูลเจ้าเกิดเรื่องปู่ข้ายังส่งคนไปหาที่ตอนเหนือ แต่น่าเสียดาย ข่าวที่ได้รับคือพวกเขาเสียชีวิตทั้งตระกูล เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ หากปู่ข้ารู้ว่าแม่ทัพใหญ่ยังมีทายาทอยู่ จะต้องไม่นิ่งดูดายแน่นอน”

 

 

อันจยาเหอที่นั่งอยู่มีความรู้สึกประดังประดาเข้ามา ในดวงตาปรากฏความหวังอันแรงกล้า ดี ดีจริงๆ ที่แท้แล้วจวิ้นจู่ผู้นี้ก็เป็นหลานสาวของสหายผู้นั้นของพ่อเขา! สวรรค์มีตา ในที่สุดก็ให้เขาหาถูกคนแล้ว

 

 

“ข้าขอบคุณบุญคุณช่วยเหลือของจวิ้นจู่ไว้ก่อน” การแก้แค้นมีหวัง เบ้าตาของอันจยาเหอร้อนผ่าว พยายามกำหมัดบังคับน้ำตากลับไป

 

 

ในเมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว เสิ่นเวยย่อมไม่อาจไม่ยุ่ง คราวก่อนตอนที่ท่านปู่เอ่ยถึงเรื่องของแม่ทัพอัน ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ เพื่อทำให้ปู่นางสบายใจนางก็ต้องลงมือ! ส่วนจะลงมืออย่างไร ยังคงต้องไปปรึกษาท่านปู่กับคุณชายใหญ่ของนางก่อน

 

 

“เรื่องนี้ใหญ่ยิ่งนัก ข้าต้องกลับไปปรึกษาท่านปู่ก่อน เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว มีเรื่องอะไรก็ให้พวกเขาส่งข่าวให้เจ้าก็ได้แล้ว” เสิ่นเวยกล่าวกับอันจยาเหอด้วยความสุภาพ

 

 

อันจยาเหอพยักหน้า กล่าวขอบคุณอีกครั้ง “ตามแต่ที่จวิ้นจู่จะจัดการ” สี่ปีเขายังรอได้ รออีกไม่กี่วันจะเป็นอะไรไป

 

 

เสิ่นเวยพาคนออกไปแล้ว ก่อนไปยังสั่งให้เสี่ยวตี๋เพิ่มการคุ้มกันเรือนหลังนี้ให้เข้มงวดขึ้นอีกด้วย