เย่เทียนก้าวต่อไปข้างหน้าอีกสองก้าว สามคนที่รับผิดชอบดูแล ในที่สุดก็เห็นรูปลักษณ์หน้าตาของเย่เทียนอย่างชัดเจน
คนที่อยู่ศูนย์กลางคนนั้นระมัดระวังตัวมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และสังเกตเห็นอย่างแจ่มชัดว่าแขนที่เปลือยเปล่าของเย่เทียนเป็นสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ เขาสะดุ้งตกใจในทันที รูม่านตาของเขาหดตัวเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ อ้าปากตะโกนว่า “เปิด…”
เย่เทียนซึ่งให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของทั้งสามคนมาโดยตลอด เมื่อเห็นว่าชายที่อยู่ตรงศูนย์กลางสีหน้าผิดปกติ เขาจะกล้าเสี่ยงได้ไง เขาสะบัดมือทั้งสองข้างทันที และเหรียญระหว่างนิ้วก็เปลี่ยนให้กลายเป็นอาวุธแห่งความตายทันที ยิงไปทางสามคนนั้น!
พัฟ พัฟ!
ชายผู้น่าสงสารที่อยู่จุดศูนย์กลางตะโกนออกมาแค่คำเดียว เมื่อเหรียญจมลึกเข้าไปในหัวคิ้วของเขา ดิ้นรนเล็กน้อย ปล่อยอาวุธในมือของเขาโดยไม่รู้ตัว และล้มตัวลงไปด้านหลังทันที
องครักษ์อีกสองคนก็เช่นเดียวกัน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือส่วนที่บาดเจ็บอยู่ที่ลำคอ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ เขาจับคอแล้วล้มลงช้าๆ หายใจไม่ออกครู่เดียวก็หมดลมหายใจโดยสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนจบชีวิตลงพร้อมกันเย่เทียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ต้องขอบคุณความลังเลใจของผู้รับผิดชอบทั้งสามคน ทำให้เขาสามารถเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าว ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์จะเป็นยังไงก็ยังไม่แน่นอน
“ซูเหมย? ซูเหมย เป็นคุณใช่มั้ย?”
เย่เทียนก้าวไปข้างหน้าและคลำหาซากศพทั้งสามอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเขาพบกุญแจประตูเหล็กของห้องขัง ครั้งนี้ถามออกเสียง
“เย่เทียน? นั่นคุณใช่ไหม?”
ร่างที่ซ่อนอยู่หลังราวเหล็กพุ่งมาข้างหน้าทันที มือทั้งสองข้างจับราวบันไดไว้แน่นสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ตั้งแต่เธอถูกอิชิโระ ยามาโมโตะพาเธอไปที่สามเหลี่ยมทมิฬสามเหลี่ยมดำ ซูเหมยนอกจากจะพึ่งพาช่วยเหลือตัวเองแล้ว ก็ไม่คิดว่าจะมีคนมาช่วยเธอ เธอถึงกับฝันว่าวีรบุรุษเย่เทียนพากองทหารมาช่วยตัวเธอหลายครั้ง ตอนนี้เย่เทียนปรากฏตัวต่อหน้าเธอจริงๆ อารมณ์ความรู้สึกของเธอแค่คิดก็รู้ว่าเป็นยังไง
“เด็กโง่ ถ้าผมไม่ใช่มาช่วยคุณ แล้วผมมาที่นี่เพื่อมาเที่ยวเหรอ?”
เย่เทียนรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเปิดประตูเหล็กขนาดใหญ่ออก
“มีอะไรออกไปจากที่นี่ค่อยคุยกัน !”
เย่เทียนสำรวจมองซูเหมยครู่หนึ่ง เห็นว่าแม้เธอจะดูซีดเซียวเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่เห็นมีรอยแผลอะไร หัวใจที่ห้อยอยู่ในลำคอ ในที่สุดก็โล่งอกอีกครั้ง “เป็นไงบ้าง? เธอเดินไหวมั้ย?”
“ฉันไม่เป็นไร!”
ซูเหมยรู้สึกตื้นตันใจ แต่เธอก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องรักๆใคร่ๆ ค่อยๆพยักหน้า
ขณะนี้ทั้งสองคนก็ไม่รอช้า เย่เทียนนำทางโดยจับมือที่ขาวนวลของซูเหมยและเดินออกไปข้างนอก
ปัง ปัง!
ในเวลาเดียวกัน เสียงปืนยังคงดังอยู่นอกหมู่บ้าน และทหารพรางตัวภายใต้การนำของถ่ามู่ถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดกลุ่ม โดยสับเปลี่ยนรูปแบบตามสถานการณ์ ลูกปืนเยอะจนเหมือนสายฝนที่โปรยลงมา และมุ่งไปทางศัตรูอย่างบ้าคลั่ง
ถ่ามู่ปีนขึ้นไปอย่างระมัดระวังหลังต้นไม้ใหญ่บนเนินเขา และปืนที่หนักเป็นพิเศษนั้นถูกเขาวางทิ้งไว้ข้างๆนานแล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะแบกต่อไป แต่เหตุผลก็คือ ความเร็วของไฟนั้นเร็วเกินไป ซึ่งทำให้ลำกล้องปืนร้อนได้ง่าย ทุกๆไม่กี่นาก็ต้องทำให้เย็นลง มิเช่นนั้นก็จะระเบิดได้
“ทีมสไนเปอร์ ระวังทิศทางตอนสิบโมงของเรานะ มีผู้ชายคนหนึ่งถือปืนบาซูก้า ช่วยฆ่าเขาให้เร็วที่สุด!”
ถ่ามู่ยื่นหัวออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อสังเกตสถานการณ์การต่อสู้ และรีบปิดหูฟังและตะโกนขึ้นมา
บูม!
ภายในสองวินาที ชายผู้ถือเครื่องยิงจรวดในหมู่บ้านคนนั้นก็ถูกยิง ภายใต้การโจมตีของกระสุนลำกล้องใหญ่ หัวของเขาทั้งหัวราวกับระเบิดลูกแตงโม เลือดผสมเนื้อแตกกระจายไปทั่วพื้น
ฉากนี้ทำให้สมาชิกที่ติดอาวุธรอบตัวกลัวจนรีบซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลัวว่าตัวเองจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้
หลังจากออกคำสั่ง ถ่ามู่ก็ไม่แม้แต่จะมองมันอีกเลย เขายกปืนไรเฟิลในมือขึ้นอย่างสงบ แล้วยิงไปที่กระดานไม้ตรงทางเข้าหมู่บ้านอย่างแม่นยำ
ปัง ปัง!
ใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดแผ่นไม้ก็เต็มไปด้วยรูกระสุน และชายติดอาวุธสองคนที่ซ่อนอยู่ข้างหลังอดไม่ได้จนวิ่งออกมา
แต่น่าเสียดายถ่ามู่ที่เล็งไว้นานแล้วไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาเลย กระสุนสองนัดยิงเข้าที่หัวอย่างแม่นยำ แล้วส่งพวกเขาลงไปแย่งที่ดินสู้กับยมบาล
“หัวหน้า! ผมเพิ่งได้รับข่าวจากนายท่านรอง บอกว่าคุณหนูใช้ดาวเทียมเพื่อค้นหาพบว่าทางตูลี่ได้เคลื่อนไหวเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธสองลำ พวกเขากำลังบินอยู่ตอนนี้ เกรงว่ามากสุดอีกประมาณแปดนาทีคงถึงจุดเป้าหมาย!”
วินาทีถัดมา มีข่าวด่วนเข้ามาทางหูฟัง ทำให้สีหน้าของถ่ามู่มืดมนลง
“เกียรติของส้งลาช่างใหญ่มากนัก ทำให้ตูลี่ยอมลงทุนขนาดนี้ สั่งเฮลิคอปเตอร์สองลำบินตรงมาที่นี่”
ถ่ามู่ชะงักครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ตะโกนด่าเสียงดัง “หน่วยยิงคุ้มกันทางพวกนายเหลือจรวดมิสไซล์กี่ลูก!
“รายงาน หน่วยยิงคุ้มกันคนแรกเหลือจรวดมิสไซล์อยู่หนึ่งลูก!”
“หัวหน้า หน่วยยิงคุ้มกันคนที่สองเหลือสองลูก!”
ในไม่ช้าก็ได้ยินรายงานจากมือปิดหน่วยยิงคุ้มกัน
“บัดซบ! ไอ้พวกล้างผลาญ ใช้เวลาอันสั้นก็เหลือเพียงแค่สามลูก?”
ถ่ามู่ขมวดคิ้ว และรีบสั่งการทันที “ตอนนี้ แม่งผมบอกทุกคนหยุดใช้จรวดมิสไซล์! อีกสักพักจะสามารถจัดการเครื่องบินสองลำที่ตูลี่ส่งมาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกนายแล้ว!”
ทันใดนั้นถ่ามู่ก็เปลี่ยนช่องคลื่นความถี่อีกครั้ง และตะโกนใส่หูฟังต่อไปว่า “คุณชายเย่ คุณชายเย่ สถานการณ์ทางคุณเป็นอย่างไรบ้าง หาคนพบหรือยัง?
เย่เทียนที่กำลังจะพาซูเหมยออกไป ตอบอย่างรวดเร็วว่า “หาพบแล้ว ผมกำลังจะพาเธอออกไปเดี๋ยวนี้!”
ถ่ามู่ตะโกนพูด “ดี คุณชายเย่ พวกคุณรีบเร่งความเร็วออกมาเลย ทางนายท่านรองคาดว่าใกล้จะรับมือไม่ไหวแล้ว กองทหารแนวหน้าที่ ตูลี่ส่งมาจะมาถึงภายในเวลาไม่เกินแปดนาที”
“ผมรู้แล้ว เราพยายามจะออกไปให้เร็วที่สุด”
เย่เทียนชะงัก และรีบก้าวขึ้นไปสองสามก้าวเพื่อเดินจากไป
ในเวลาเดียวกัน ในห้องสงครามที่ส้งลาตั้งไว้ชั่วคราว ชายติดอาวุธคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก พูดด้วยเสียงหอบ“ท่านส้งลาแย่แล้ว แย่แล้ว อีกฝ่ายบุกเข้ามานี่แล้ว!”
“เป็นไปได้ยังไง พวกเราอย่างน้อยก็มีมากกว่าสามร้อยคน ทำไมถึงให้อีกฝ่ายบุกเข้ามาได้ล่ะ?”
ส้งลาสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ความสงบใจเย็นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหายไปในทันที และตะโกนว่า “กองสนับสนุนล่ะ? กองสนับสนุนที่ตูลี่ส่งมาอยู่ที่ไหนแล้ว?”
“ท่านส้งลา กองสนับสนุนที่ท่านตูลี่ส่งมาถูกขวางไว้กลางทาง ไม่ต้องกังวลไม่ว่ายังไงพวกเขาได้ส่งเฮลิคอปเตอร์มาที่นี่แล้วสองลำ น่าจะมาถึงในอีกประมาณ 8 นาที”
“แปดนาทีเหรอ?”
ส้งลาบ่นไปคำหนึ่งแล้วสั่งว่า “ช่วยฉันส่งข่าวนี้ลงไป ขอเพียงพวกเรายืนหยัดต่อไปอีกแปดนาที ชัยชนะจะเป็นของเราอย่างแน่นอน!”
“แปดนาทีจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว คุณคิดว่าคุณจะรอถึงเหรอ?”
ในขณะนี้ คำพูดที่เย็นชาและไร้ความปรานีก็ดังขึ้นจากมุมห้อง
ในวินาทีต่อมา ส้งลารู้สึกถึงลมกระโชกแรงพัดผ่านต่อหน้าต่อตา ทำให้เขากะพริบตาโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายติดอาวุธที่อยู่ข้างหน้าเขามีคุไนแปลก ๆ ในลำคอของเขาด้วย สีหน้าแสดงถึงความอาลัยอาวรณ์ชีวิตแล้วค่อยๆล้มตัวลง
ส้งลาสะดุ้งตกใจ และก่อนที่เขาจะทันได้โต้ตอบ ทันใดนั้นรู้สึกหนาวที่คอ และก็ถูกมีดเล่มหนึ่งจ่ออย่างเงียบๆ
“ถ้าฉันเป็นคุณ ก็จะทิ้งอาวุธและยืนนิ่งๆไม่ขยับ!”
สามารถปรากฏตัวในท่าทางที่แปลก ๆ เช่นนี้ได้ นอกจากฮาชิโมโตะ ฟูจิโนะแล้วจะเป็นใครได้อีก?
เคร้ง!
มีหรือส้งลาจะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จึงรีบโยนอาวุธในมือลงไปที่พื้น
ฮาชิโมโตะ ฟูจิโนะ เตะอาวุธออกไปไกลๆ แล้วเดินจากด้านหลังมาข้างหน้า มองส้งลาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม…