หลังจากวิเคราะห์จนถี่ถ้วนซือหยูสรุปว่าหุ่นเชิดม่อเทียนฉวนมิได้รับมือยากนัก เพราะนางเริ่มโจมตีก่อนไม่ได้และป้องกันได้อ่อนแอ
การจำกัดเวลาจึงมีไว้เพื่อจัดการกับยอดฝีมือที่เตรียมตัวมาดีและได้ลงมือก่อนซือหยูเพียงแค่ต้องเอาชนะนางก่อนที่นางจะได้ลงมือ
ปัญหาก็คือยังเหลือหอคอยที่เขาต้องไต่อีกเก้าสิบเก้าชั้นแม้แต่สี่นภาจรัสก็ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสชนะทุกครั้ง
ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือเวลาจะจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกชั้น! มันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในชั้นสามสิบ หกสิบ และเก้าสิบ เขาต้องเอาชนะให้ได้ในไม่กี่วินาที!
ดังนั้นแม้ว่าที่นี่จะมีโอกาสสำหรับยอดฝีมือ มันก็ยากที่จะมีคนไต่หอคอยได้ถึงร้อยชั้น ….
ที่ซือหยูไม่รู้ก็คือในทันทีที่เขาซัดกระบี่เงินยอดฝีมือทุกคนในหอคอยสัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของมิติ มิติใกล้เคียงเองก็ได้รับผลกระทบมากพอที่จะกระจายแรงสั่นสะเทือนออกไป
เหล่ายอดฝีมือรอบๆ ที่ออกจากหอคอยมาแล้วตกตะลึงและได้พบกับรอยแยกมิติในชั้นแรกที่เป็นที่รู้กันว่าทะลุไม่ได้
หลังจากผ่านไปช่วงสั้นๆ ซือหยูเข้าสู่ชั้นที่สอง นอกจากคำว่า ‘ชั้นสอง’ ในห้องแล้วก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากชั้นแรก
หุ่นเชิดม่อเทียนฉวนคนเดิมเวลาที่ช้าลงแบบเดิม ความต่างเดียวก็คือซือหยูต้องใช้เวลาเอาชนะนางให้ได้ภายในครึ่งชั่วโมง
และครั้งนี้ซือหยูไม่ได้คิดจะทดสอบอีก
หลังจากวางค่ายกลล่วงหน้าเสร็จซือหยูได้เพิ่มมุกบาดาลเป็นลูกที่เก้า เขาทิ้งระยะและตะโกน “ขึ้นมา!”
เป็นเวลาเดียวกับที่ม่อเทียนฉวนลืมตาสัตว์อสูรพลังอสูรพุ่งออกมาจากมือนาง แต่มันก็ถูกค่ายกลขจัดออกไป
ม่อเทียนฉวนซัดกระบี่ทมิฬอีกครั้งเพื่อป้องกันค่ายกลหากลูกแก้วสักลูกในค่ายกลหยุดการเคลื่อนไหว ทั้งค่ายกลจะไร้พลัง
โชคดีที่ลูกแก้วที่นางซัดบังเอิญฌป็นลูกแก้วที่นางไม่ควรสัมผัสเลยแม้แต่น้อย
ฉั่วะ!
มุกบาดาลบดขยี้ม่อเทียนฉวนจนเหลือเพียงความว่างเปล่าราวกับมันซัดเต้าหู้เหลือไว้เพียงลูกแก้วสองสาวและเศษกระดูก
ซือหยูครุ่นคิดอีกครั้ง
ทีแรกเขาคิดว่าม่อเทียนฉวนเป็นแค่หุ่นเชิดธรรมดาที่จะโจมตีตามระบบที่ออกแบบไว้ แต่ตอนที่นางหลบมุกบาดาลนั้นแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่การวางระบบเอาไว้
ซือหยูเริ่มคิดอะไรได้ ในชั้นที่สามซือหยูปรับวิธีใช้ค่ายกลคลื่นดาวตกโดยการวางมุกบาดาลไว้ที่ตรงกลาง และผลที่ได้ก็คือ…ม่อเทียนฉวนถูกกำจัดในไม่กี่วินาทีหลังจากค่ายกลทำงาน ก่อนที่นางจะมีโอกาสตอบสนองด้วยซ้ำ
ซือหยูไปถึงชั้นสามสิบโดยใช้วิธีนี้ด้วยความเร็วสูง
เขายิ้มไปที่ชั้นสามสิบเอ็ดทันทีที่ก้าวไปถึงชั้นนี้ เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองยิ่งช้าลงกว่าเดิม เทียบกับโลกภายนอก เขาช้ากว่าเดิมหกในสิบส่วน
ในภาวะปกติซือหยูคงใช้ค่ายกลและเอาชนะม่อเทียนฉวนได้อย่างไม่ยากเย็น ปัญหาก็คือความเร็วของค่ายกลจะช้ากว่าในสามสิบชั้นแรก ตอนนี้เวลาสังหารจะกลายเป็นสองลมหายใจ แต่หุ่นเชิดม่อเทียนฉวนนั้นไม่ได้ช้าลงเลยเมื่อเทียบกับสามสิบชั้นแรก!
มันค่อนข้างกินเวลามากและเขาต้องใช้เวลามากกว่าเดิมในการไปถึงชั้นหกสิบ และเมื่อล้มเหลว เขาจะถูกขับออกจากหอคอย คนอื่นคงสิ้นหวังเมื่อคิดหาวิธีทำให้สำเร็จแต่ไม่ใช่สำหรับซือหยู เขามีพลังเวลา!
ที่ชั้นหกสิบเนตรซ้ายของซือหยูเปล่งแสงสีม่วงเข้ม เขาใช้พลังเวลา!
เวลารอบกายเขาเร็วขึ้นสามเท่า!ไม่เพียงแต่ความช้าลงจะหายไป แต่เขาจะเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเดิมเก้าเท่า
ซือหยูผ่านชั้นนี้สำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย
ซือหยูทำสิ่งที่ต้องทำยังเหลืออีกสี่สิบชั้นให้ไปต่อ เขาต้องสังหารในไม่กี่วินาทีที่ชั้นเก้าสิบ จากที่คาดการณ์ ตั้งแต่ชั้นเก้าสิบสามเป็นต้นไป เวลาจะช้าลงเป็นสองเท่า และช้าลงเป็นสามเท่าในชั้นเก้าสิบสี่!
ตั้งแต่ชั้นเก้าสิบห้ามันจะช้ากว่าถึงสี่เท่า ระดับพลังการลดเวลาเช่นนี้มิอาจสังหารในระดับวินาทีได้เลย! ในสิบชั้นสุดท้าย ซือหยูต้องผ่านมันไปให้ได้ และสิ่งที่เขาต้องทำก็คือใช้พลังเร่งเวลาเมือ่ถึงชั้นที่เก้าสิบ
พลังพิเศษในการเร่งเวลาของซือหยูนั้นสามารถใช้ได้วันละครั้ง
ดังนั้นเมื่อเขาถึงชั้นแปดสิบเก้าซือหยูจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดพักหนึ่งวัน ในวันต่อมา เมื่อเขาฟื้นพลัง เขาจะไปที่ชั้นเก้าสิบ
แต่หุ่นเชิดที่ชั้นเก้าสิบหาใช่ม่อเทียนฉวนแต่เป็นสตรีงดงามตัวสูงผอมนางมีกระบี่เล่มยาวที่แผ่นหลัง
ไม่มีบรรยากาศของความดุร้ายรอบตัวนางเลยมันทำให้นางน่าสงสัยและคาดเดาไม่ได้
ซือหยูคิดกับตัวเองเมื่อมองนาง
“หุ่นเชิดม่อเทียนฉวนไม่ได้ปรากฏตัวในชั้นนี้แสดงว่านางไม่ผ่านชั้นเก้าสิบ”
“ส่วนผู้หญิงคนนี้นางจะต้องเป็นคนที่มาถึงชั้นนี้ก่อนม่อเทียนฉวน ม่อเทียนฉวนมิได้ทำลายบันทึกของนาง นางจึงยังคงอยู่ในชั้นนี้”
หลังจากพิจารณาซือหยูใช้วิธีการสังหารแบบเดิมและใช้ค่ายกลคลื่นดาวตกเพื่อสังหารอย่างรวดเร็ว
แต่ในทันทีที่หุ่นเชิดลืมตาซือหยูสัมผัสถึงความเยือกเย็นจนเจ็บปวดที่ร่างกาย เขารู้สึกราวกับกระบี่หมื่นเล่มได้ทะลวงผ่านร่างกายไป เขากำลังเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด
การมองของหุ่นเชิดนั้นมีพลังของวิถีกระบี่อยู่ระดับนี้คล้ายกับกระบี่ไร้วันสลาย แต่มันลึกล้ำซับซ้อนกว่า
นางเป็นใครกัน?ซือหยูตัวแข็งทื่อ ในด้านวิชากระบี่อย่างเดียว นางนั้นไร้เทียมทานแล้วในโลกนี้!
ร้อยปีผ่านไปแล้วถ้าหากนางยังไม่ตาย นางจะต้องเป็นคนที่เขาเคยได้ยินชื่อมาก่อน
รูปลักษณ์ของนางสลักอยู่ในความทรงจำซือหยูก้าวเข้าสู่ชั้นที่เก้าสิบเอ็ด เขามาถึงสิบชั้นสุดท้ายแล้ว!
ที่ชั้นเก้าสิบเอ็ดสตรีกับกระบี่ยังคงอยู่
นางถูกค่ายกลคลื่นดาวตกสังหารในไม่กี่วินาทีและไม่มีโอกาสได้ใช้พลังกระบี่ เมื่อเขาไปถึงชั้นที่เก้าสิบห้าพลังเร่งเวลา่มิอาจต้านทานเวลาที่ช้าลงได้อีก ซือหยูไม่มีทางเลือกนอกจากต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี
โชคดีที่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์นั้นไร้เทียมทานและทำลายได้ทุกสิ่งก่อนที่นางจะได้แสดงวิชาอันแข็งแกร่ง นางก็ถูกซือหยูกำจัดไปก่อน
ถึงอย่างนั้นซือหยูก็ได้รับคลื่นพลังกระบี่จากนาง แม้ภายนอกจะไร้รอยขีดข่วน แต่ภายในกายของเขาเต็มไปด้วยพลังกระบี่ที่กำลังกัดกินตัวเขา
ซือหยูไม่มีทางเลือกนอกจากดื่มน้ำพุแห่งชีวิตเพื่อฟื้นฟูพลังกลับมามิเช่นนั้นก่อนที่เขาจะได้ออกจากหอคอย เขาคงจะตายไปก่อนเพราะพลังที่แห้งเหือด
หลังจากฟื้นตัวพลังกระบี่ในตัวเขาสลายไป เขามองชั้นที่เก้าสิบหกและเริ่มวิเคราะห์
นับจากชั้นนี้เป็นต้นไปพลังเร่งเวลาจะไม่สามารถต้านเวลาที่ช้าลงของหอคอยได้อีกต่อไป ตามที่บันทึก เวลาจะช้าลงกว่าเดิมสี่เท่าจากโลกภายนอก ซึ่งมันเกินกว่าที่ซือหยูจะทนไหว
หากสตรีที่มีกระบี่ได้โอกาสโจมตีใครในโลกนี้กันที่จะต้านพลังนางได้?
แต่ซือหยูก็ยังมั่นใจว่าเขาจะผ่านชั้นนี้ได้
เขาไปที่ชั้นเก้าสิบหกแต่สิ่งที่ได้เห็นกลับหาใช่สตรีที่มีวิชากระบี่แกร่งกล้า แต่เป็น…ความว่างเปล่า!
ไม่มีสิ่งใดเลยบนลานประลอง! novel-lucky
ซือหยูที่เตรียมใจมาก่อนถึงกับผงะ
“จ้าวชั้นอยู่ที่ไหนกัน?”
“ตะโกนหาอะไรของเจ้า?จ้าวชั้นกลับบ้านไปกินมื้อเย็น เจ้าค่อยมาใหม่พรุ่งนี้”
เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากความว่างเปล่า
ซือหยูหรี่ตามองรอบๆ
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ผ่านชั้นนี้โดยไม่ต้องทำอะไรสินะ?”
“ฝันไปเถอะ!เจ้าจะผ่านชั้นนี้โดยไม่เจอกับจ้าวชั้นได้ยังไง?”
เสียงนั้นดังมาจากความว่างเปล่าอีกครั้ง
ซือหยูตอบ
“ยอดฝีมือมาตามกฎแต่จ้าวชั้นกลับไม่อยู่ แน่นอนว่าจ้าวชั้นก็ต้องรับผิดชอบโดยการให้ข้าผ่านอย่างไม่มีเงื่อนไข!”
“คำพูดเจ้าไม่มีความหมายหยุดพูดเรื่องเหลวไหลและกลับไปซะ”
ซือหยูหัวเราะอย่างเย็นชา
“เซียนมณีตายไปนานแล้วกฎที่นางตั้งไว้กลับไม่มีผล และเจ้าก็เปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบเรอะ?”
เงียบกริบไร้เสียงตอบกลับ
ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจ
“ก็ได้เจ้าผ่านได้!”
“แล้วรางวัลอยู่ไหน?”
ซือหยูมองที่ใต้เท้าตัวเอง
“รางวัลเรอะ?จะมีรางวัลได้ยังไงถ้าไร้จ้าวชั้น? หยุดทำตัวโง่เง่าแล้วกลับบ้านไปหาอะไรกินซะไป!”
เสียงโต้แย้งดังมาจากความว่างเปล่า
ซือหยูไม่โต้ตอบเขาแสยะยิ้ม
“จ้าวชั้นไม่อยู่ถือเป็นการดูหมิ่นหน้าที่ในหอคอยแล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับข้า? ข้าผ่านชั้นนี้แล้ว อย่าคิดว่าจะโกงลูกแก้วกับกระดูกข้า!”
“เฮ้ย!กล้าดียังไงมาพูดย้อนข้า? ขะ ข้า…”
เสียงนั้นถอนหายใจหมดหวัง
“ถ้าไม่มีจ้าวชั้นก็ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้เหมือนกันเจ้าไม่ขึ้นไปดูวิวสักหน่อยรึ? หอคอยจะมีรางวัลก็ต่อเมื่อจ้าวชั้นอยู่เท่านั้น แต่ถ้าหากไม่มี ข้าก็ให้รางวัลไม่ได้”
“แล้วทำไมเจ้าไม่เรียกจ้าวชั้นกลับมาเล่า?”
“อืมมพวกเขากำลังไปเที่ยววันหยุดยาว ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนมาถึงชั้นเก้าสิบหกล่ะมั้ง?”
“ถ้าพวกนั้นมาไม่ได้แล้วทำไมเจ้าไม่มาแทนที่เล่า?”
ตลอดมาซือหยูไม่ถามถึงตัวตนของผู้พูดเลย
“ข้าคือจิตวิญญาณหอคอยเป็นสติปัญญามายา จ้าวชั้นมีกายหยาบ ข้าจะเป็นจ้าวชั้นได้หรือ?”ฃ
“สติปัญญาพลังวิญญาณรึ?หึหึ เจ้าหลอกคนอื่นได้ แต่คิดว่ามันจะได้ผลกับข้ารึ?”
ซือหยูกระทืบเท้า
“ข้าจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเจ้ากำลังใช้ค่ายกลควบคุมยอดฝีมือทุกคนข้างในและเล่นสนุกอยู่?”
“อ๊ําา!เจ้ารู้ได้ยังไง…อั่ก! พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า? ทำไมข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าพูดเลย?”
เสียงจากความว่างเปล่าดูตื่นตระหนก
ซือหยูเหลือบมองรอบลๆ และพูดอย่างไม่สนใจ
“ข้าพูดชัดพออยู่แล้วข้าต้องพูดมากกว่านี้มใช่ไหม? สิ่งที่เรียกว่าการไต่หอร้อยชั้นน่ะเป็นเรื่องโกหก! แท้จริงแล้ว ยอดฝีมือทุกคนรวมถึงข้ายังอยู่ในชั้นแรก ไม่มีใครได้ไปที่ชั้นสองจริง ๆ! ข้าพูดถูกใช่ไหม?”
“ตลอดมาความต่างเดียวของทุกชั้นก็คือตัวเลขและเวลาที่จำกัดกับเวลาที่ช้าลง! ทุกอย่างเปลี่ยนได้จากวิชามายาเท่านั้น!”
ซือหยูบอกสิ่งที่ตัวเองรู้
จากความว่างเปล่าเสียงโกรธดังตามมา
“ตลกสิ้นดีต่อให้เป็นวิชามายาที่ทำให้คนอยู่ในความมืด มันก็ทำได้แค่คนเดียว มันจะทำให้สองหมื่นคนตกอยู่ในวิชาได้ยังไง? ต่อให้มี มันก็ทำงานได้ครั้งเดียว มันจะทำให้หลายร้อยครั้งรึ?”
“จะต้องมีอัจฉริยะระดับอื่นในอดีตที่สร้างวิชาลวงตาได้ถ้าหากเป็นวิชามายาจริง มันก็คงจะถูกมองออกไปแล้ว” ซือหยูพูดต่อไป
“ข้าเคยพูดสักครั้งรึว่าวิชามายาทำได้แค่หลอกตาเท่านั้น?”
เสียงในความว่างเปล่ากระวนกระวายขึ้นไปอีก
“เหลวไหล!วิชามายาก็มีแค่หลอกตาเท่านั้น!”
สิ่งที่เรียกว่าวิชาลวงตานั้นมีไว้ใช้หลอกจิตใจผ่านประสาทการมองเห็น
“นั่นคือเรื่องทั่วไปที่คนรู้ในยุคโบราณ วิชาลวงตาถูกใช้กันกว้างขวาง มีวิชาลวงตานับไม่ถ้วนที่ใช้กับสัมผัสการได้ยิน การดมกลิ่น และสัมผัส แต่มีไม่กี่วิชาเท่านั้นที่คงอยู่ถึงปัจจุบัน มันถึงได้ไม่มีใครรู้มากนัก!”
ในอดีตซือหยูได้รับความรู้มากมายจากตำราโบราณที่เมืองเทียนหยา เขารู้เรื่องเหล่านั้นมาแล้ว
เสียงในความว่างเปล่าพยายามโต้แย้ง
“ฮ่าๆๆๆเจ้าแตะต้องได้ ได้ยินได้ ดมกลิ่นได้ แล้วมันจะเรียกว่าวิชาลวงตาได้หรือ?”
ซือหยูยิ้มเยาะ
“นั่นก็เพราะว่านี่คือวิชามายาลวง!วิชามายาจริง! เจ้าอยากให้ข้าอธิบายอีกหรือไม่ หากข้าอธิบายไปแล้ว วิชามายาจริงจะหยุดทำงาน ถึงตอนนั้นคงจะน่าสนุกทีเดียว”
เสียงจากความว่างเปล่าเงียบไปตามด้วยเสียงหงุดหงิดและเสียงถอนหายใจอันสิ้นหวัง
“บัดซบ!ข้าแพ้! เอาไปซะ!”
เสียงดังเบาๆ ลูกแก้วและเศษกระดูกหล่นลงพื้น มันคือรางวัลในการผ่านชั้นเก้าสิบหก
“พอใจเจ้ารึยัง?”
มันเริ่มรำคาญ
ซือหยูยิ้มอย่างอ่อนโยน
“สองสิ่งนี้บังเอิญเป็นสิ่งที่ข้าต้องการพอดีแต่มันยังไม่พอ! ข้าจะไปชั้นที่เก้าสิบเจ็ดต่อ ข้าจะไปให้ถึงร้อยชั้น!” “บัดซบ!เจ้ายังจะก่อเรื่องทั้ง ๆ ที่รู้เรื่องวิชามายาจริงอีกเรอะ?!”
“เก็บข้าวของเจ้าแล้วไสหัวไปข้ายังต้องไปเล่นกับเจ้าพวกโง่ที่เหลือ! อาหารในอีกร้อยปีของข้าขึ้นอยู่กับเจ้าพวกโง่นี่”