การสอบครั้งแรกของประเทศในประวัติศาสตร์แทซากุกถูกจัดขึ้นแล้ว บรรดาบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ใช้ชีวิตโดยไม่เคยแข่งขันมาก่อน ต่างพาเหล่าอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงมาสอนวิชาการทุกๆ วัน ขณะที่พวกคนธรรมดาและชนชั้นกลางค่อนข้างมีฐานะก็ให้อาจารย์มาสอนเช่นกัน ส่วนคนยากจนก็สามารถไปเรียนที่สำนักรวมที่ก่อตั้งโดยวังหลวงได้ 

 

 

หากไม่ใช่การตัดสินพระทัยลดภาษีลงหนึ่งในสาม และปฏิรูประบบการเกษตรใหม่ของพระราชา เสียงยกย่องสรรเสริญเขาว่าเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถก้าวลงมาจากสวรรค์อาจจะลดลงก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดนึกฝันถึง 

 

 

จากเรือไปกลับดินแดนฝั่งตะวันตกเพื่อนำชาที่พระมเหสีทรงโปรดปรานกลับมาทีละลำในตอนแรกเริ่ม ก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบหลายร้อยลำภายในชั่วพริบตา ส่วนหมู่บ้านริมทะเลที่ท่านมหาเสนาบดีเสี่ยงชีวิตปกป้องก็กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าขายระหว่างประเทศ 

 

 

ผ้าไหม ชา เครื่องกระเบื้องและอื่นๆ ที่ผลิตในแทซากุกถูกนำไปขายในประเทศตะวันตกได้ราคามหาศาล จึงทำให้รายได้จากการค้าขายระหว่างประเทศมีมากกว่าภาษีถึงสองเท่า 

 

 

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน อ้อ ท่านมหาเสนาบดีมาพบข้าที่ห้องทำงานด้วย” 

 

 

คำกล่าวเสริมหลังจากปิดม้วนกระดาษเรียบร้อยของฮอน ทำเอาใบหน้าของมหาเสนาบดีคนใหม่ดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก การตัดสินพระทัยของพระราชาว่าจะส่งมอบตำแหน่งของซอดูให้กับบุตรชายอีกฝ่ายเองทำให้ไม่มีเสียงผู้ใดคัดค้าน ซึ่งนั่นคือแผนกลยุทธ์ 

 

 

คติของอดีตมหาเสนาบดีซอดูว่าอำนาจอันยิ่งใหญ่ย่อมตามมาด้วยความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง ไม่ใช่คำกล่าวไร้สาระ แต่มันคือคำชี้แนะจากประสบการณ์ซึ่งข้ามผ่านอะไรมามากมาย พี่ชายกับน้องชายเขารู้ตัวเร็วกว่านิดหน่อยเลยจงใจทำข้อสอบไม่ผ่านในการจัดสอบครั้งแรกอย่างแนบเนียน กระทั่งเหลือเพียงเขาคนเดียว คิดถึงสมัยนั่งต้มยาจัง ฮาแบคบ่นในใจก่อนจะก้าวเข้าห้องทรงงานราวกับวัวโดนลากเข้าโรงฆ่าสัตว์ 

 

 

“เอาล่ะ เจ้าจัดการเท่านี้พอ ส่วนข้าเท่านี้” 

 

 

ฮอนดันกระดาษม้วนหนึ่งในสองมัดให้ฮาแบค จากนั้นก็คลี่กระดาษม้วนส่วนของตนเองออกอย่างนิ่งๆ ฮาแบคมองคนตรงหน้าสลับกับกระดาษม้วนเงียบๆ สักพักแล้วถึงเปิดปากพูดน้ำเสียงขมขื่น 

 

 

“ทรงไม่คิดหรือพ่ะย่ะค่ะว่าปริมาณมัน… ต่างกันเกินไป?” 

 

 

ส่วนของฮาแบคกองรวมกันแล้วเกือบเท่าหน้าแผ่นอกเจ้าตัว แต่ส่วนของฮอนกลับมีไม่ถึงสิบอัน เจตนาชัดเจนมาก 

 

 

“แต่อดีตมหาเสนาบดีจัดการงานมากกว่านี้สองเท่าตามลำพังเชียวนะ” 

 

 

เพราะอย่างนั้นท่านพ่อถึงยื่นจดหมายลาออกแล้วหนีไปสินะ คงกลัวจะถูกรั้งตัวเอาไว้ต่อ หลังจากได้รู้สาเหตุแท้จริง ความเสียใจที่มีต่อท่านพ่อและท่านแม่ที่พากันหายตัวไปโดยไม่ลาสักคำของฮาแบค จึงแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจแทน ที่ผ่านมาท่านพ่ออดทนได้อย่างไร ฮาแบคเริ่มสงสัยแล้วว่าขีดจำกัดของตนจะมีถึงเท่าใดพลางจัดการบรรดาม้วนกระดาษทีละม้วน และเมื่อกลับจากส่วนของตนเสร็จเรียบร้อย ฮอนก็ลุกพรวด 

 

 

“ดูเหมือนท่านมหาเสนาบดีจะเหลืองานอีกเพียบทีเดียว” 

 

 

“ฝ่าบาท หากทรงทำเสร็จเร็วก็โปรดช่วย…!” 

 

 

“เหนื่อยหน่อยนะ” 

 

 

จากนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งให้ฮาแบคอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง แม้ฮอนจะรู้สึกผิดต่อผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตน แต่ที่ผ่านมาเขาเองก็ลำบากตัวคนเดียวเหมือนกัน แค่นี้ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง หลังจากโน้มน้าวปลอบใจตนเองแล้วก็สั่งให้เอาเกี้ยวเปล่ากลับ และเดินตรงไปยังวังจานยองอย่างสบายใจ 

 

 

สายลมในช่วงต้นฤดูหนาวค่อนข้างหนาวเหน็บเป็นพิเศษ แต่การได้รับอิสรภาพจากงานบ้านงานเมืองกลับสดชื่นยิ่งกว่า ทว่าระหว่างเดินอยู่กลับมีอะไรบางอย่างสีขาวและเย็นลอยมาติดตรงปลายจมูกฮอน ก่อนมันจะละลายหายไปในพริบตา พอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจึงเห็นว่าสิ่งที่รยูฮาชื่นชอบกำลังเต้นระบำและโปรยตกลงมาอย่างช้าๆ จากท้องฟ้ามืดครึ้มเป็นสีเทา 

 

 

“พระมเหสี พระมเหสี!” 

 

 

ฮอนตะโกนเรียกพระมเหสีเสียงดังพร้อมเปิดประตูห้องนอนออกกว้าง ชินกับยอนเดินเตาะแตะเข้ามาให้อุ้มโดยพร้อมเพรียงกัน 

 

 

“เจ้าหนูน้อย คิดถึงพ่อใช่ไหม” 

 

 

เขาอุ้มลูกทั้งสองคนละข้างแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ยิ้มร่าเดินไปนั่งลงข้างๆ รยูฮา 

 

 

“ช่วยเสด็จเข้ามาแบบรักษาเกียรติหน่อยเถิดเพคะฝ่าบาท” 

 

 

“ข้าแค่เรียกภรรยาของข้า จะรักษาเกียรติอะไรกันเล่า ที่สำคัญก็คือข้างนอกนั่น หิมะแรกตกแล้วนะ” 

 

 

รยูฮาปรายตามองสวามีสักพักก่อนจะลุกขึ้นอย่างสำรวม แต่ฮอนอ่านออกว่าบนใบหน้าสงบนิ่งของนางมีความดีใจแฝงอยู่ 

 

 

“ใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ แล้วค่อยออกไปกันเถอะ” 

 

 

“เอาสิเพคะ” 

 

 

การเตรียมตัวดำเนินการอย่างว่องไว เหล่านางในพากันวิ่งวุ่นสวมฉลองพระองค์เนื้อหนาให้แก่ทั้งสองพระองค์ รวมถึงองค์ชายกับองค์หญิงด้วย อีกส่วนก็ทำการปูผ้าขนสัตว์ไว้ตรงศาลาริมสระน้ำ การเชิญชวนถูกส่งไปถึงวังซึงกอนและวังจางชุนอย่างเร่งด่วน หลังจากนั้นไม่นานสมาชิกทั้งหมดในราชวงศ์ก็มานั่งรวมตัวกันบนศาลาท่ามกลางหิมะโปรยปราย เสียงลูกเกาลัดแตกในเตาไฟที่มีควันพวยพุ่งก็ฟังดูสดชื่นเป็นพิเศษ 

 

 

“ย่ะ ย่ะ!” 

 

 

คังตามติดพระหมื่นปีแจพร้อมเรียกเสด็จย่าด้วยการออกเสียงอ้อแอ้ ก่อนจะพาตนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอุ่น หญิงชราจึงหัวเราะอย่างสดใส นางเคยยิ้มอย่างเดียวมาตลอดชีวิต แต่ตอนนี้กลับหัวเราะบ่อยและเสียงดังมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามได้เจอเหลนๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว 

 

 

ฮอนเป่าลูกเกาลัดฟู่ๆ แล้วแกะด้วยตนเองเพื่อป้อนเสด็จย่าที่ยังคงหัวเราะอยู่ หลังจากได้เห็นภาพนั้น จู่ๆ รยูฮาก็นึกถึงบางอย่างที่เก็บรักษาอย่างทะนุถนอมในตู้เอกสารขึ้นมา 

 

 

“เสด็จย่า หม่อมฉันทูลถามเพราะสงสัยเฉยๆ นะเพคะ” 

 

 

“ว่ามาสิพระมเหสี” 

 

 

มินอาสังเกตเห็นพิรุธบางอย่างจากสีหน้าของรยูฮาจึงคอยเฝ้าระวัง 

 

 

“ทรงเคยเล่นพนันหรือไม่เพคะ” 

 

 

“พนัน?” 

 

 

พระหมื่นปีพยักหน้าตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม 

 

 

“แน่นอนสิ สมัยย่ายังเป็นพระมเหสี เคยแอบนั่งล้อมวงกันกับพวกนางสนมแล้วหาเรื่องสนุกสนานกันบ้างเป็นครั้งคราวน่ะ ครึ่งหนึ่งของสมบัติในวังจางชุนก็ได้มาจากการพนันนี่แหละ” 

 

 

“เสด็จย่าทรงเคยเล่นพนันด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

คำตอบเหนือความคาดหมายทำเอาฮอนตกใจจนทำเกาลัดในมือร่วงดังตุบ มันกลิ้งหลุนๆ แต่ชินจับไว้ได้พร้อมหัวเราะดีใจ แต่ก็นั่งอึ้งเมื่อโดนยอนแย่ง 

 

 

“ไหนๆ เราก็มารวมตัวกันแล้ว ถ้าเช่นนั้นให้พวกเด็กๆ กลับเข้าไปก่อนแล้วมาลองเล่นกันสักตาหนึ่งดีไหมเพคะ” 

 

 

“พระมเหสี!” 

 

 

มินอาออกตัวห้ามรยูฮา แต่พอพระหมื่นปีตอบว่าได้สิ มาเล่นกัน นางจึงต้องเป็นฝ่ายเงียบแทน 

 

 

และหลังจากนั้นไม่นาน 

 

 

“แปดแต้ม” 

 

 

หญิงชราวางไพ่ลงพร้อมเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ นี่ไม่ใช่การพนันธรรมดา แต่เป็นเกมสำคัญซึ่งรวมราชทรัพย์ส่วนพระองค์จากทั้งสี่วัง ได้แก่ วังจางชุน วังจานยอง วังซึงกอนและวังกอนชอง นอกจากนั้นจนถึงตอนนี้ ชัยชนะยังเทไปเพียงด้านเดียวอีกด้วย 

 

 

“เสด็จย่าเพคะ” 

 

 

มินอาเรียกพระหมื่นปีด้วยความสุขุมเยือกเย็น ลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลกลบรอยยิ้มสดใสออกจนหมดสิ้น 

 

 

“เรียกทำไมหรือพระชายา” 

 

 

“หม่อมฉัน เก้าแต้มเพคะ” 

 

 

รยูฮากับฮอนถึงกับถอนหายใจแล้ววางไพ่ลง ว่ากันว่าคนเพิ่งเคยเล่นพนันเป็นครั้งแรกมักจะน่ากลัวเสมอ ตอนนี้ทรัพย์สมบัติของวังซึงกอนคงจะแซงหน้าวังจานยอง ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของฝ่ายในมาตลอด บรรดาผู้น้อยก็ได้แต่มองดูและคอยถวายของว่างยามดึกให้อย่างขยันขันแข็ง ยิ่งดึกผู้สูงศักดิ์ทั้งสี่ยิ่งขาดสติกับการพนัน 

 

 

“เสวยสักหน่อยแล้วค่อยมาสนุกกันต่อเถอะเพคะ” 

 

 

หลังจากนางในนำโต๊ะอาหารเล็กๆ มาวางข้างกายแต่ละคนและหลับออกแล้ว รยูฮาจึงยืดเอวขึ้นและเปิดผ้าคลุมสำรับออก ทว่าขณะนั้น 

 

 

“แหวะ!” 

 

 

จู่ๆ ท้องไส้ที่เป็นปกติก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อพระมเหสีมีท่าทางคลื่นไส้พลางโบกพระหัตถ์ไปมาอย่างไร้สติ เหล่านางในจึงยกโต๊ะอาหารไปเก็บด้วยความตื่นตระหนก แม้กลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนจะหายไปแล้ว แต่ท้องไส้นางก็ยังไม่สงบลง หลังจากนั้นพักใหญ่ๆ รยูฮาจึงเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนจะมองรอบตัวอย่างมึนงง เพราะเห็นว่าสายตาแอบซ่อนความคาดหวังจับจ้องตนมาจากทุกทิศทาง 

 

 

อย่าบอกนะว่า… ใช่หรือ ที่ช่วงนี้เอาแต่ง่วงและเพลียตลอด ทั้งๆ ที่นอนแล้วนอนอีก… 

 

 

“หมอหลวง! ไปตามหมอหลวงมา!” 

 

 

“ตะโกนเสียงดังเช่นนั้น เดี๋ยวพระมเหสีก็ตกใจหรอกฝ่าบาท!” 

 

 

ฮอนใจร้อนรีบมองหาขันทีพร้อมตะโกนเสียงดังจนถูกพระหมื่นปีตำหนิ ส่วนแววตาของมินอาก็เปี่ยมด้วยความคาดหวังอันกดดันเช่นกัน รยูฮาจึงเลื่อนสายตาที่หลุบลงด้วยความมึนงงขึ้นมามองสวามีและพึมพำราวกับเพิ่งนึกออก 

 

 

“หม่อมฉันอยากกินแองดู[1]เพคะฝ่าบาท” 

 

 

 

 

 

[1] แองดู (앵두) ผลเชอร์รี่