ตอนที่ 501 เปิดโปงความลับ + ตอนที่ 502 ในที่สุดก็ได้เจอ

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 501 เปิดโปงความลับ + ตอนที่ 502 ในที่สุดก็ได้เจอ โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 501 เปิดโปงความลับ

คนที่ล้มลงไปคือคุณย่าอู่ เป็นเพราะเธอเกิดโมโหคุณปู่จึงอยากออกไปเดินข้างนอกบ้าง แต่ใครจะคาดคิดว่าเพียงแค่เธอเดินออกประตูมาได้ ก็ล้มหน้าหงายจนทั้งมือและเท้าชี้ฟ้า

ครั้งนี้เรียกว่าไม่ใช่การล้มแบบเบาๆ แต่ทำเอาเธอเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบลุกยืนไม่ไหว ใบหน้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วเหลือง เธอทำได้เพียงนั่งร้องโอดครวญอยู่บนพื้น

“คุณแม่น่าจะเกิดอาการบวมช้ำไปถึงกระดูก รีบพาไปส่งโรงพยาบาลเถอะ!”

ตี๋ชิวเยวี่ยนั่งอยู่ข้างๆ คุณย่าและคอยบีบนวดให้เธอ พอนวดไปถึงช่วงกระดูกเชิงกรานคุณย่าก็ตะโกนร้องเสียงหลงจนน้ำตาเล็ด เห็นแบบนั้นหากไม่เป็นเพราะกระดูกหัก ก็อาจเป็นเพราะกระดูกร้าว

อู่เจิ้งซือและบรรดาพี่น้องต่างวุ่นวายเอิกเกริก และนำตัวคุณย่าส่งโรงพยาบาลในทันที โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจินเป็นสถานพยาบาลที่ทันสมัยและมีอุปกรณ์ครบครัน ประเภทอาการกระดูกหักถือว่าเป็นแค่ปัญหาเล็กน้อย

ตี๋ชิวเยวี่ยเป็นคนละเอียดรอบครอบ เธอมองเพียงผิวเผินก็พอเดาได้ว่าหน้าประตูบ้านมีสิ่งผิดปกติ เพราะเมื่อวานเธอเป็นคนล็อกประตูใหญ่ด้วยตัวเอง เธอยังจำได้แม่นว่าหน้าประตูไม่มีน้ำขังอยู่เลย อีกทั้งช่วงนี้อากาศแจ่มใสเป็นอย่างมาก ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีน้ำขัง

เพราะฉะนั้นการที่น้ำแข็งมาอยู่บนพื้นก็มีอยู่อย่างเดียว นั่นคือมีคนจงใจเอาน้ำมาสาดไว้!

เว่ยชิวเยวี่ยมองไปยังอู่เยวี่ยที่ไม่ยอมปริปากพูดอะไร เธอจงใจพูดขึ้น “แม่ของเราได้รับบาดเจ็บแทนเสี่ยวเชาและเหมยเหมย หากว่าคนแรกที่เดินออกประตูบ้านไปเป็นพวกเขาทั้งสอง หน้าตาและศักดิ์ศรีของบ้านเราก็คงจะไม่เหลือ”

คุณปู่อู่สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ไอเย็นได้ผ่านเข้าสู่ปอด คำพูดของสะใภ้ใหญ่ได้เตือนสติเขาไว้ ความสงสารเห็นใจก่อนหน้าที่เขามีต่อคุณย่า ได้หายไปในชั่วพริบตา เหลือไว้เพียงความปีติยินดี ช่างโชคดีนักที่คนที่เดินออกไปที่ประตูบ้านเป็นยายแก่!

ตี๋ชิวเยวี่ยพูดต่อ “น่าแปลกนัก ทั้งที่เมื่อวานฝนก็ไม่ตก แล้วน้ำพวกนั้นมาจากไหนกัน?”

สีหน้าของอู่เยวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย อายุเธอยังน้อย การที่เธอทำผิดแล้วไม่สำเร็จนั้นได้ทำให้แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า ตี๋ชิวเยวี่ยแค่เห็นก็รู้ได้ในทันที เธอจึงทำได้เพียงส่ายหน้าให้กับการกระทำดังกล่าว เธอตั้งใจว่าช่วงเย็นค่อยหาโอกาสพูดคุยกับคุณปู่อู่ให้ชัดเจนกว่านี้ อู่เยวี่ยมีเจตนาและกลอุบายที่ผิดมหันต์ อีกทั้งยังมีความคิดและการกระทำที่ชั่วร้ายนัก ภายภาคหน้าเธอคงได้สร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเป็นแน่

เธอไม่อยากให้ครอบครัวของเธอต้องอับอายขายขี้หน้า เพียงเพราะเศษขี้หนูไร้ค่าอย่างอู่เยวี่ย!

เดิมทีเป็นอู่เจิ้งซือที่ต้องไปส่งพวกอู่เหมยไปยังโรงละครประจำเมือง แต่เกิดเรื่องขึ้นกับคุณย่าในตอนนี้ จึงทำให้อู่เจิ้งซือไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ ตี๋ชิวเยวี่ยจึงได้อาสาไปส่งพวกเขาแทน

ตี๋ชิวเยวี่ยพาพวกเขาไปส่งถึงโรงละคร และยังซื้ออาหารเช้าร้อนๆ ให้กินอีกด้วย เป็นซาลาเปาเสี่ยวทังและน้ำเต้าหู้

“หิวกันมากละสิ กินเยอะๆ ล่ะ ตอนบ่ายก็ตั้งใจแสดงกันด้วยนะ!”

ตี๋ชิวเยวี่ยกำชับพวกเขาไปได้เพียงไม่กี่ประโยค ก็จำต้องขึ้นรถแล้วกลับบ้านไป อู่เชายัดซาลาเปาเข้าปากอย่างหิวโหย อีกทั้งยังบ่นโทษอู่เหมยที่ไม่ยอมกินมื้อเช้าที่บ้านทั้งที่จัดวางเอาไว้เต็มโต๊ะ แต่เธอดันอยากออกมาเสียเงินซื้ออาหารกินข้างนอก

อู่เหมยจึงหันไปจ้องเขาอย่างเย็นชา “ถ้านายอยากตายก็กินสิ ไม่เห็นเหรอว่าที่ย่าหกล้มนั่นแทบคร่าชีวิตเธอไปแล้ว?”

อู่เชามีสีหน้าแปลกใจ จึงถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ “เธอหมายความว่าไง? ที่คุณย่าหกล้มเป็นเพราะมีคนจงใจทำร้ายงั้นเหรอ?”

อู่เหมยหันไปจ้องหน้าเขาและด่า “ไอ้หมูโง่ ไม่กี่วันมานี้ท้องฟ้าโปร่งใสมาก และหน้าประตูบ้านก็ไม่ได้มีน้ำขังอยู่ แล้วนายคิดว่าน้ำที่มันกลายเป็นน้ำแข็งได้นั่นจะมาจากไหนล่ะ?”

“มีคนจงใจเอาน้ำไปสาดไว้?” อู่เชาพยายามกลืนน้ำลายลงคอ เขาเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นอย่างเสียวสันหลัง

“ไร้สาระมากเลยใช่ไหมล่ะ ทำไมนายไม่ลองนึกดูดีๆ ว่าในบ้านของเรามีอยู่สองคนที่มีอาการป่วยทางจิต อย่างนี้แล้วนายยังจะกล้ากินอาหารเช้าพวกนั้นอีกเหรอ?” อู่เหมยมองอย่างเอือมระอา เธอทำได้เพียงกัดกินซาลาเปาเสี่ยวทังแล้วเดินอ้อมไปรายงานตัวด้านหลังเวที

อู่เชายืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม ด้วยใจที่เต้นตุบๆ อย่างไม่เป็นจังหวะ!

แม่เจ้า! เขาจะไม่อยู่ที่บ้านของคุณปู่แล้ว จะกลับไปอยู่บ้านของตัวเอง!

อู่เหมยแต่งหน้า พร้อมกับเปลี่ยนชุดเต้นรำเสร็จนานแล้วด้วย ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมง เหลืออีกแค่หนึ่งชั่วโมงกิจกรรมงานปีใหม่ (ตรุษจีน) ก็จะเริ่มขึ้น สยงมู่มู่มาสายเล็กน้อย แต่วันนี้เขามีท่าทีแปลกไปบ้าง หลายครั้งที่เขาทำเหมือนอยากจะพูดบางอย่างกับอู่เหมย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา

พ่อกับแม่บอกไว้ว่ารอให้การแสดงเสร็จสิ้นก่อนค่อยพูด จะรบกวนสมาธิของอู่เหมยไม่ได้เด็ดขาด!

…………………………………………………………………………………………..

ตอนที่ 502 ในที่สุดก็ได้เจอ

สองสามีภรรยาพ่อสยงจ้าวอิงหนาน รวมถึงครอบครัวของจ้าวอิงหัวมาถึงหอประชุมได้พักใหญ่แล้ว พ่อแม่ของพ่อสยงรวมถึงบรรดาพี่น้องของเขาก็มาด้วย พวกเขานั่งอยู่โซนแถวหน้าของหอประชุม ซึ่งนับเป็นตำแหน่งที่ดีมาก

แถวหน้าสุดที่มีไม่กี่แถวล้วนเป็นพวกข้าราชการของรัฐและบุคคลที่มีหน้ามีตาของเมืองนี้ ที่นั่งของจ้าวอิงหนานจัดว่าอยู่ถัดไปทางด้านหลังเล็กน้อย แต่ยังสามารถมองเห็นเวทีได้ชัดเจน จ้าวอิงหัวพึงพอใจมากกับที่นั่งตำแหน่งนี้ เขาหวังว่าจะไม่มีใครจำเขาได้ แต่ในเวลานี้เขากลับไม่ได้มีกระจิตกระใจที่จะต้องไปทำตัวเสแสร้งหรืออ่อนน้อมต่อใครเลย

“อิงหัว ตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอ?” เหยียนซินหย่าถามขึ้นเป็นครั้งที่ห้า

จ้าวอิงหัว “ใจเย็นๆ สิ งานจะเริ่มในอีกสิบห้านาที การแสดงของพวกมู่มู่อยู่ในช่วงต้นๆ ของงาน คงอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ อีกไม่นานเกินรอหรอก”

“อื้ม ฉันจะใจเย็นๆ”

แม้ปากเหยียนซินหย่าจะบอกว่าใจเย็นได้ แต่สีหน้าท่าทีที่เห็นบอกได้ว่าในใจของเธอนั้นร้อนรนและไม่เป็นสุข

เมื่อคืนก่อนหลังจากที่เหยียนหมิงซุ่นกลับไป เหยียนซินหย่าก็ไม่สามารถทำใจให้สงบได้ เธอรับรู้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่ชัดเจน ซึ่งเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถอธิบายได้

จ้าวอิงหัวมองไปรอบๆ ด้าน แต่กลับไม่เห็นบุคคลที่เขาอยากจะเจอหน้า ทำให้ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขากำลังมองหาอู่เจิ้งซือ เหตุเพราะในปีนั้นช่วงที่เหยียนซินหย่าคลอดลูกเขาไม่ได้อยู่ด้วย ซึ่งเรื่องราวต่างๆ ในช่วงนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เหยียนซินหย่าเล่าให้เขาฟัง และเป็นเพราะเขากังวลต่อภรรยาตัวเองที่เอาแต่นึกถึงเรื่องในอดีต ตัวเขาเองก็ไม่กล้าพอที่จะถามถึงรายละเอียดเรื่องนั้น รู้เพียงแค่ภรรยาเขาคลอดก่อนกำหนด และเป็นสิ่งที่ยากลำบากกว่าจะคลอดลูกสาวของเขาได้ แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่เด็กที่ไร้ซึ่งลมหายใจ

คำพูดของเหยียนหมิงซุ่นทำให้เขานึกสงสัยต่อเหตุการณ์ในอดีต ช่วงที่ภรรยาของเขาคลอดลูกมีแค่อู่เจิ้งซือคนเดียวที่อยู่ด้วย และด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอของเหยียนซินหย่า ทำให้สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน เพราะอย่างนั้นเป็นไปได้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่เหยียนซินหย่าเองก็ไม่ได้รับรู้อย่างแน่ชัด!

เขารู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณต่อการกระทำของอู่เจิ้งซือเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียในช่วงที่ลำบากที่สุดของภรรยาเขา มีเพียงแค่อู่เจิ้งซือที่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและดูแลเธอ บุญคุณนี้เขาจะไม่มีวันลืม และการกลับมาในครั้งนี้เขาก็จะทำการตอบแทนบุญคุณนั้น

แต่ในตอนนี้เขากลับเริ่มสงสัย!

เขาเข้าใจได้จากที่จ้าวอิงหนานพูดว่า อู่เจิ้งซือนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว เลือดเย็น ทั้งยังดูเสแสร้งแกล้งทำ คนประเภทนี้ถือว่าอันตรายที่สุด เพราะเขาสามารถแสดงความเมตตาจอมปลอมออกมาเพื่อหลอกให้คนอื่นตายใจ แล้วก็กล้าทำเรื่องเลวทรามอย่างขาดสติ!

จ้าวอิงหัวได้ยินมาว่าอู่เจิ้งซือก็จะมาดูการแสดง เพราะเหตุนี้เขาจึงอยากจะเจอกับอู่เจิ้งซือเพื่อถามถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ส่วนใครจะพูดความจริงหรือโกหกนั้น ตัวเขาเองมีความมั่นใจพอที่จะอ่านคนออก

แต่น่าเสียดายที่การแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่อู่เจิ้งซือยังคงไม่ปรากฏตัว จ้าวอิงหัวจึงทำได้เพียงทำใจสงบนิ่งแล้วดูการแสดงอย่างใจลอย จนกระทั่ง…

“การแสดงต่อไปเป็นการแสดงของเด็กสามคนที่มีอายุเพียงแค่สิบสองปี พวกเขาคือนักเรียนจากโรงเรียนทดลอง นำแสดงโดยอู่เหมย อู่เชาและสยงมู่มู่ เป็นการบรรเลงร่วมระหว่างพิณกู่เจิงและขลุ่ยในบทเพลงชูฉุ่ยเหลียน พร้อมด้วยการแสดงเต้น” น้ำเสียงนุ่มสลวยของพิธีกรสาวดังขึ้น จากนั้นผ้าม่านกั้นฉากค่อยๆ เปิดออก ทางพวกอู่เหมยเสื้อผ้าหน้าผมพร้อม แสงไฟสาดส่องพวกเขาให้ได้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอู่เหมยที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด ซึ่งเธอได้เตรียมพร้อมท่าเต้น ด้วยการทำใบหน้าเชิดเงยสูงขึ้น หันใบหน้าด้านข้างให้กับผู้ชม ช่างดูงดงามราวกับภาพวาด!

“เหมยเหมย!”

เหยียนซินหย่าเรียกเธอด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาแดงก่ำมีน้ำตาคลอ เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนเดียวกันกับคนที่ปรากฏอยู่ในความฝันของเธอ ตัวจริงนั้นเหมือนเสียยิ่งกว่าในรูป เหมือนกันทุกประการ ไม่มีจุดบกพร่องแม้แต่น้อย

ใจของเจ้าอิงหัวก็สั่นไหวไม่แพ้ภรรยาตัวเอง เด็กผู้หญิงคนนี้เหมือนกับภรรยาของเขามาก รูปร่างหน้าทุกอย่างสวยงามเหมือนดั่งเทพนิยาย

ทั้งยังรู้สึกผูกพันกับเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก ในใจมีแต่ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะบรรยายออกมาให้เป็นคำพูดได้

…………………………………………………………………………………………..