ตอนที่ 1841

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,841 : จ้าวเติงตื่นตระหนก…

 

ถึงแม้กู่ลี่จะไม่เคยไปตำหนักเมฆาครามมาก่อน แต่มันก็รู้ดีว่าตำหนักเมฆาครามอยู่ที่ไหน

 

อย่างไรก็ตามขณะเดินทางไปยังตำหนักเมฆาคราม กู่ลี่ไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนลอบสะกดรอยตามมันมาด้วย…

 

ถึงกู่ลี่จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว แต่ก็ยังเป็นแค่เซียนมนุษย์ขั้นต้นเท่านั้น

 

เมื่อต้องเจอกับการลอบสะกดรอยตามของจ้าวเติง ที่พลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ มันย่อมไม่อาจตรวจพบร่องรอยใดๆได้

 

ดังนั้นถึงแม้จ้าวเติงจะลอบสะกดรอยตามกู่ลี่มา แต่กู่ลี่ก็ไม่รู้ตัวเลย…

 

“ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าหลิงเทียนบัดซบนั่นมันไปมุดหัวอยู่ที่ใด”

 

จ้าวเติงที่สะกดรอยตามกู่ลี่ไม่ห่าง กล่าวพึมพำออกมาเสียงเย็น ประกายตายังเผยรังสีอำมหิตชัด

 

ไม่กี่วันต่อมา จ้าวเติงที่สะกดรอยตามกู่ลี่ก็อดขมวดคิ้วบ่นออกเสียไม่ได้ “ข้างหน้านี่มันก็ทะเลสาบผานหลงอันเป็นเขตของตำหนักเมฆาครามแล้วมิใช่หรือไร…กู่ลี่มันมาทำอะไรที่นี่กัน?”

 

ตำหนักเมฆาครามแม้จะลี้ลับอันตราย แต่อย่างไรเสียในแง่ระดับก็เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ดุจเดียวกับตำหนักฟ้าลี้ลับของมัน อนิจจาหากมองในแง่พลังอำนาจ น่ากลัวว่าตำหนักฟ้าลี้ลับจะไม่อาจเทียบได้เลย

 

มาป้วนเปี้ยนอยู่หน้า ‘ประตู’ ของขุมพลังน่ากลัวระดับนี้ ถึงแม้จ้าวเติงจะเป็นถึงรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัวอยู่บ้าง

 

แน่นอนว่าตั้งแต่ต้นจนจบจ้าวเติงไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าจุดหมายปลายทางของกู่ลี่จะเป็นตำหนักเมฆาคราม

 

เพราะมันไม่เคยได้ยินเรื่องราวว่ากู่ลี่มีสัมพันธ์กับตำหนักเมฆาครามมาก่อน และอีกฝ่ายก็ไม่เคยกล่าวว่าหลิงเทียนมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตำหนักเมฆาคราม

 

มันคิดว่ากู่ลี่คงจำเป็นต้องผ่านทางนี้ และอีกประเดี๋ยวต้องเลือกที่จะอ้อมทะเลสาบผานหลงของตำหนักเมฆาครามไปแน่นอน

 

ตราบใดที่ไม่เข้าเขตทะเลสาบผานหลง ก็ถือว่ายังไม่ได้รบกวนตำหนักเมฆาคราม…

 

อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากนั้นจ้าวเติงก็พบว่าเรื่องราวกลับผิดพลาดเหนือคาดไปหมด เพราะกู่ลี่ไม่อ้อมเลี้ยวอะไรแต่ตรงแด่วเข้าไปยังทะเลสาบผานหลงอันเป็นอาณาเขตตำหนักเมฆาครามหน้าตาเฉย!

 

“มัน…มันเข้าไปในทะเลสาบผานหลงแล้ว?”

 

ด้านนอกทะเลสาบผานหลง จ้าวเติงหยุดร่างมองชมเรื่องราวด้วยความอื้ออึง มองแผ่นหลังกู่ลี่ล่วงล้ำเข้าไปในทะเลสาบผานหลงอย่างไม่เข้าใจ

 

และครู่ต่อมาฉากที่มันคิดคาดไว้ก็ปรากฏ องครักษ์เกราะทมิฬพุ่งมาปิดล้อมบังขวางกู่ลี่เอาไว้อย่างขึงขัง

 

“กู่ลี่นั่นมันมาทำบ้าอะไรที่ตำหนักเมฆาครามกันแน่?”

 

จ้าวเติงยิ่งมองก็ยิ่งไม่เข้าใจ

 

มันไม่คิดว่ากู่ลี่จะเหงาจนมารนหาที่ตายแบบนี้!

 

เช่นนั้นเบื้องหลังการกระทำดังกล่าวต้องมีเบื้องลึกที่มันไม่รู้อยู่แน่!

 

“หืม? ไฉนอยู่ดีๆองครักษ์เกราะทมิฬเหล่านั้นถึงเปลี่ยนท่าทีเสียเล่า?”

 

ถึงแม้จะอยู่ห่างออกมาไกล แต่จ้าวเติงยังเห็นได้ชัดเจนว่าท่าทีขึงขังตอนแรกขององครักษ์ทมิฬได้แปรเปลี่ยนไป ทั้งหมดคล้ายต้อนรับทักทาย กระทั่งเปิดทางให้กู่ลี่ด้วยรอยยิ้ม!

 

นอกจากนั้นยังมีองครักษ์เกราะทมิฬคนหนึ่งผายเมือเชื้อเชิญ ก่อนจะเหินร่างนำกู่ลี่เข้าไปด้วยท่าทีสุภาพ!!

 

“อันใด!? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่! ไฉนข้ามิเคยได้ยินว่ากู่ซืออวิ๋นมีสัมพันธ์อันใดกับคนของตำหนักเมฆาครามมาก่อน!?”

 

จนเมื่อแผ่นหลังของกู่ลี่หายลับตาไป จ้าวเติงค่อยคืนสติ

 

สิ่งแรกที่มันคิดก็คือ กู่ซืออวิ๋น สมควรมีสายสัมพันธ์อันใดสักอย่างกับคนของตำหนักเมฆาครามแน่นอน!

 

อีกทั้งคนของตำหนักเมฆาครามคนนั้นสมควรมีตำแหน่งมิใช่ชั่ว หาไม่แล้วองครักษ์เกราะทมิฬคงไม่ปฏิบัติต่อกู่ลี่ บุตรชายของกู่ซืออวิ๋นดีขนาดนี้!

 

ตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่คิดเลยว่าจะเป็นตัวกู่ลี่เองที่มีสัมพันธ์กับคนตำหนักเมฆาคราม เพราะคุณสมบัติของกู่ลี่มันไม่พอ!

 

จังหวะนี้จ้าวเติงเรียกว่าลืมเรื่องหลิงเทียนไปอย่างสิ้นเชิง

 

กล่าวให้ชัด ต้วนหลิงเทียน ถูกลืมเสียแล้ว…

 

มันไม่เคยคิดคาดและเกรงว่ากระทั่งหลับยังไม่อาจฝันถึง  เหตุผลที่ว่าทำไมองครักษ์เกราะทมิฬถึงปฏิบัติดีกับกู่ลี่ ล้วนเป็นเพราะจ้าวตำหนักเมฆาครามถ่ายทอดคำสั่งลงมาด้วยตัวเอง!

 

คำสั่งของต้วนหรูเฟิงแน่นอนว่าสืบเนื่องมาจากต้วนหลิงเทียน!

 

“วันหน้าหากมีคนของตำหนักฟ้าลี้ลับที่เรียกว่า กู่ลี่ มาเยือน ขอให้ทุกคนทำการต้อนรับอย่างดี!”

 

แม้ว่าวาจาของต้วนหรูเฟิงจะเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่สำหรับองครักษ์เกราะทมิฬแล้ว เปรียบเสมือน พระราชโองการของฮ่องเต้!

 

เมื่อฮ่องเต้มีรับสั่งลงมาเช่นนี้ องครักษ์เช่นพวกมันไหนเลยจะกล้าละเลย!

 

‘ตอนนี้ข้าควรเข้าไปถามเรื่องราวให้รู้ชัด…หรือย้อนกลับไปก่อนดี…’

 

จ้าวเติงเริ่มคิดถึงการล่าถอย หากแต่พอคิดว่าหลิงเทียนอาจจะหลบซ่อนตัวอยู่ในตำหนักเมฆาครามโดยอาศัยสายสัมพันธ์ของกู่ซืออวิ๋น และกู่ลี่ทำการนัดพบที่นี่ มันก็อดไม่ได้ที่จะละล้าละลัง

 

“หลิงเทียนนั่นสมควรหลบซ่อนอยู่ด้านในตำหนักเมฆาครามเพราะกู่ลี่แนะนำให้มา โดยอาศัยเส้นสายคนรู้จักของบิดามันในตำหนักเมฆาครามเป็นแน่…ดูเหมือนพวกมันจะใช้ที่นี่เป็นจุดนัดพบและคิดไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน! หลิงเทียนหนอหลิงเทียนเจ้าคิดจริงๆหรือว่ามาอาศัยร่มเงาของตำหนักเมฆาครามแบบนี้…แล้วเจ้าจักรอดพ้นเงื้อมมือของสกุลจ้าวเรา!!”

 

เมื่อจ้าวเติงคาดเดาได้ดังนั้น สองตาก็ทอประกายเย็นเยียบแฝงอำมหิตทันที

 

ตอนนี้สิ่งที่จ้าวเติงอยากกระทำมากที่สุดคือเข้าไปลากคอหลิงเทียนออกมา!

 

ไม่ว่าจะมันหรือบิดาต่างรู้สึกว่าคิดหาฆาตกรฆ่าจ้าวจี้ จำต้องเริ่มสอบสวนจากหลิงเทียน!

 

“ช่างเถอะ แค่เข้าไปคงมิเป็นไร…หากข้าเปิดเผยฐานะรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับออกไป เพียงแค่กล่าวถามเรื่องราวไม่กี่ข้อ องครักษ์เกราะทมิฬพวกนี้ไม่สมควรไม่ไว้หน้าข้า…”

 

สุดท้ายจ้าวเติงก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามให้รู้เรื่อง

 

ยิ่งพอมันนึกถึงฐานะของมันว่าเป็นชนชั้นรองจ้าวตำหนักคนหนึ่ง มันก็ฮึกเหิมและฟื้นความมั่นใจในตัวเองขึ้นมามาก

 

ฟุ่บ!

 

จ้าวเติงคล้ายจะแปรเปลี่ยนเป็นกระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่ง มันปะทุความเร็วเคลื่อนร่างไปผุดโผล่ในอาณาเขตทะเลสาบผานหลง ก่อนที่องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 จะทันได้รู้สึกตัว!

 

“ผู้ใด!?”

 

และการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจ้าวเติง ย่อมทำให้องครักษ์เกราะทมิฬตื่นตัวเป็นธรรมดา พริบตาร่างจ้าวเติงก็ถูกองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 กระจายกำลังกันปิดล้อม

 

“ข้าคือรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติง!”

 

เผชิญหน้ากับการปิดล้อมขององครักษ์เกราะทมิฬ จ้าวเติงเชิดหน้าอกผ่ายไหล่ผึ่งกล่าวประกาศออกมาอย่างมั่นใจ

 

ขณะเดียวกันกลิ่นอายพลังทั่วกาย ก็เพาะสร้างเป็นสนามพลังไร้สภาพขุมหนึ่งกวาดแผ่ออกไปโดยรอบ พาลให้สีหน้าขององครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ซีดลงทันที!

 

จะกล่าวอย่างไรจ้าวเติงก็นับเป็นชนชั้นเซียนมนุษย์คนหนึ่ง พลังฝึกปรือยังบรรลุขั้นเชี่ยวชาญแล้ว! กลิ่นอายพลังทั้งแรงกดดันที่มันแผ่ออกมา สุดที่องครัก์เกราะทมิฬซึ่งบรรลุเพียงขอบเขตอริยะเซียนเหล่านี้จะทานทนรับได้จริงๆ!!

 

อย่างไรก็ตามจ้าวเติงเองก็ไม่กล้ากระทำเกินเลย หลังแผ่กลิ่นอายพลังพักหนึ่ง มันก็ถอนรั้งมวลพลังทั้งหมดทันที

 

อย่างไรเสียองครักษ์เกราะทมิฬเหล่านี้ก็เป็นคนของตำหนักเมฆาคราม และจากคำกล่าวที่ว่า ‘คิดตีสุนัขต้องดูนาย’ จ้าวเติงไหนเลยจะหาญกล้ารังแกคนของตำหนักเมฆาคราม!

 

ตำหนักเมฆาครามนั้นอย่าว่าแต่มัน ต่อให้บิดามันหอบสังขารมาเองก็ไม่กล้าจะล่วงเกินตำหนักเมฆาครามแม้แต่น้อย!

 

มันกระทำเช่นนั้นเพียงเพราะอยากให้องครักษ์เกราะทมิฬรับทราบพลังฝึกปรือและฐานะ อีกฝ่ายจะได้ไม่ปรามาสดูถูกมัน!

 

“ที่แท้เป็นรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับแซ่จ้าวนี่เอง!”

 

ไม่นาน 1 ใน 9 องครักษ์เกราะทมิฬคนหนึ่งก็ก้าวออกมาก่อนที่จะยื่นมือขวาออกไปโดยมีมือซ้ายป้องบัง ค่อยโค้งคารวะจ้าวเติงเล็กน้อย “ยินดีที่ได้พบรองจ้าวตำหนักจ้าว ข้า หลิวฉวน สือฟูฉางหมู่ที่ 73 แห่งตำหนักเมฆาคราม”

 

“คารวะรองจ้าวตำหนักจ้าว!”

 

องครักษ์เกราะทมิฬที่เหลืออีก 8 คนก็ป้องมือโค้งคารวะทักทายจ้าวเติงเช่นกัน

 

เมื่อเห็นว่าองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 คารวะทักทายอย่างสุภาพเรียบร้อย จ้าวเติงอดไม่ได้ที่จะกระหยิ่มยิ้มย่อง หน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ลำตัวยังคล้ายจะยืดยาวขึ้น ใจคิดไปว่าการสำแดงพลังเมื่อครู่ช่างได้ผลประเสริฐนัก!

 

“เจ้าคือสือฟูฉางเช่นนั้นหรือ?”

 

จ้าวตงมองหลิวฉวน ก่อนที่จะหยักหน้า “เอาล่ะ ข้ามีเรื่องคิดไถ่ถามเจ้าเรื่องหนึ่ง ตอนนี้…”

 

“รองจ้าวตำหนักจ้าว”

 

จ้าวเติงยังกล่าวไม่ทันจบคำหลิวฉวนก็กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน  ยังผลให้หน้าจ้าวเติงถึงกับเปลี่ยนสีทันที ทว่าหลิวฉวนไม่สนใจ ยังคงกล่าวต่อออกมาว่า “ท่านจ้าวตำหนักได้กำชับพวกเราไว้แล้ว…ว่าหากท่านมาจำต้องต้อนรับท่านให้ดี และยังต้องพาท่านไปส่งที่ห้องโถงหลัก เพื่อที่ท่านจ้าวตำหนักจะได้ต้อนรับท่านด้วยตัวเอง!”

 

หลังได้ยินคำของหลิวฉวนสีหน้าไม่พอใจของจ้าวเติงก็สลายหายกลายเป็นตะลึงงันด้วยความยินดี “ท่านจ้าวตำหนักของพวกเจ้า…คิดต้อนรับข้าเป็นการส่วนตัวเลยงั้นหรือ!?”

 

จ้าวเติงถึงกับถามซ้ำด้วยกลัวฟังผิด

 

“ใช่”

 

อย่างไรก็ตามไม่ทันไรมันก็ได้ยินหลิวฉวนกล่าวตอบย้ำ

 

มันไม่ได้ฟังผิด!

 

จังหวะนี้จ้าวเติงรู้สึกเสมือนมีไอร้อนหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศรีษะ พาลให้หน้าผากรู้สึกอุ่นร้อนวูบวาบขึ้นมา

 

นี่คือความรู้สึกของอาการ ตื่นเต้น!

 

สำหรับการต้อนรับขององครักษ์เกราะทมิฬเบื้องหน้านั้น จ้าวเติงไม่ได้แยแสแม้แต่น้อยเพราะอย่างไรอีกฝ่ายอย่างดีก็แค่ขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุด

 

อย่างไรก็ตามจ้าวตำหนักเมฆาครามนั้นเป็นอะไรที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง!

 

จ้าวตำหนักเมฆาครามคือตัวตนที่ทุกผู้คนได้แต่แหงนมอง ทว่าตอนนี้ตัวตนเช่นนั้นกำลังจะต้อนรับมันเป็นการส่วนตัว?

 

จังหวะนี้จ้าวเติงรู้สึกเสมือนร่างกำลังลอยล่องบนปุยเมฆ!

 

อย่างไรก็ตามหลังผ่านไปครู่หนึ่งจ้าวเติงพลันตระหนักได้…ต้อนรับด้วยตัวเองกับผีสิ! นี่มันไม่ใช่แล้ว!!

 

หลังจากถามตัวเองมันก็ตอบได้ทันที…ว่าไม่เคยรู้จักกับจ้าวตำหนักเมฆาครามมาก่อนเลย! กระทั่งบิดามันก็คงไม่มีทางสร้างสัมพันธ์กับตัวตนระดับนี้ได้!!

 

เช่นนั้นแล้วไฉนจ้าวตำหนักเมฆาคราม 1 ในผู้ทรงพลังที่เข้มแข็งที่สุดในแดนดินภูมิภาคเบื้องล่าง ต้องออกมาต้อนรับมันเป็นการส่วนตัวด้วย?

 

ยิ่งไปกว่านั้นไฉนจ้าวตำหนักเมฆาครามถึงล่วงรู้ได้ว่ามันจะมา?

 

หากมีสิ่งใดผิดปกติย่อมมีปีศาจ!

 

หลังจากสงบอารมณ์จ้าวเติงก็ไม่หลงระเริงและตื่นเต้นยินดีอะไรอีกต่อไป มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าวกับองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ว่า “ฝากพวกเจ้าขอบคุณท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามแทนข้าด้วย…หากแต่พอดีข้ามีธุระที่ต้องรีบไปจัดการ”

 

เมื่อตระหนักได้ว่าเรื่องราวสมควรผิดท่า จ้าวเติงก็โยนความคิดเรื่องตามล่าหลิงเทียนและกู่ลี่ทิ้งไปทันที

 

ตอนนี้ในหัวหลงเหลือเพียงหนึ่งความคิดเท่านั้น…หนี! หนีไปให้ไกลจากตำหนักเมฆาคราม!!

 

กล่าวจบคำจ้าวจี้ก็ไม่รอให้องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ตอบสนอง จ้าวเติงหันหลังและคิดออกจากทะเลสาบผานหลง!

 

มวลพลังมหาศาลขุมหนึ่งเริ่มพุ่งพล่านขึ้นทั่วกายจ้าวเติง เตรียมปะทุพลังหลบหนีออกจากเขตพื้นที่ตำหนักเมฆาคราม!

 

ไม่ทราบอะไรดลใจให้มันคิดไป…แต่มันรู้สึกเสมือนว่าหากไปห้องโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม ก็เสมือนมันก้าวเดินสู่หลุมพรางที่ลึกเกินจะปีนกลับขึ้นมา!

 

“เมื่อมาแล้วไฉนต้องรีบร้อนจากไปเล่า?”

 

จ้าวเติงที่ปะทุพลังออกมายังไม่ทันได้ใช้ออกพลันมีเสียงเย็นเยียบหนึ่งดังขึ้น ในน้ำเสียงยังแฝงเร้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน!

 

จ้าวเติงเร่งระงับพลังขืนร่างไว้ไม่ให้พุ่งไปทันที เพราะมันตระหนักไดว่า…มีคนหยุดลอยขวางหน้ามันเอาไว้! และอีกฝ่ายมาตั้งแต่เมื่อใดมันก็ไม่ทราบ!!

 

ชายเบื้องหน้ามาในชุดเกราะดำสนิท หากแต่ชุดเกราะบนร่างของชายผู้นี้แลดูจะบางกว่าชุดเกราะขององครักษ์เกราะทมิฬด้านหลัง

 

และชายในชุดเกราะทมิฬผู้นี้ ตาซ้ายกลับมีรอยแผลเป็นดั่งรอยบากลากยาวตั้งลงมาผ่านลูกตาจากเหนือคิ้วจรดคางล่าง

 

“เจ้า…เจ้าคือไป่ฟูฉางแห่งหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬ ถงจ้ง!”

 

ดูเหมือนจ้าวเติงจะจดจำอัตลักษณ์ของชายหน้าบากผู้มาใหม่คนนี้ได้ สีหน้าของมันถึงกับแปรเปลี่ยนไปทันที

 

ถงจ้ง ไป่ฟูฉางที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งองครักษ์เกราะทมิฬ!

 

ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด!!