ตอนที่ 202 ได้รับมอบหมายให้ปรุงยา

ลำนำสตรียอดเซียน

นี่เป็นครั้งแรกที่โม่เทียนเกอเจอกับผู้อาวุโสชิงเมี่ยว

 

 

เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่นางมาถึงสภาปี้เซวียน แต่จนถึงตอนนี้ นางมักจะได้รับการต้อนรับจากเว่ยเฮ่าหลานหรือผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานคนอื่น ดังนั้นนางจึงไม่เคยเจอกับผู้อาวุโสการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามท่านเลย

 

 

แต่แน่นอนอยู่แล้ว สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง พูดง่ายๆ ก็คือผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังมักจะฝึกตนอย่างพากเพียรและแทบจะไม่ออกไปไหน ใครจะออกมาเพื่อพบกับศิษย์น้องผู้ซึ่งไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสมาชิกในกลุ่มด้วยซ้ำถ้าไม่จำเป็น จริงไหม พวกเขาไม่ได้ว่างขนาดนั้นและพวกเขาก็คงจะไม่ทำอะไรที่จะลดสถานะของตัวเองเช่นนั้น

 

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยพบผู้อาวุโสทั้งสามมาก่อน โม่เทียนเกอก็ไม่ได้กังวลว่าผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจะทำอะไรที่เป็นการทำร้ายนาง

 

 

ตั้งแต่ที่นางเป็นคนควบคุมสวัสดิการต่างๆ ที่ตำหนักซ่างชิงและคอยดูแลเรื่องราวทางสังคมต่างๆ ในฐานะตัวแทนของประมุขเต๋าจิ้งเหอ โม่เทียนเกอมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการบิดและปรับเปลี่ยนทางจิตใจของผู้ฝึกตนระดับสูง สำหรับผู้ฝึกตนระดับสูง โดยเฉพาะผู้ฝึกตนระดับสูงซึ่งเป็นผู้ค้ำจุนกลุ่มการฝึกตนของพวกเขา พวกเขาอาจจะยกย่องลูกศิษย์ของพวกเขา แต่นั่นจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ที่จะได้รับ พวกเขารักลูกของพวกเขาได้ แต่ภาวะทางอารมณ์นี้จะไม่มีทางส่งผลกระทบต่อสิ่งที่ต้องพึงปฏิบัติอย่างแท้จริง และเพราะเหตุนั้น จากสิ่งที่คนอื่นได้ยินจึงรู้ได้ว่าคำขู่ของหวาอี้หลินเป็นเรื่องไร้สาระ

 

 

อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าผู้อาวุโสชิงเมี่ยวใช้น้ำเสียงเช่นนี้และพูดกับนางเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ควรไตร่ตรองยิ่งนัก

 

 

ไม่ธรรมดา… นางหมายถึงอะไร “ไม่ธรรมดา” นอกเหนือไปจากความเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการปรุงยาของนาง โม่เทียนเกอเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนต่างถิ่นทั่วไปสำหรับผู้ฝึกตนของสภาปี้เซวียน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูดนั้นไม่ได้หมายความถึงการยกย่องทักษะการปรุงยาของนางเป็นแน่

 

 

ท่าทางของโม่เทียนเกอไม่ได้เปลี่ยนไป นางเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย “ศิษย์พี่… ยกย่องข้าเกินไป”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวแกว่งถ้วยชาในมือเล็กน้อย แต่แทนที่จะดื่มมัน นางพูดด้วยเสียงอันเบา “ข้าไม่ได้ยกย่องเจ้า”

 

 

“ถ้าศิษย์พี่ไม่อธิบาย ศิษย์น้องเองนั้นก็มองได้เพียงแค่เป็นการยกย่องเท่านั้น” โม่เทียนเกอยังคงยิ้มเล็กน้อย มันเหมือนกับว่านางไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวมองที่นางอีกครั้ง สายตาของนางนั้นเฉียบคมนัก

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้เกรงกลัว ดังนั้นจึงปล่อยให้นางมองเท่าที่ต้องการ

 

 

แต่ละวินาทีผ่านไป ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวใช้แม้กระทั่งแรงกดดันพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่โม่เทียนเกอยังคงแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้ม ถึงแม้ว่ารอยยิ้มของนางจะเริ่มแข็งทื่อและเหงื่อเริ่มหยดออกมาจากหน้าผาก สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงยิ้มต่อไป

 

 

หลังจากเวลาผ่านไป ในที่สุดผู้อาวุโสชิงเมี่ยวก็ถอนแรงกดดันของพลังวิญญาณ หลังจากนั้นนางถามด้วยความเยือกเย็น “เจ้า… สุดท้ายแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่”

 

 

โม่เทียนเกอแอบถอนใจอย่างโล่งอกอยู่ภายใน ถึงแม้ว่านางจะฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณและจิตสัมผัสของนางนั้นจะแข็งแกร่งกว่าเหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับดินแดนเดียวกันกับนางก็ตาม แต่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่ดี นางต้องทำอย่างเต็มที่เพื่อทนต่อแรงกดดันของพลังวิญญาณนั้น

 

 

นางรู้ได้ทันทีว่าทำไมผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจึงปฏิบัติเช่นนี้กับนาง โม่เทียนเกอติดนิสัยใช้จิตสัมผัสของนางเพื่อคอยสังเกตการณ์รอบๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นนางจึงรับรู้ได้ทันทีถึงการมาของผู้อาวุโสชิงเมี่ยว และเช่นกัน ทั้งที่รู้ว่าผู้อาวุโสชิงเมี่ยวอยู่ตรงนั้น นางก็ยังกล้าที่จะพูดเช่นนั้นกับหวาอี้หลิน

 

 

การที่มีลูกศิษย์ถูกสั่งสอนเช่นนั้นจากศิษย์ต่างถิ่นนั้นทำให้เกียรติของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเพราะเกียรติของนางนั้นถูกหยามนางจึงตำหนิหวาอี้หลิน ดังนั้นนางจึงแสดงให้เห็นถึงสถานะผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังผู้ที่ไม่เคยปกป้องลูกศิษย์ของนางและยอมเสียหน้าแทน

 

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านางจะตำหนิหวาอี้หลิน สุดท้ายแล้วหวาอี้หลินก็ยังคงเป็นผู้สืบทอดของนางอยู่ดี นางอยากจะเห็นว่าทำไมศิษย์ผู้ที่กล้าสั่งสอนผู้สืบทอดของนางนั้นช่างอาจหาญนัก คนผู้นี้รู้อย่างแน่นอนว่ามีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่ที่นั่น แต่นางก็ยังกล้าตำหนิคนของสภาปี้เซวียน ทำไมผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นถึงกล้าเพียงนี้

 

 

โม่เทียนเกอใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบไปว่า “ศิษย์น้องเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าเสวียนอินของโรงเรียนเสวียนชิงเจ้าค่ะ”

 

 

“ประมุขเต๋าเสวียนอิน…” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูดพึมพำช้าๆ ในชื่อของนักพรตนี้ ไม่นาน สายตาที่นางจ้องหน้าโม่เทียนเกอก็เปลี่ยนไปทีละน้อย สีหน้าถมึงทึงค่อยๆ เลือนหาย นางหัวเราะพร้อมพูด “แสดงว่าอาจารย์ของเจ้าคือผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่… ไม่แปลกใจที่ทำไมเจ้าถึงช่างกล้านัก”

 

 

ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้จักประมุขเต๋าเสวียนอิน แต่คนที่ถูกเรียกว่า “ประมุขเต๋า” นั้นล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งนั้น ในฐานะหนึ่งในคนที่มีระดับการฝึกตนสูงที่สุดในสภาปี้เซวียน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะไม่มีความเข้าใจพื้นฐานเช่นนี้

 

 

โม่เทียนเกอยังคงแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มจางๆ ในขณะที่คงความมีมารยาทไว้ “ศิษย์น้องเพียงแค่โชคดีเท่านั้น”

 

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่จะรับศิษย์กันง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ ข้อดีของการมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่เป็นอาจารย์นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบาย หลังจากที่เข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่ละขั้นตอนของการฝึกตนนั้นจะเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก โดยทั่วไปแล้ว สองในสามของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะติดอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปตลอดชีวิต ถ้าใครมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เป็นผู้ให้คำแนะนำ ไม่เพียงแต่คนนั้นจะเผชิญกับหนทางคดเคี้ยวระหว่างดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังน้อยลงแล้ว พวกเขายังได้รับการชี้แนะเกี่ยวกับการสร้างจิตวิญญาณใหม่อีกด้วย…

 

 

ในขณะที่ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวครุ่นคิดอยู่นั้น นางเริ่มรู้สึกอิจฉาอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางเป็นผู้อาวุโสในกลุ่มการฝึกตน เป็นผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่มีเกียรติ แต่นางยังคงต้องการมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มาเป็นอาจารย์ของนาง และนั่นเป็นสิ่งที่นางยังไม่สามารถมีได้ในตอนนี้

 

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นผู้อาวุโสของกลุ่ม ดังนั้นนางจึงสงบจิตใจลง เผยรอยยิ้มพร้อมพูด “หรือจะให้พูดว่า สหายนักพรตตัวน้อยครอบครองรากวิญญาณที่แสนพิเศษและมีความสามารถมากอย่างนั้นสินะ”

 

 

โม่เทียนเกอตอบอย่างแผ่วเบา “ทักษะของศิษย์น้องนั้นใช่ว่าแย่ และศิษย์น้องพยายามที่จะทำให้ท่านอาจารย์ชื่นชอบ ดังนั้นศิษย์น้องจึงได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”

 

 

“อย่างนั้นหรือ แต่หากจะให้พูดตามจริง ทักษะการปรุงยาของสหายนักพรตตัวน้อยนั้นช่างเยี่ยมยอดนัก!” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวแย้งกลับ

 

 

โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงบางอย่าง สายตาของนางมองไปที่ใบหน้าครึ่งยิ้มของผู้อาวุโสชิงเมี่ยว หลังจากนั้นนางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา “ศิษย์พี่ ท่านอาจจะมีบางอย่างอยากพูดกับข้า”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยืนขึ้นและจ้องมองไปที่ขอบของศาลา ดูเหมือนกับครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง

 

 

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ในที่สุดนางก็พูด “สหายน้อยเยี่ยรู้จักยาวิเศษที่ชื่อยาฟ้ากระจ่างไหม”

 

 

โม่เทียนเกอหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง “มันเป็นยาวิเศษระดับสูงของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ายาจิตวิญญาณแกร่งกล้าหลายสิบเท่านัก” เมื่อตอนที่นางได้ครอบครองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นครั้งแรก นางฝึกทักษะการปรุงยาจากการปรุงยาฟ้ากระจ่างเพราะพืชสมุนไพรที่เหมาะจะใช้กับการปรุงยาประเภทนี้นั้นเติบโตอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง

 

 

“ถูกต้องแล้ว” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพยักหน้า “อย่างที่คาดคิดไว้สำหรับคนที่มาจากกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ ความรู้ของสหายน้อยเยี่ยนั้นกว้างขวางนัก มีคนจำนวนน้อยมากที่จะรู้จักยาฟ้ากระจ่างนี้”

 

 

“… อาจารย์ของศิษย์น้องก้าวผ่านขึ้นมาหลายปีก่อน ดังนั้นศิษย์น้องจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวผู้ซึ่งก้าวเดินอย่างช้าๆ ยิ้มให้นาง “ถึงกระนั้น ข้าก็เห็นว่าสหายน้อยเยี่ยนั้นเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ของนางนัก”

 

 

เริ่มจาก “สหายนักพรตตัวน้อย” แต่ตอนนี้เป็น “สหายน้อยเยี่ย” วิธีที่เรียกนางนั้นดูสนิทชิดเชื้อมากขึ้น โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่าผู้อาวุโสชิงเมี่ยวมีความต้องการที่จะสนิทกับนางอย่างจงใจ และจากที่นางพูดมาจนถึงตอนนี้ น่าจะมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับยาวิเศษแน่นอน

 

 

ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม นางก็ยังมั่นใจเกี่ยวกับทักษะการปรุงยาของนาง ดังนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหลบเลี่ยง “ใช่แล้ว สิ่งที่ศิษย์น้องประสบความสำเร็จมาจนถึงตอนนี้นั้นเกิดจากการที่ท่านอาจารย์ชี้แนะด้วยความเต็มใจ”

 

 

รูปลักษณ์สงบนิ่งของโม่เทียนเกอนั้นทำให้ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวประเมินตัวตนของนางอยู่ภายในใจ

 

 

“สหายน้อยเยี่ย เจ้าช่างมีความเชี่ยวชาญนักในศาสตร์แห่งการปรุงยา และเจ้าก็ยังรู้จักยาฟ้ากระจ่าง บางทีเจ้าอาจจะสามารถปรุงมันได้ใช่ไหม”

 

 

“อืม… ข้าเคยปรุงมันอยู่บ้างบางครั้งกับท่านอาจารย์ ดังนั้นข้าอาจจะ หรืออาจจะไม่สามารถปรุงได้ แต่ถ้าข้าพยายามปรุงมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ข้าเกรงว่าอัตราการที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นคงไม่สูงมากนัก” นางไม่ได้พูดความจริง ความจริงแล้ว นางเคยปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้าไม่กี่ครั้ง แต่นางปรุงยาฟ้ากระจ่างบ่อยครั้ง อัตราการประสบความสำเร็จในการปรุงยาฟ้ากระจ่างของนางนั้นสูงกว่าอัตราการปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้ามากนัก อย่างไรก็ตาม ยาฟ้ากระจ่างจะปรุงออกมาได้สำเร็จอย่างง่ายดายจากผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างไร ดังนั้น สิ่งที่นางพูดในตอนนี้นั้นเพื่อให้สอดคล้องกับระดับของทักษะที่นางควรจะเป็นเท่านั้น

 

 

แน่นอน ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวไม่ได้สงสัยในคำพูดของนาง นางพยักหน้าอย่างเข้าใจเหมือนกับสิ่งที่โม่เทียนเกอพูดนั้นเป็นสิ่งที่สอดคล้องจริง “หากเจ้าเคยปรุงมันเพียงแค่บางครั้งก่อนหน้านี้ อัตราการประสบความสำเร็จก็คงจะไม่ได้สูงมากนัก เจ้าคิดว่าอัตราความสำเร็จของเจ้าจะเป็นไปได้แค่ไหนกัน”

 

 

โม่เทียนเกอใช้เวลาครู่หนึ่งในการคิดก่อนที่จะตอบออกไปอย่างลังเล “คาดว่าประมาณสี่ถึงห้าส่วน”

 

 

รอยยิ้มปรากฏออกมาบนใบหน้าผู้อาวุโสชิงเมี่ยว “สี่ถึงห้าส่วนนั้นก็นับว่าดีมากแล้ว ดูเหมือนว่าสหายน้อยเยี่ยจะมีทักษะการปรุงยาที่ไม่สามารถดูถูกได้ทีเดียว”

 

 

สามถึงสี่ส่วนนั้นเป็นอัตรามาตรฐานสำหรับอาจารย์ปรุงยาทั่วๆ ไป ถึงแม้ว่าสี่ถึงห้าส่วนจะดูเหมือนเพิ่มขึ้นมาเพียงแค่หนึ่งส่วน แต่มันก็ใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานของอาจารย์ปรุงยาที่เก่ง สุดท้ายแล้วยาฟ้ากระจ่างเป็นยาวิเศษระดับสูง ดังนั้นมันจึงยากกว่าการปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้าหลายเท่าตัวนัก แม้กระทั่งในคุนอู๋ มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จในอัตรามาตรฐานของอาจารย์ปรุงยาในการปรุงยาฟ้ากระจ่างได้

 

 

“สหายน้อยเยี่ย…” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวดูละอายใจแต่เสี้ยววินาทีต่อมา นางก็ตกลงปลงใจในที่สุด “ในช่วงเดือนที่ผ่านมา พวกข้าสหายแก่ๆ ไม่กี่คนได้เห็นเจ้าสอนแม่สาวเซี่ยชิงคนนั้นเกี่ยวกับทักษะการปรุงยาของเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงได้รู้ถึงความเชี่ยวชาญในศาสตร์การปรุงยาของเจ้า มันบังเอิญเป็นช่วงเวลานั้นที่เราทั้งสามคนสามารถเก็บรวบรวมพืชวิญญาณในการหลอมยาฟ้ากระจ่างมาได้มาพอ อย่างไรก็ตาม เซี่ยชิงไม่เคยปรุงยาฟ้ากระจ่างมาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่มั่นใจในการที่จะปรุงมันขึ้นมา ถ้าพวกข้าส่งคนไปคุนอู๋เพื่อเชิญคนอื่นมาปรุงยาให้พวกข้า นั่นก็จะเป็นการเสียเวลามากเกินไป และมันก็ไม่ง่ายที่จะหาคนที่ไว้ใจได้ ดังนั้น…” นางหยุดเดินและจ้องเขม็งมาที่โม่เทียนเกอ “สหายน้อยเยี่ย จะเป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะปรุงยาฟ้ากระจ่างให้พวกข้าสักเตาหนึ่ง”

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบในทันที การปรุงยาฟ้ากระจ่างไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย นอกเหนือไปจากอัตราที่จะประสบผลสำเร็จได้นั้น ระยะเวลาในการที่จะปรุงมันขึ้นมาก็ค่อนข้างยาวนานทีเดียว…

 

 

“โดยปกติแล้ว พวกข้าเชื่อในทักษะการปรุงยาของสหายน้อยเยี่ย และเชื่อในนิสัยของสหายน้อยเยี่ยยิ่งกว่า พวกข้าจะไม่ทำให้อะไรยุ่งยากสำหรับเจ้าถ้าการปรุงยานั้นไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเจ้าทำสำเร็จ พวกข้าจะเตรียมของกำนัลทรงคุณค่าเพื่อแสดงความขอบคุณในความช่วยเหลือของสหายน้อยเยี่ยเป็นแน่”

 

 

โม่เทียนเกอจ้องมองที่ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวหลังจากนั้นจึงครุ่นคิดต่อ

 

 

หลังจากที่เวลาผ่านไปนานระยะหนึ่ง ใบหน้าของนางก็มีรอยยิ้มเกิดขึ้น “… ในเมื่อศิษย์พี่พูดเช่นนั้น ก็คงไม่มีเหตุให้ข้าต้องปฏิเสธคำขอของท่าน”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวดูปลาบปลื้มยิ่งนัก นางจับมือของโม่เทียนเกอด้วยความรักใคร่พร้อมตบเบาๆ “ดี! ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ของศิษย์พี่ระดับจิตวิญญาณใหม่ เจ้าเองก็คงจะเคยชินแล้วกับสมบัติมากมาย การมอบของที่มีเอกลักษณ์หนึ่งถึงสองอย่างนั้นเป็นสิ่งที่พวกข้าสหายแก่ยังพอทำได้ หลิวซู!”

 

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวตะโกนเรียก หนึ่งในสาวใช้ก็ก้าวออกมา นางอยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ การสร้างฐานแห่งพลังงานของนางนั้นขึ้นอยู่กับแค่ระยะเวลาเท่านั้น สุดท้ายแล้วนางก็เป็นสาวใช้ของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นระดับการฝึกตนของนางนั้นย่อมสูงกว่าอี้หลิ่วและอี้ชิวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

“อยู่นี่เจ้าค่ะท่านปรมาจารย์”

 

 

“อีกเดี๋ยว จงมอบเฝยเฝย [1] ที่พวกเราจับได้หลายวันก่อนให้กับสหายน้อยเยี่ยซะ”

 

 

ความประหลาดใจปรากฏในสายตาของหลิวซู อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้พูดอะไรและเพียงแค่ตอบรับอย่างยินยอม “เจ้าค่ะ ท่านปรมาจารย์”

 

 

โม่เทียนเกอเองก็ดูประหลาดใจ นางคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “ศิษย์พี่ เฝยเฝยที่ท่านพูดถึงนั้นคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวไว้ในตำราโบราณอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ถูกต้องแล้ว” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในไม่นานนางก็หัวเราะพร้อมพูด “ความรู้ของสหายน้อยเยี่ยช่างล้ำลึกนัก มีไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้เท่าไหร่นักในปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ข้าพูดถึงนี้ไม่ใช่เฝยเฝยที่แท้จริง มันเพียงแค่ดูคล้ายกับเฝยเฝยและมีสายเลือดของเฝยเฝย ดังนั้นพวกเราในเขตทะเลตะวันออกจึงเรียกเจ้าสัตว์วิเศษชนิดนี้ว่า “เฝยเฝย” ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของเจ้าเฝยเฝยนั้นไม่ได้สูงนัก แต่พวกมันก็มีพลังลึกลับซึ่งสัตว์วิเศษตัวอื่นไม่มี”

 

 

“โอ้ ข้าขอรู้หน่อยได้หรือไม่ว่าพลังลึกลับนั้นคืออะไร”

 

 

พร้อมกับรอยยิ้ม ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูด “ตำราโบราณกล่าวเอาไว้ว่าเฝยเฝยสามารถคลายความวิตกกังวลของผู้คนได้ และจากประสบการณ์ของพวกข้า การเลี้ยงดูเจ้าเฝยเฝยนี้อยู่ข้างกายส่งผลอย่างมากในการปลอบประโลมสภาพจิตใจของพวกข้า ยิ่งไปกว่านั้นเฝยเฝยนั้นไวต่อพลังวิญญาณ ดังนั้นพวกมันจึงเก่งในการมองหาทรัพย์สมบัติ”

 

 

“เช่นนั้นเอง…”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูดต่อ “ถึงแม้ว่าเฝยเฝยที่พวกเราพูดถึงนั้นจะไม่ได้เป็นสัตว์วิเศษโบราณหรืออะไรเช่นนั้น แต่พวกมันก็ไม่ได้หามาครอบครองได้ง่ายดายในฝั่งทะเลตะวันออก คิดเสียว่านี่เป็นของกำนัลของการพบกันสำหรับสหายน้อยเยี่ย เมื่อเจ้าสำเร็จการปรุงยาฟ้ากระจ่าง พวกข้าจะให้ของกำนัลแก่เจ้าอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้เจ้าจะล้มเหลว พวกข้าก็จะให้บางอย่างเพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับการทำงานหนักของเจ้าเช่นกัน”

 

 

“… ในเมื่อศิษย์พี่พูดเช่นนั้น คงจะหยาบคายหากข้าปฏิเสธ”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพยักหน้าพร้อมยิ้ม “สหายน้อยเยี่ยช่างสดใสและเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นศิษย์ของกลุ่มที่มีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้ว หญิงชราผู้นี้คงจะหลงในตัวเจ้ามากทีเดียว ช่างน่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย… โอ้ ไม่ซิ! มันควรจะเป็นช่างโชคดี โชคดีจริงๆ …”

 

 

โม่เทียนเกอเหลือบตาขึ้นมอง และทั้งสองคนต่างก็ยิ้มให้กัน ไม่ว่าพวกเขาแต่ละคนจะมีแรงจูงใจของตัวเองหรือไม่ก็ตาม แต่ตอนนี้พวกเขาดูเป็นมิตรต่อกันอย่างมาก กระนั้นก็ตาม การเดินทางกลับไปคุนอู๋ของนางดูเหมือนจะต้องเลื่อนออกไปอย่างแน่นอน

 

 

 

 

——

 

 

[1] เฝยเฝย (腓腓) : สัตว์ปีศาจประเภทหนึ่งในตำนานจีนโบราณ ดูเหมือนกับแร็กคูน/หมาป่า มีแผงคอและหางสีขาว