เขาจะไม่เป็นดอกไม้ในห้องที่แสนอบอุ่น เพราะเขาจะเป็นต้นโสมที่เจริญงอกงามเป็นไม้ใหญ่ต่างหาก!
เสิ่นถูเลี่ยเหลือบมองไปที่สาวน้อยในชุดสีชมพูอีกครั้ง แล้วเก็บภาพของนางเอาไว้ในใจให้ลึกที่สุด
ไม่มีใครเคยพูดเช่นนี้กับเขามาก่อน นางเป็นคนแรก คนในครอบครัวและญาติพี่น้องล้วนแต่รักใคร่ปกป้องเขา คนภายนอกรอบข้างเกรงกลัวอำนาจของสกุลเสิ่นถู เอาอกเอาใจเขา มีเพียงนาง ที่พูดออกมาจากมุมมองของความเป็นจริง จากคนภายนอกที่มองอย่างทะลุปรุโปร่ง
ได้ฟังคำของสุภาพชนเพียงครั้งเดียว มีค่ายิ่งกว่าร่ำเรียนมาสิบปี!
ในที่สุดเสิ่นถูเลี่ยก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนถึงได้แข็งแกร่ง
“อาหู ทำตามที่นางบอก! คนที่เหลือให้ข้าจัดการเพียงผู้เดียว!” เมื่อเสิ่นถูเลี่ยมีคำสั่ง อาหูจึงทำได้เพียงแต่ยิ้มขมขื่น
แม้คำพูดของอวี้เฟยเยียนจะไม่น่าฟัง แต่ทว่ามีเหตุผล และเหตุนี้ แม้กระทั่งคุณชายเองยังต้องยอมรับ ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่ยืนมองอยู่ข้างๆ!
เสิ่นถูเลี่ยต่อสู้ด้วยจิตวิญญาณ ในขณะที่อวี้เฟยเยียนยิ้มออกมาบางๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
ในตอนนั้น ที่บนฝากฟ้ามีกลุ่มเมฆสีม่วงล่องลอยมาบดบังทัศน์วิสัยของผู้คนเอาไว้ ไม่มีใครมองเห็นว่า ที่เหนือชั้นเมฆนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ฉิงเทียน…
อวี้เฟยเยียนพยายามบอกกับตัวเอง ว่าซย่าโหวฉิงเทียนทั้งดุดันและแข็งแกร่ง เขาจะต้องไม่เป็นอะไร แม้ว่าสติจะกำลังพร่ำบอกนางเช่นนี้ แต่อวี้เฟยเยียนก็ยังไม่สามารถควบคุมสภาพอารมณ์และจิตใจของตนเองไว้ได้
คนที่กำลังต่อสู้อยู่ข้างบนนั่นคือผู้ชายของนาง แล้วนางจะวางใจได้อย่างไรกัน!
“ปึ่ง!” เสียงฝ่ามือปะทะกันอีกครั้ง ในที่สุดหนานกงซีรั่วก็กระอักเลือดออกมา
ในเวลานี้นางไม่หลงเหลือบารมีแห่งความเป็นบรรพชนเฒ่าของสกุลหนานกงอีกแล้ว หนานกงซีรั่วผมเผ้าสางสยายยุ่งเหยิง หากไม่ตั้งใจมองให้ดีละก็ คงจะคิดว่าเป็นยายแก่วิปลาสที่ไหนไปแล้ว
“เจ้าเป็นใครกันแน่? เพราอะไรถึงเจาะจงเล่นงานสกุลหนานกง?”
หนานกงซีรั่วจ้องมองชายหนุ่มในชุดสีม่วงตรงหน้าด้วยสายตาเจ็บแค้น
นางไม่เคยต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอดสูเช่นนี้มาก่อน
ไม่เคยเลย!
อีกทั้ง หนานกงซีรั่วนึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าหนุ่มนี่จะสำเร็จถึงเทพอาวุโส!
นางไม่ได้ก้าวเท้าออกจากเรือนบรรพชนของสกุลหนานกงมาเป็นเวลานาน จึงไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้
คนหนุ่มสาวสมัยนี้เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หรือว่าสวรรค์ต้องการให้กสุลหนานกงล่มสลาย?
“เรื่องพวกนี้ท่านควรจะไปถามหนานกงอ๋าวดูจะดีกว่า”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ต้องการจะมาเสียเวลากับยายเฒ่านี่อีกต่อไป ไม่รู้ว่าแมวน้อยเป็นอย่างไรบ้าง เขาต้องรีบจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด
รับรู้ได้ถึงไอสังหารที่เข้มข้นจากซย่าโหวฉิงเทียน หนานกงซีรั่วก็กุมไม้เท้าหัวมังกรของตนเองเอาไว้แน่น
นางไม่อยากตาย!
ไม่อยากตาย!
หนานกงซีรั่วนึกภาพออกทุกอย่าง ว่าหลังจากที่ตนเองตายไปแล้ว สกุลหนานกงจะมีสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดพลัดพรากระเหเร่ร่อนอย่างไรบ้าง แล้วสกุลใหญ่อื่นๆจะเข้ามาครอบครองตัดแบ่งถิ่นที่เคยเป็นของสกุลหนานกงเดิมอย่างไรกัน!
แม้แต่กระทั่งเจ้าหนุ่มไร้ชื่อแซ่เบื้องหน้าของนางนี้ ก็จะมีชื่อขจรไปไกลทั่วทั้งเมื่องอู๋โยวเพราะสามารถโค่นล้มบรรพชนเฒ่าแห่งสกุลหนานกงลงได้ รวมทั้งได้รับการเคารพนับถือติดตามจากผู้คนนับไม่ถ้วน…
ไม่ นางไม่ยอม นางจะไม่ยอมเป็นฐานให้อีกฝ่ายเหยียบขึ้นไป ไม่ได้!
แต่ทว่า ความจริงมักจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ใจของมนุษย์ต้องการเสมอ
แสงสีม่วงจากพลังวิเศษเพิ่มขึ้นรอบกายซย่าโหวฉิงเทียนอีกครั้ง สีม่วงนั้นเข้มขึ้นเรื่อยๆ
หนานกงซีรั่วสามารถมองเห็นรูปร่างของพลังวิเศษสีม่วงที่กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน มีเกล็ด มีเขา กรงเล็บ ลำแสงสีม่วงกำลังค่อยๆกลายเป็นมังกร
นี่คือ…
เมื่อมองเห็นลำแสงสีม่วงนั้น ทำให้หนานกงซีรั่วหวนนึกถึงหัวมังกรสีม่วงก่อนหน้านี้ขึ้นมา
สามารถทำให้พลังวิเศษกลับกลายเป็นรูปร่าง นางเคยเห็นจากบรรพชนเฒ่าสกุลเสิ่นถูและสกุลอวิ๋น หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่สำเร็จถึงขั้นจอมปราชญ์ราชาแล้ว?
ไม่ เป็นไปไม่ได้!
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
ดูท่าทางของเขาแล้วอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบต้นๆเท่านั้น แล้วจะสำเร็จถึงจอมปราชญ์ราชาได้อย่างไร!
อัศจรรย์ที่ไม่มีวันเป็นไปได้เด็ดขาด!
หนานกงซีรั่วรู้ดีว่า หากรอให้พลังวิเศษกลายร่างเป็นมังกรแล้ว จะเป็นช่วงเวลาที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งที่สุด ถึงตอนนั้นนางคงต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้น จะต้องลงมือในเวลานี้เท่านั้น
“สวะ ไปตายเสียเถอะ!”
หนานกงซีรั่วรวบรวมพลังทั้งหมด เข้าโจมตีซย่าโหวฉิงเทียน
ขณะเดียวกันไม้เท้าหัวมังกรของหนานกงซีรั่วก็เปิดออก ควันสีดำพวยพุ่งออกมา
“พิษ?”
ประสาทสัมผัสที่ว่องวัยของซย่าโหวฉิงเทียนรับรู้ถึงความผิดปกติของอากาศที่กำลังไหลเวียนอยู่ในทันที และในขณะที่เขากำลังถอยร่นมาด้านหลังเพื่อหลบหลีกควันพิษที่เข้ามาโจมตีนั่นเอง จู่ๆหนานกงซีรั่วก็ทิ้งดิ่งลงไปที่พื้นเบื้องล่างโดยทะลุผ่านชั้นเมฆสีม่วงลงไปอย่างรวดเร็ว
“นั่นคือบรรพชนเฒ่านี่นา!”
“บรรพชนเฒ่าพ่ายแพ้?”
ชาวบ้านที่กำลังเกาะติดรับชมการของต่อสู้ของยอดฝีที่บนฝากฟ้าอยู่นั้น เมื่อเห็นหนานกงซีรั่วที่ร่วงลงมา ก็รู้สึกตกตะลึงไม่น้อย
บรรพชนพ่ายแพ้?
นางเป็นถึงเทพอาวุโส บรรพชนเฒ่าผู้พิทักษ์สกุลหนานกงกลับพ่ายแพ้?
ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อกับเหตุการณ์ที่ปรากฎตรงหน้านี้เลย
หนานกงซีรั่วไม่มีเวลาสนใจชื่อเสียงลาภยศอะไรพรรค์นั้นอีกแล้ว สิ่งเดียวที่นางต้องทำในตอนนี้ นั่นก็คือเอาชีวิตรอดให้จงได้ เอาชีวิตรอด!
หนานกงอ๋าวบอกเอาไว้ว่า ผู้ที่มาหาเรื่องสกุลหนานกง คือสาวน้อยในชุดสีชมพูกับชายหนุ่มที่สวมชุดสีม่วงซึ่งพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน
ดังนั้น เมื่อหนานกงซีรั่วลงถึงพื้นได้ เรื่องแรกที่กระทำก็คือเข้าโจมตีอวี้เฟยเยียน
บัดนี้ หนานกงซีรั่วถูกซย่าโหวฉิงเทียนบีบบังคับเสียจนอับจนหนทาง
นางสู้เขาไม่ได้ก็จริง แต่คงจะไม่ถึงกับสู้นังเด็กเมื่อวานซืนอย่างอวี้เฟยเยียนไม่ได้หรอกนะ?
ขอเพียงแต่จับอวี้เฟยเยียนได้ ก็สามารถข่มขู่ชายหนุ่มที่น่ากลัวคนนั้นได้แล้ว!
หานจื่อรับรู้ได้ทันทีว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา มันจึงกระโจนออกไปรับหน้า
“ไสหัวไป เดรัจฉาน!” หนานกงซีรั่วใช้ไม้เท้าตีไล่หานจื่อ
“เจ้าต่างหากเดรัจฉาน!”
“เจ้ามันเป็นเดรัจฉานทั้งโคตร!”
“ข้าเกลียดว่า ‘เดรัจฉาน’ คำนี้ที่สุด”
หานจื่อแยกเขี้ยวยิงฟันกรรโชกหนานกงซีรั่ว ทั้งมุ่งหมายจะกัดเข้าไปที่คอของหนานกงซีรั่ว
“เพี้ยะ——”ไม้เท้าหัวมังกรตีเข้าที่ใบหน้าของหานจื่อ จนเกิดเสียง ‘ผัวะ’ หลังจากนั้นไม้เท้าก็หักครึ่งท่อน
“หา!”
“นี่เจ้าตีใบหน้าของข้าเชียวหรือ?”
“นังมารเฒ่า เจ้าอยากตายมากใช่ไหม!”
นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกตีที่ใบหน้า ทั้งยังด้วยน้ำมือของยัยเฒ่าหน้าตาน่าเกลียดที่ใกล้จะตายอีกด้วย นั่นทำให้หานจื่อโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด
ศักดิ์ศรีของความเป็นสัตว์ป่า ไม่อาจให้ใครหรืออะไรมาย่ำยีได้
“อ๋าว——บรู๊ว——”
หานจื่อเงยหน้ามองฟ้าเห่าหอนเป็นเวลานาน เสียงเห่าหอนคำรามอย่างโกรธเคืองของสัตว์ป่าดังสนั่นหวั่นไหว
“ซู่ๆ” ขนสีดำของมันตั้งชันขึ้นไปทั่วร่าง เสียง ‘กร๊อบแกร๊บ’ ของกระดูกกำลังเคลื่อนไหว ร่างกายของหานจื่อพองขยายใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฟันหรือกรงเล็บอันแหลมคมล้วนแต่ขยายใหญ่ขึ้นทั้งสิ้น
“อ๋าว——บรู๊ว——”
ขนที่บริเวณหัวของมันยาวหลอมแหลมย้อยลงมาด้านล่าง หานจื่อในตอนนี้จึงแลกดูน่ากลัวอย่างที่สุด
“นี่…นี่มันตัวอะไร!” หนานกงซีรั่วที่อายุจนถึงสองร้อยกว่าปูนนี้ ไม่เคยเห็นสัตว์ที่ดุร้ายเช่นนี้มาก่อน
ความน่ากลัวที่กำลังแผ่ซ่านออกมาจากมัน ทำให้หนานกงซีรั่วถึงกับเนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
นางเพียงแค่ต้องการจับสาวน้อยผู้นั้นมาเพื่อข่มขู่ชายหนุ่มในชุดสีม่วงเท่านั้น จึงไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรเช่นนี้
หานจื่อค่อยๆย่างก้าวเข้าไปหาหนานกงซีรั่ว
ทุกย่างก้าวที่มันเหยียบลงไปบนพื้น พื้นดินก็จะทรุดตามจนเกิดเป็นรอยเท้าสุนัขขนาดใหญ่เว้าลงไป เมื่อรอยเท้าประทับลงไปก็จะเกิดเป็นรอยร้าวแผ่กระจายออกมา น้ำหนักของมันจึงมิใช่คนธรรมดาจะสามารถรับไหว
“ยัยเฒ่า เมื่อครู่เจ้า**มากนักไม่ใช่หรือ บังอาจมาตี้หน้าของข้า!”
“ตอนนี้ข้ามาถึงที่แล้ว เจ้ามาตีข้าสิ!”
“มาสิ!”
หานจื่อก้าวเหยียบลงไปบนหัวมังกรที่ไม้เท้า จนหัวมังกรนั้นแหลกละเอียด
“ข้า ข้า ข้า…” หนานกงซีรั่วปากสั่น ฟันกระทบกัน หงึกๆ ไม่หยุดด้วยความหวาดกลัว
‘แค่เดรัจฉานตัวเดียว จะกลัวมันไม่ได้!’ หนานกงซีรั่วให้กำลังใจตัวเอง
“อื้ม——”
หนานกงซีรั่วรวบรวมพลัง แล้วโจมตีไปที่หานจื่อ
“เพี้ยะ——”หานจื่อกางกงเล็บขึ้นมาฟาดไปที่มือขวาของหนานกงซีรั่ว
“กร๊อบแกร๊อบ…” หนานกงซีรั่วได้ยินเสียงกระดูกกระเดี้ยวของตนแตกหักอย่างชัดเจน นับตั้งแต่นิ้วมือลงมาถึงฝ่ามือ ลามไปถึงข้อมือ แขน ราวกับเป็นโรคกระดูกพรุนก็ไม่ปาน แหลกเป็นผงในฉันพลัน
แขนขวาที่กำลังง้างขึ้นมา ‘ผลุบ’ ฉับพลันก็กลับอ่อนเปลี้ยสิ้นเรี่ยวแรง ตกลงข้างตัวห้อยต่องแต่ง ไร้มีน้ำหนักใดๆอีกต่อไป
“มือของข้า มือของข้า…” เจ็บเหลือเกิน เจ็บเสียจนชา หนานกงซีรั่วจ้องมองหานจื่อด้วยสายตาตื่นตระหนก แขนข้างซ้ายที่ยังเหลืออยู่กุมแขนขวาที่ถูกทำลายเอาไว้ พร้อมกับก้าวถอยร่นไปด้านหลัง
“อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า…”
สุดท้ายหนานกงซีรั่วคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับหานจื่อ
“ขอร้องเจ้าละ อย่าฆ่าข้า…” หนานกงซีรั่วเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาไหลอาบแก้ม
หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าสัตว์ป่านี่ดุร้ายถึงเพียงนี้ นางก็คงจะไม่ไปตีมันหรอก!
ตบตีใครก็ตามอย่าตบตีที่ใบหน้าเด็ดขาด สัตว์ป่าก็เช่นกัน!
หนานกงซั่วเสียใจภายหลังอย่างที่สุด
มองดูเส้นผมที่ขาวโพลนของหนานกงซีรั่ว อวี้เฟยเยียนก็สลดหดหู่ใจยิ่งนัก
ลูกหลานไม่เอาไหน ตรงกันข้ามทำร้ายถึงคนแก่
หนานกงอ๋าวช่างแสนดีจริงๆ สลัดทิ้งทุกอย่างไว้ให้กับหนานกงซีรั่ว ส่วนตัวเองกลับหลบหนีเอาตัวรอด ขี้ขลาดตาขาว
“เสี่ยวอวี้ อย่าได้ใจอ่อน!”
ในตอนนั้นเอง เสิ่นถูเลี่ยที่เพิ่งจะจัดการศัตรูเสร็จไปแล้วหกคน ก็เดินร่างโชกเลือดเข้ามาหาอวี้เฟยเยียน
“โลกของเมืองอู๋โยวก็โหดร้ายเช่นนี้มานานแล้ว ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้ที่อ่อนแอ นี่คือกฎของการดำรงอยู่ที่อู๋โยวแห่งนี้
เจ้าไม่อยากที่จะเป็นดั่งชาวนากับงูเห่าใช่ไหม?”
“หากว่าวันนี้คนที่กำชัยชนะคือพวกเขาละก็ จะไม่มีที่ให้เจ้าแม้แต่เอ่ยปาก”
เสิ่นถูเลี่ยเติบที่เมืองอู๋โยว เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมามาก จึงล่วงรู้สันดานดิบของคนพวกนี้เป็นอย่างดี
ความเมตตา เป็นสิ่งที่เมืองอู๋โยวไม่ต้องการมากที่สุด!
และหากเอ่ยถึงความหมายในบางมุม เมตตาเท่ากับอ่อนแอ ถือเป็นการกระทำที่ไร้สามารถ
เมตตาแม้เพียงครั้งเดียว ก็อาจจะเป็นการนำภัยที่ถึงแก่ชีวิตมาสู่ตนเอง
การชี้นำของเสิ่นถูเลี่ยทำให้อวี้เฟยเยียนคิดอะไรได้มากขึ้น
“ข้าไม่ได้มีเจตนาจะให้ปล่อยนางไป ในบางครั้งข้าเพียงแต่คิดว่าคนเราไม่มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องมีอายุยืนยาวมากนักก็ได้!” อวี้เฟยเยียนมองดูใบหน้าที่เปรอะเปื้อนคราบเลือดของเสิ่นถูเลี่ย แล้วเอ่ยต่อไปว่า
“หากว่าครอบครัวเจริญก้าวหน้า ลูกหลานเปี่ยมด้วยความสามารถ แม้ว่าจะอายุไม่ยืนยาวนักแต่ก็อยู่อย่างมีความสุข! ตรงกันข้าม หากว่าครอบครัวล้มเหลวย่อยยับ ลูกหลานไร้สามารถ เฉกเช่นหนานกงซีรั่วที่ลูกหลานทำให้ชิบหาย จนต้องตายไร้ที่ฝัง