บัญชามังกรเดือด บทที่ 953 ครอบครัวเดียวกัน
เมื่อได้ฟังคำแนะนำของหวังหลี แล้ว หวังเหมี่ยนยิ้มและพูดว่า “จริงด้วยสิ เซี่ยหมิงเป็นคุณชายแห่งตระกูลเซี่ย แกเองก็เป็นเจ้าชายแห่งตงไห่ของพวกเราเหมือนกัน”
“เจ้าชายต้อนรับเจ้าชาย ระดับชนชั้นเท่าเทียมกัน จะว่าไปก็เหมาะสมเข้าท่าจริงๆ แหละ”
“เช่นนั้นก็ดี เธอนำคนไปที่ท่าเรือเพื่อรอต้อนรับเขาแทนลุงก็แล้วกัน”
หวังหลี รีบคุกเข่าลงกับพื้น และลดศีรษะลงต่ำสุด
หวังเหมี่ยนหัวเราะและพูดว่า “ทำไมหรือ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
หวังหลี เอาศีรษะจรดลงกับพื้น
หวังเหมี่ยนหัวเราะและพูดว่า “พอแล้ว มีอะไรก็เงยหน้าขึ้นมาพูดเถอะ”
หวังหลี จึงยอมเงยหน้าขึ้นมองหวังเหมี่ยน พร้อมกับพูดด้วยความจริงใจว่า “ฉันเป็นเด็กกำพร้า มีวาสนาและโชคดีมากแค่ไหน ที่ผู้นำเกาะรับเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรม ยิ่งไปกว่านั้น ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวใหญ่ของตงไห่อีกด้วย”
“ฉันกับผู้นำเกาะ แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ในใจของฉัน ถือว่าผู้นำเกาะเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของฉันมาโดยตลอด และเป็นคนสนิทใกล้ชิดที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว”
“หลังจากที่พ่อของฉันเสียชีวิตไป สถานการณ์โดยรวมของตงไห่ ยังดีที่มีจินยีโหวคอยดูแลจัดการ แถมยังดูแลพี่สาวของฉันเป็นอย่างดีอีกด้วย”
“ชีวิตของหวังหลี เป็นของตงไห่ ชั่วชีวิตนี้ ฉันขออุทิศและมอบเพื่อตงไห่ทั้งหมด”
“ยังไงก็ตาม ฉันกับผู้นำเกาะ แม้จะมีสถานะเป็นพ่อลูกกัน แต่ฉันก็ไม่กล้า และไม่มีทางกล้าที่จะยกตัวเองขึ้นเป็นคุณชายอะไรทั้งสิ้น”
“ฉันเป็นเพียงคนสามัญชนคนหนึ่งที่ตงไห่รับมาเลี้ยงดูเท่านั้นเอง”
“หากคุณลุงสงสัยในตัวฉัน ก็ฆ่าฉันได้เลย”
เมื่อเห็นหวังหลี คุกเข่าลงต่อหน้าตนและกล่าวด้วยวาจาอันเด็ดเดี่ยวด้วยความจริงใจแล้วนั้น หวังเหมี่ยนกลับรู้สึกเกรงใจอยู่บ้างเหมือนกัน
เมื่อครู่ตนเองจงใจใช้คำว่า “คุณชาย” เพื่อพูดฉีกหน้าหวังหลี ดูเหมือนเขากลายเป็นคนใจแคบมากๆ อย่างไรอย่างนั้นเลย
“เอาหล่ะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
“เธออยู่ตงไห่มานานหลายปี ทำคุณประโยชน์ให้กับตงไห่มาไม่น้อย เรื่องพวกนี้พวกเราล้วนเห็นประจักษ์ชัดแจ้งกันดีอยู่แล้ว”
“เธอพูดถูก ไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกเราจะเสียมารยาทไม่ได้ มันเหมาะสมแล้ว ที่เธอจะไปทำหน้าที่ในครั้งนี้”
“รีบไปเถอะ ให้หม่าซือเย๋ไปพร้อมกับเธอด้วย และพาเซี่ยหมิงมาพบฉันที่นี่”
“รับทราบ!”หวังหลีน้อมรับคำสั่งด้วยความเคารพ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน และรีบเดินไปยังด้านนอกทันที
เมื่อเขาหันหลังกลับไป แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังดูซื่อๆ และจริงใจ แต่ในแววตาลึกๆ นั้น กลับมีทีท่าที่เปลี่ยนไป
นั้นคือความอัดอั้นตันใจที่เก็บกดมานาน ในที่สุดความทะเยอทะยานและความปรารถนาก็ได้ปลดปล่อยเสียที
“หวังหลี นายท่านว่าอย่างไรบ้าง?” ปากทางเข้าห้องโถง มีชายชราผมขาวคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา
หม่าซือเย๋ คนข้างกายของหวังเหมี่ยน กล่าวได้ว่า ผู้นำเกาะ หวังเหมี่ยน จินยีโหวสามารถดูแลจัดการสถานการณ์โดยรวมของตงไห่เอาไว้ได้ อย่างน้อยดูจากภายนอก ก็ไม่ด้อยไปกว่าคนอื่น โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นคุณงามความดีของ หม่าซือเย๋
อย่ามองว่าเขาไม่มีวิชาทักษะการต่อสู้ หวังเหมี่ยนมักพูดเสมอว่า ศักยภาพการต่อสู้ของหม่าซือเย๋นั้นเทียบชั้นได้กับปรมาจารย์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้
“ซือเย๋”
เมื่อเห็น หม่าซือเย๋แล้วหวังหลี จึงรีบเก็บเขี้ยวเล็บกลับลงไปทันที เขาตอบด้วยท่าทีเคารพว่า “คุณลุงทบทวนแล้ว เห็นสมควรที่จะทำการต้อนรับให้สมเกียรติครับ”
“เขาไม่สะดวกออกหน้า เลยให้คุณไปที่ท่าเรือพร้อมกับฉัน”
หม่าซือเย๋ พยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ที่ฉันรีบมาที่นี่ เพราะกลัวว่านายท่านจะหุนหันพลันแล่น และทำเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะสม”
“ยังไงแล้วตระกูลเซี่ยก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของภาคเหนือ ถ้าไม่ล่วงเกินได้ ก็อย่าล่วงเกินเป็นดีที่สุด”
“หวังหลี รีบไปกันเถอะ!”
ทั้งสองคน นำกำลังสำคัญไปด้วยจำนวนหนึ่ง รวมทั้งสิ้นยี่สิบกว่าคน เคลื่อนพลอย่างเกรียงไกรจนมาถึงท่าเรือ
เวลานี้ นอกจากเรือสำราญ เรือนายพลของเกาเหมิ่งที่ถูกสกัดกั้นโดยจินซานแล้ว ที่ไกลออกไป ยังมีเรือสำราญอีกลำหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาอย่างช้าๆ
นั่นคือเรือลำที่เซี่ยหมิงโดยสารมานั่นเอง
หม่าซือเย๋ ถอนใจพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “จินซานเคลียร์เส้นทางเรือ เธอจงนำพลสองทีมไปด้วยตัวเอง โดยขี่เจ็ทสกีไปและใช้รูปแบบการคุ้มกันทางเรือ เพื่อทำการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ”
“หม่าซือเย๋ รับทราบครับ!”
จินซานตอบกลับ จากนั้นเขานำทีมเล็กๆสองทีมพร้อมกับเรือเจ็ทสกีทั้งหมดเก้าลำ ขับฝ่าคลื่นลมไปต้อนรับเรือสำราญที่เซี่ยหมิงโดยสารมา
หลังจากนั้น เรือเจ็ทสกีเก้าลำนั้นแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม โดยมีจินซานนำทีมด้วยตัวเองหนึ่งกลุ่ม กำลังขับเปิดทางอยู่เบื้องหน้าเรือสำราญลำนั้น
ส่วนสองกลุ่มที่เหลือ แยกกันขนาบข้างทั้งซ้ายและขวาของเรือสำราญลำนั้น
การกระทำเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นพิธีการต้อนรับขั้นสูงมากๆ เลยก็ว่าได้
เกาเหมิ่งสั่งการให้คนทอดสมอจอดเรือให้เรียบร้อย ส่วนเขารอการต้อนรับที่ท่าเรืออยู่ด้วยความตื่นเต้นไป๋หลิง、ฉวนซานและ จินถังสวมใส่เครื่องแบบของเกาเหมิ่งและยืนหลบอยู่ด้านหลังกลุ่มคนพวกนั้น
ในที่สุด ภายใต้สายตาของประชาชนนับหมื่น เรือสำราญของเซี่ยหมิงค่อยๆ เคลื่อนจอดเทียบท่าอย่างช้าๆ
ถงอานยืนอยู่บนหัวเรือ ดูเหมือนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงคมชัดว่า “คุณชาย เซี่ยหมิงแห่งตระกูลเซี่ยตอนเหนือ เดินทางมาเป็นพิเศษเพื่อเยี่ยมเยี่ยนจินยีโหว รวมทั้งคุณหนูใหญ่ด้วย”
“ไกลกันหลายพันลี้ แต่ยากที่จะกั้นขวางบุพเพไปได้ เพื่อแสดงถึงความจริงใจ จึงได้จัดเตรียมของกำนัลมาเป็นพิเศษ โดยจำแนกออกเป็น_____”
เขาหยิบแผ่นรายการขึ้นมา และเริ่มอ่านออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่หยุด ยังไงซะมีเงินก็มีอำนาจ ล้วนแต่เป็นของดีที่มีค่าอย่างล้นเหลือทั้งสิ้น
เป็นเวลานานกว่าถงอานจะอ่านจบ จากนั้นเขากวาดสายตามองไปยังท่าเรือที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านใดคือจินยีโหว?”
“โปรดแสดงตัวสักหน่อยเถิด”
ข้ารับใช้เล็กๆ อย่างเขา ด้วยน้ำเสียงและท่าทีเช่นนี้ แทบจะไม่อยู่ในสายตาของจินยีโหวรวมทั้งคนของตงไห่เลยสักนิด
จินซานและคนอื่นๆ สีหน้าบ่งบอกถึงความโกรธ แต่ด้วยสถานการณ์อันจำเป็น จึงไม่สามารถลงมือได้
หวังหลี เดินก้าวออกมาข้างหน้า และพูดเสียงดังว่า “ฉันชื่อหวังหลี ได้รับคำสั่งให้มาคอยต้อนรับ”
“เรียนเชิญพี่ เซี่ยหมิง!”
หม่าซือเย๋ รีบพูดเสริมไปว่า “หวังหลี เป็นบุตรบุญธรรมของผู้นำเกาะของพวกเรา สถานะสูงส่งยิ่งนัก เขามาที่นี่ ไม่เพียงเพื่อเป็นตัวแทนของจินยีโหวเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของผู้นำเกาะผู้ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย”
เมื่อพูดเช่นนี้ แสดงว่าสถานะของหวังหลี ถูกหุ้มด้วยทองสองชั้นเลยก็ว่าได้
ถงอานถอนใจและพูดเสียงดังกลับไปว่า “แค่ลูกบุญธรรมคนหนึ่ง มีคุณสมบัติอะไรมารอต้อนรับคุณชายของพวกเรา!”
“เรียกหวังเหมี่ยนออกมาเดี๋ยวนี้!”
คนของฟากตงไห่ ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นกว่าเดิม ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังของจินซานอดไม่ได้แทบอยากจะเอาปืนครกเล็งไปที่ถงอาน เลยด้วยซ้ำไป
“ได้ยินมานานว่าตงไห่เป็นดินแดนแห่งผู้อัจฉริยะ วันนี้ได้มาเห็นเองกับตา ช่างสมคำร่ำลือเสียจริง”
“น้องหวังหลี ลำบากเธอแล้วนะที่ต้องมารอต้อนรับฉัน”
ช่วงเวลาจนมุมแบบนี้ เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจก็ดังขึ้น ประตูห้องโดยสารเปิดออกเซี่ยหมิงเดินออกมาพร้อมกับ เจ้านกแร้ง กับ ราชาเปี้ยน
“คุณชาย พวกเขาดูหมิ่นกันเกินไปแล้ว____”ถงอาน รีบร้อนฟ้องคุณชาย
เซี่ยหมิง พูดอย่างเย็นชาว่า “พวกเราเป็นแขกผู้มาเยือน แถมยังมีเรื่องมาขอร้องเขาอีกด้วย ทำไมถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้เล่า!”
เขาเดินตัวลอยออกมาจากเรือสำราญ จนมาถึงที่ท่าเรือ กำหมัดแน่นและพูดว่า “พี่น้องตงไห่เซี่ยหมิงขอแสดงความเคารพ”
“อีกไม่ช้าเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อนาคตหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หวังว่าพี่น้องทั้งหลายจะช่วยเหลือดูแลพวกเราด้วย”
หม่าซือเย๋ หัวเราะและพูดว่า “คุณชายเซี่ยช่างสุภาพอ่อนน้อมเสียเหลือเกิน”
“ตระกูลเซี่ยกับตงไห่ของพวกเรา เคารพซึ่งกันและกันและอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ส่วนเรื่องที่จะมีวาสนาได้เป็นครอบครัวเดียวหรือไม่นั้น ตอนนี้ดูเหมือนจะเร็วไปที่จะตอบ”
“คุณชายเซี่ย นายท่านของพวกเรารวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหลายนี้ รอคุณอยู่ที่ห้องรับแขกแล้วครับ เชิญคุณตามเรามาทางนี้”
เขาไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตนจนดูต่ำต้อย ชี้ให้เห็นอย่างไม่ตั้งใจว่า ตงไห่ยังไม่ได้ตกลงยอมรับการแต่งงานในครั้งนี้ เธอไม่ต้องรีบเร่งที่จะเป็นครอบครัวเดียวกันมากขนาดนั้น
เซี่ยหมิง หัวเราะและพูดว่า “รบกวนคุณแล้ว เชิญครับ”
นำทีมโดยหม่าซือเย๋ หวังหลี ราชาเปี้ยน เกาเหมิ่งและคนอื่นๆ ราวกับดาวล้อมเดือน ล้อมรอบเซี่ยหมิงและเดินมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน