ตอนที่ 725 รายงานชัยชนะ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 725 รายงานชัยชนะ

งานเลี้ยงที่ถูกขนานนามว่าเป็นงานเลี้ยงของเหล่าผู้อาวุโสนับร้อยก็ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ

ผ่านไปอีกหลายวัน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พบกับหัวหน้าตระกูลดั้งเดิมในว่อเฟิงเต้าอย่างใกล้ชิดอีกครา ในระหว่างที่สนทนากันอย่างยิ้มเเย้มอยู่นั้น เขาก็ได้หยิบยื่นไมตรีให้อยู่เนือง ๆ แต่ทว่าก็ยังมิวายแสดงถึงความเด็ดขาดให้เห็น

ผู้อาวุโสเหล่านี้ยอมรับมิตรไมตรีที่หยิบยื่นให้อย่างเต็มใจ อีกทั้งยังสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมิมีวันแปรพักตร์

“ว่อเฟิงเต้า…ถึงคราสงบสุขเสียที” เฉียวลิ่วเยกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข

จังเหวินฮุยยิ้มเอื่อย “ยังต้องรออีกสักหน่อย”

“รอสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หวังเสี่ยวจงเอ่ยถาม

“ก็รอให้ผู้ที่มิดูตาม้าตาเรือปรากฏขึ้นมาเยี่ยงไรเล่า ! ”

……

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่ยี่สิบ เดือนสิบ

ฤดูใบไม้ร่วงของว่อเฟิงเต้าเปรียบเสมือนเด็กสาวผู้อ่อนหวานที่ทำให้ผู้คนมิรู้สึกถึงเสียงลมพัดไหวและความหนาวเหน็บ

จนถึงตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังคงสวมเพียงแค่เสื้อคลุมแขนยาวตัวเดียวเท่านั้น และกำลังเดินวกไปวนมาอยู่ภายในลานหน้าจวน

…ด้วยความรู้สึกวิตกกังวล

ตามกำหนดการ ตอนนี้ถึงกำหนดคลอดของต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวแล้ว แต่ทว่ายังมิมีข่าวคราวจากทางนั้นส่งมาเลย

เขากำชับซุยเยว่หมิงไว้อย่างดิบดีว่าเมื่อมีข่าวใดออกมาก็ให้ส่งนกพิราบมาที่นี่โดยด่วน แต่ทว่าจวบจนบัดนี้ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของข่าวคราวใด ๆ

หรือจะเกิดปัญหาใดขึ้นกัน ?

แม้ว่าเขาจะส่งหนานกงตงเซวี๋ยไปแล้วก็ตาม แต่ฝีมือการผ่าตัดของนางยังมิสามารถวางใจได้ !

สำนักศึกษาการแพทย์ที่ว่อเฟิงเต้ายังมิทันได้ก่อตั้งเพราะสองเหตุผลนี้ หนึ่งถ้าเขาจากไปแล้วสำนักศึกษาการแพทย์ย่อมถูกทิ้งร้าง ส่วนประการที่สองคือต้องใช้ศพในการผ่าวิเคราะห์… แต่สถานที่แบบนี้จะไปหาศพมากมายถึงเพียงนั้นได้จากที่ใดกัน ?

ทุกอณูของร่างกายได้มาจากบิดามารดา เมื่อมิมีสงคราม… คนที่ต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปตามธรรมชาติย่อมมิยอมอุทิศศพเพื่อการศึกษานี้อย่างแน่นอน

เรื่องยาปฏิชีวนะ หนานกงตงเซวี๋ยเคยทำการทดลองมาก่อน แต่ยังมิรู้ว่าตอนนี้ผลออกมาเป็นเยี่ยงไรบ้าง

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาแจ่มใส ด้วยใจที่หวั่นวิตกมิเสื่อมคลาย

ในตอนนั้นหนิงหยู่ชุนและหยุนซีเหยียนก็เดินเข้ามาพอดี

“บ้านเรือนที่ถูกทิ้งร้างในทุกแห่งหนของว่อเฟิงเต้าถูกประมูลจนหมดสิ้นตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว…” หนิงหยู่ชุนเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นแต่ทว่าก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนที่มิได้ดีอกดีใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขายังเผยความกลัดกลุ้มให้เห็นเสียมากกว่า

จริงสิ ! ต้องเป็นเพราะเรื่องคลอดบุตรของฮูหยินทั้งสองอย่างแน่นอน

“เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไปเลย”

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือคล้ายมิอยากเอ่ยถึง “เงินที่ประมูลมาได้ทั้งหมดให้เก็บไว้เป็นงบประมาณเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างถนนหรือนำไปใช้ในการก่อสร้างระบบชลประทาน แต่เยี่ยงไรก็มิเพียงพออยู่ดี ดังนั้นต้องให้พวกเขาวางแผนงานทั้งหมดแล้วสรุปเงินทุนที่ต้องใช้เป็นรายการย่อยเพื่อดูว่ายังขาดอีกเท่าใด…”

“อ่า…ไม่สิ สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการสร้างสำนักศึกษาแห่งใหม่โดยให้เริ่มมีสถานศึกษาในระดับชุมชน อาจารย์ผู้รับหน้าที่สอนต้องเป็นชาวหยูดั้งเดิมและแบบเรียนก็ต้องเหมือนกับในราชวงศ์หยูทุกประการ จัดการเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องการก่อตั้งสาธารณูปโภคเอาไว้เป็นอันดับสองเถิด”

เมื่อหยุนซีเหยียนได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกว่าติ้งอันป๋อจิตใจเริ่มมิอยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว

การสร้างสำนักศึกษาแห่งใหม่ก็เพื่อทำให้มีระบบการศึกษาที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เพราะที่ว่อเฟิงเต้ามีชาวอี๋ดั้งเดิมมากถึง 3 ล้านคน และทุกวันนี้ส่วนมากก็ยังได้รับการศึกษาภายใต้รูปแบบที่แคว้นอี๋กำหนด และนี่ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างแท้จริง

มีเพียงการหลอมรวมวัฒนธรรมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวเท่านั้น ถึงจะสามารถหล่อหลอมความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวและเปลี่ยนแปลงแนวคิดดั้งเดิมของพวกเขาได้

นี่คือสิ่งที่สร้างความกังวลให้ติ้งอันป๋อมาโดยตลอด และตอนนี้ก็ถึงเวลาลงมือปฏิบัติเสียที

“ข้าน้อยจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“ช้าก่อน…” ฟู่เสี่ยวกวนรั้งหยุนซีเหยียนที่กำลังจะเดินจากไปเอาไว้ “เจ้าจดเอาไว้สักหน่อยว่าข้าต้องการข้อมูลฉบับใหม่ จวบจนบัดนี้เงินทุนมีเท่าใด ? และมีเจ้าของธุรกิจที่ก่อตั้งโรงงานด้วยกันทั้งหมดกี่เจ้าแล้ว ? มีผู้ใดขาดแคลนแรงงานหรือไม่ ? ข้อมูลเหล่านี้ต้องเป็นข้อมูลที่แม่นยำและต่อจากนี้ให้นำมารายงานข้าทุก ๆ สามเดือน”

“ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ”

“ไปได้”

หยุนซีเหยียนเดินออกไป ส่วนหนิงหยู่ชุนนั่งลงด้านข้างของโต๊ะหิน จากนั้นก็จัดแจงต้มชาหนึ่งกา

“หรือว่า…เจ้าจะกลับไปดูเสียหน่อย ? ”

“ข้าต้องกลับไปในช่วงวันปีใหม่”

“อืม… สำนักงานเลขานุการมีเจ้าหน้าที่มิพออย่างแท้จริง”

“ตอนนี้การสอบคัดเลือกขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว เจ้าทูลขอคนจากฝ่าบาทสักหน่อยเถิด”

หนิงหยู่ชุนเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวน พลันคิดได้ว่าหัวใจของชายหนุ่มผู้นี้มิได้อยู่ที่ว่อเฟิงเต้าเสียแล้ว !

……

……

เมืองจินหลิงได้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิเต็มตัวแล้ว จึงปรากฏหมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง

วันนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตามาเยือนจวนติ้งอันป๋อ

โดยมีฮองเฮาซั่งเป็นแกนนำ อีกทั้งยังมีองค์หญิงใหญ่ พระสนมหนิง หยูชิงหลาน และฮูหยินต่งเดินทางมากันอย่างคับคั่ง

แน่นอนว่าในจำนวนนั้นย่อมมีหมอหลวงและหมอตำแยอีกทั้งนางกำนัลที่ฮองเฮาซั่งทรงนำมาจากในวังอีกเป็นจำนวนมาก

การที่ต่งชูหลานคลอดในวันนี้โดยมิมีฟู่เสี่ยวกวนอยู่เคียงข้างส่งผลให้พวกเขาเหมือนเป็นศัตรูตัวฉกาจในสายตาของนาง

หนานกงตงเซวี๋ยวินิจฉัยให้ต่งชูหลานอีกครา “พี่สาวได้โปรดสบายใจเถิด ภาวะครรภ์ปกติดี และเด็กน้อยก็รีบร้อนที่จะออกมาลืมตาดูโลกเต็มทีแล้ว”

นางเอ่ยพลางใช้ผ้าฝ้ายผืนสี่เหลี่ยมซับหยาดเหงื่อบริเวณหน้าผากของต่งชูหลาน จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เขา…เขามามิได้จริง ๆ เพราะที่ว่อเฟิงเต้ามีงานยุ่งจนแทบมิได้หยุดพัก…”

ต่งชูหลานยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เจ้ามิจำเป็นต้องปลอบข้าหรอกเพราะข้ารู้ดีว่าเขากำลังยุ่ง อีกอย่างการคลอดบุตรนี้ เขาจะอยู่หรือไม่ก็มิได้ต่างกัน เพราะถึงเยี่ยงไรเขาก็มิอาจช่วยอันใดได้อยู่แล้ว”

หนานกงตงเซวี๋ยลอบคิดในใจว่าพี่ต่งช่างเข้มแข็งมากยิ่งนัก แต่ทว่าการมีเขาอยู่ย่อมแตกต่างอย่างแน่นอน

ต่อให้เขามิสามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้ แต่เขาก็เปรียบดั่งเสาหลัก หากเขาอยู่ที่นี่ พี่ต่งคงรู้สึกมีความสุขมากกว่านี้เป็นแน่

“สิ่งที่พี่สาวเอ่ยก็ถูกเพราะก่อนที่ข้าจะออกเดินทางมา เขาเอ่ยว่าปีใหม่นี้จะกลับมาเยี่ยมพวกท่าน”

“จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

สายตาของต่งชูหลานเป็นประกายขึ้นมาในทันใด แน่นอนว่านางคาดหวังที่จะได้อยู่เคียงข้างสามี

“อืม… เขาเป็นคนเอ่ยออกมาเอง และเขาย่อมมิกล่าวเท็จอย่างแน่นอน”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวยื่นหน้าท้องออกแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง เมื่อได้ยินดังนั้นก็อดดีใจไม่ได้ “หากเขากลับมาฉลองปีใหม่ด้วยกันก็คงยอดเยี่ยมไปเลยล่ะ มิเช่นนั้นจวนแห่งนี้คงเงียบเหงาน่าดู…โอ๊ย… ! ”

จากนั้นนางก็ประคองไปที่หน้าท้องในทันใด “ไอหยา…ข้า ข้าจะคลอดแล้ว ! ”

หนานกงตงเซวี๋ยเข้าไปดูอาการของนางอย่างรีบร้อน ใช่ ! พี่สาวทั้งสองกำลังจะให้กำเนิดบุตรในวันเดียวกัน “รู้สึกว่าเจ้าตัวน้อยในท้องของพี่เยี่ยนจะได้ยินเข้าแล้ว จึงอยากออกมาเช่นกัน พวกท่านรอสักครู่เถิด ข้าจะออกไปเตรียมการสักประเดี๋ยว”

หนานกงตงเซวี๋ยวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน จากนั้นก็ทูลรายงานให้ฮองเฮาซั่งและคนอื่น ๆ ทราบ “หือออ ? คลอดพร้อมกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิผิดแน่นอนเพคะ จะคลอดพร้อมกันในวันนี้เพคะ”

“เร็วเข้า เร็วเร็ว เตรียมห้องทำคลอดอีกหนึ่งห้องเร็วเข้า ! ”

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ทั้งสองห้องก็บังเกิดเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมา จากนั้นภายในเวลามิถึงครึ่งถ้วยชาก็ได้มีเสียงร้องของทารกเล็ดลอดออกมาจากทั้งสองห้อง

“คลอดแล้วสินะ ! ” ฮองเฮาซั่งลุกพรวดพราดขึ้นมา

“ไอหยา… ย่อมเป็นเพราะสวรรค์ปกปักรักษาจึงมิมีสิ่งร้าย ๆ เกิดขึ้น ! ”

หมอตำแยสองนางได้อุ้มทารกน้อยออกมาจากห้องทำคลอดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ทูลฮองเฮา ฮูหยินต่งให้กำเนิดบุตรสาว ส่วนฮูหยินเยี่ยนให้กำเนิดบุตรชาย ทั้งมารดาและบุตรปลอดภัยดีเพคะ ! ”

“ดี ดีมากยิ่งนัก…จงส่งจดหมายด่วนไปทูลฝ่าบาทประเดี๋ยวนี้ ! ”

หนานกงตงเซวี๋ยรับทารกที่ห่อไว้ในผ้าทั้งมือซ้ายและขวาอย่างแนบแน่น ราวกับว่าเสียงร้องของทารกได้ขับไล่หมอกทึบให้เหือดหายไป และเด็กน้อยทั้งสองก็เป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาผู้มาเยือน

เจี่ยหนานซิงเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นอย่างท่วมท้น เขาหันมองซ้ายทีขวาทีจากนั้นก็ยิ้มร่าออกมา “เจ้าตุ๊กตารูปงามทั้งสองเอ๋ย เมื่อติ้งอันป๋อกลับมาเมื่อใด ข้าจะหารือกับเขาเพราะข้าต้องการหาผู้สืบทอดวิชาที่ร่ำเรียนมาชั่วชีวิต”

ฮองเฮาซั่งทรงยื่นพระหัตถ์มาหยอกเย้าทารกทั้งสอง จากนั้นเด็กทารกผู้หญิงก็หยุดร้องไห้ในทันใดพร้อมจ้องเขม็งไปที่ฮองเฮา ส่วนเด็กทารกผู้ชายยังคงร้องไห้เสียงดังลั่นดังเดิม เสียงของเขาใสราวกับเสียงระฆัง

“ควรส่งคืนมารดาเพื่อดื่มนมได้แล้ว”

หนานกงตงเซวี๋ยจึงอุ้มทารกทั้งสองกลับไปหามารดาอีกครา ซูซูจ้องมองจนตาไม่กะพริบ เมื่อมิกี่วันก่อนศิษย์พี่สามก็ได้ให้กำเนิดบุตรแล้ว จากนั้นนางก็ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางกล่าวว่า…เป็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากได้เป็นมารดา

ซูซูมิเคยคิดจะเป็นแม่คนมาก่อน แต่ทว่าตอนนี้นางรู้สึกอยากมีบุตรขึ้นมาแล้วสิ… เด็กตัวเล็ก ๆ ดูแล้วก็น่าสนุกดี !

หรือให้ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาแล้วข้าค่อยคลอดบุตรสักคนดีหรือไม่ ?

ตอนนี้สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ดูอ้างว้างอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังแย้มพระสรวลเพราะรู้สึกปลื้มปีติแทนฟู่เสี่ยวกวนอยู่ แต่ทว่าลึก ๆ ในใจกลับรู้สึกโดดเดี่ยวมิน้อย

เนื่องจากนางไร้บุตรและธิดา !

ตอนนี้ก็พระชนมายุใกล้ 40 พรรษาเข้าเต็มทีแล้ว หากแก่ชราแล้วจะมีผู้ใดให้พึ่งพากัน ?

จริงสิ ! หรือจะรับบุตรบุญธรรมสักคนดี !

แล้วสายพระเนตรก็จับจ้องไปทางเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง พระองค์รู้จักสถานภาพของเด็กผู้หญิงคนนั้นดี นางมีนามว่าหยูอี้ซีเป็นธิดาขององค์ชายสี่หยูเวิ่นชู แต่ทว่าลำดับอาวุโสห่างกันเพียงแค่หนึ่งรุ่นเห็นทีจะมิค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก

แน่นอนว่าพระอนุชาและฮองเฮาย่อมมิเห็นพ้องด้วยเช่นกัน ดังนั้นคงต้องคิดหาวิธีอื่น

หรือให้องค์หญิงยิงฮวาคลอดบุตรให้สักคนดี !

โดยการใช้น้ำเชื้อของฟู่เสี่ยวกวน !

องค์หญิงใหญ่ทรงแย้มพระโอษฐ์ขึ้นเมื่อพบทางออก จากนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยได้ในที่สุด

……

……

บัดนี้ฮ่องเต้ยังคงประทับอยู่ที่ท้องพระโรงเฉิงเทียน

พระองค์กำลังหารือกับเหล่าเสนาบดีเรื่องปัญหาภัยพิบัติที่แม่น้ำแยงซีและแม่น้ำหวงเหอ

“ข้าเคยเตือนแล้วว่าปีนี้ปริมาณน้ำฝนของแม่น้ำทั้งสองสายจะมากกว่าปีกลาย แต่ทว่านี่มิใช่สาเหตุที่จะทำให้พวกเขาพ้นโทษ ! ”

“มัวทำอันใดกันอยู่ ? แล้วคนลาดตระเวนแม่น้ำหายหัวไปที่ใดกัน ? ขุนนางกรมน้ำได้ออกประกาศเตือนแล้ว ถ้าพวกเขาให้ความสำคัญย่อมเป็นแบบอย่างที่ดีได้เป็นแน่ แม้มิสามารถอุดรอยแตกของเขื่อนได้ แต่ถ้าสามารถอพยพย้ายถิ่นฐานให้แก่ราษฎรได้ก่อน จะมีผู้เสียชีวิตมากเยี่ยงนี้หรือ ? ”

“ข้ามิสั่งประหารพวกเขาเหล่านั้น แต่ที่ไหนได้พวกเขาทำราวกับว่าพระราชโองการของข้านั้นเป็นแค่การผายลม ! พวกเขากำลังเหยียบย่ำความเมตตาของข้า ! ”

ฮ่องเต้ทรงพิโรธมากยิ่งนัก อุทกภัยที่แม่น้ำหวงเหอนั้นคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 3,000 คน และยิ่งไปกว่านั้นอุทกภัยที่แม่น้ำแยงซีได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 10,000 คน!

ทั้งสองแห่งมีผู้ประสบอุทกภัยมากกว่า 300,000 คน ทุกวันนี้ยังมีผู้ที่ไร้ที่อยู่อาศัยจึงต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยไปโดยปริยาย !

“เพราะความผิดของไอ้พวกมิได้เรื่อง ! แล้วข้าจะยังต้องมีเสนาบดีเช่นนี้ไปเพื่ออันใดกัน ? ต่อให้ข้ามีเงินมากยิ่งกว่านี้ ก็ยังมิอาจนำมาอุดหนี้สินครานี้ได้ ! ”

“เสบียงอาหารคือสิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยบรรเทาปัญหาความเป็นอยู่ของราษฎร และข้ามิปรารถนาที่จะกดขี่ผู้ใด ! ”

เหล่าเสนาบดีได้แต่ก้มหน้างุด มิมีผู้ใดกล้าเผชิญกับสายพระเนตรของฝ่าบาทแม้แต่คนเดียว

“เฮ้อ…หากว่ามีเสี่ยวกวนอยู่ด้วย ที่จิงโจวจะมีโศกนาฏกรรมผู้คนนอนตายเกลื่อนกลาดเพราะขาดแคลนอาหารหรือไม่ ? พวกเจ้าต่างก็เห็นรายงานจากว่อเฟิงเต้าแล้วทั้งสิ้น เป็นขุนนางเหมือนกันแต่ทว่าเหตุใดถึงได้แตกต่างกันมากมายถึงเพียงนี้ ? ”

“หากพวกเขาสามารถอุทิศตนได้สักครึ่งหนึ่งของฟู่เสี่ยวกวน เช่นนั้นอุทกภัยของแม่น้ำสองสายคงมิตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ! ”

ฝ่าบาทยังคงประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร จากนั้นก็พลันคิดถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาจับหทัย

ราชบุตรเขยที่รัก ข้าควรให้เจ้าอยู่ข้างกายเสียยังจะดีกว่า !

ทันใดนั้นเอง ขันทีเหนียนก็ได้วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ทูลฝ่าบาท มีรายงานจากว่อเฟิงเต้าพ่ะย่ะค่ะ”

“รีบอ่านมา ! ”

ข่าวคราวจากว่อเฟิงเต้าย่อมเป็นข่าวดี และข้าต้องให้พวกเสนาบดีเหล่านี้ได้ฟังเสียบ้าง เพราะส่วนตัวข้านั้นชอบฟังเสียเหลือเกิน

“…ข้าวพันธุ์ฟู่ซานต้ายที่ปลูกในอำเภอซิ่วสุ่ย ในปีนี้สามารถเก็บเกี่ยวได้สูงสุดที่ 820 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่ ต่ำสุดที่ 720 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่ เฉลี่ยแล้วเก็บเกี่ยวได้ 770 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่พ่ะย่ะค่ะ…”

“ไอหยา… ! ”

เหล่าเสนาบดีส่งเสียงร้องดังกึกก้อง !

แม้แต่ฝ่าบาทเองก็สะดุ้งโหยงจนต้องยืนขึ้น

จะมีผู้ใดที่สามารถช่วยบรรเทาทุกข์ได้อีกเล่า ?

เห็นทีจะมีแต่เจ้าลูกเขยผู้นี้เท่านั้น !