ความน่ากลัวของยาเสพติดก็คือ แม้จะเสพเข้าไปในปริมาณเพียงน้อยนิด แม้จะมีจิตปณิธานเข้มแข็งประดุจหล็กอย่างเซียวจิ่งสือ ยังได้รับรู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงความน่ากลัวของมัน ร่างกายและจิตใจเริ่มต้องการยาเพื่อให้ยืนหยัดอยู่ได้ ปริมาณที่ต้องการก็ดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้เซียวจิ่งสือจะทำอะไรที่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้ เพื่อค้นหาความจริงทั้งหมด เขายอมได้ทุกอย่าง เขายอมทานข้าวต้มที่ใส่ยาลงไปทุกวัน จากนั้นค่อยไปหาหมอเพื่อรักษา
ในใจของเซียวจิ่งสือมีคำถามกองมหึมาก้อนหนึ่ง ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะมีใบหน้าที่เหมือนกับหลินหว่านเป็นพิมพ์เดียวกัน นั่นอธิบายได้ง่ายมาก ใบหน้านั้นทำศัลยกรรมได้ แต่ที่ทำให้จับต้นชนปลายไม่ถูกเลยก็คือ สิ่งที่เธอมีนั้นมันคือ ความทรงจำของหลินหว่าน
เซียวจิ่งสือสาบานว่า จะต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ให้จงได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่อาจได้รับการให้อภัยจากหลินหว่านตัวจริง
“ประธานเซียว คุณกินของพวกนั้นอีกไม่ได้แล้วนะ ไม่อย่างนั้น ร่างกายคุณจะรับไม่ไหวนะ ยาเสพติดทำลายคน พอเข้าไปข้องแวะด้วยเป็นต้องเกิดความเสียหายใหญ่หลวงตามมา ไม่ว่าใครก็ทนไม่ได้หรอก ไม่มีใครหลุดรอดไปได้”
แพทย์ส่วนตัวพยายามพูดให้เซียวจิ่งสือเปลี่ยนใจ หลังจากตรวจร่างกายเซียวจิ่งสืออีกครั้ง
“คุณหมอครับ ผมรู้ดี ของพวกนี้ผมก็ไม่ได้อยากจะกินมันหรอก แต่ตอนนี้มันจำเป็น ปัญหายังไม่คลี่คลาย ก่อนที่ผมจะได้รู้เรื่องที่ผมอยากจะรู้ ผมได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ ได้แต่กินมันลงไป”
เซียวจิ่งสือพูดอย่างจนใจ แน่นอนว่าเขารับรู้ถึงสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองดีว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว
“แต่…คุณว่าสุขภาพสำคัญหรือว่าเรื่องอื่นที่คุณว่านั่นสำคัญกันแน่? ผมบอกคุณเลยนะ ตอนนี้คุณต้องเริ่มถอนยาแล้ว รู้ไหม ตอนนี้ผมได้แต่ให้ยาคุณ ช่วยปรับสภาพร่างกายให้ยาเสพติดส่งผลกระทบต่อคุณน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าคิดจะหายเป็นปกติ คุณต้องเลิกยา ห้ามเสพอีกแม้แต่นิดเดียว”
น้ำเสียงของคุณหมอเคร่งเครียดจริงจังมาก สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรที่จะสำคัญยิ่งไปกว่าสุขภาพของคนคนหนึ่ง
“ผมรู้ครับ คุณหมอ รอให้เรื่องของผมเสร็จก่อน ผมจะเลิกยาแน่ ผมเชื่อมั่นในตัวผมเอง ตอนนี้ ได้แต่รบกวนคุณหมอให้ช่วยดูแลด้วยครับ”
เซียวจิ่งสือขมวดคิ้ว คำพูดพวกนี้ของหมอเขาจะไม่รู้ได้ยังไงกัน ร่างกายของตัวเองเขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
คุณหมอก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ได้แต่เพิ่มปริมาณยา เพื่อลดผลกระทบจากยาเสพติดให้ต่ำลงจนถึงที่สุด แต่ว่าตอนที่ให้ยาอยู่นั้นยังอดไม่ได้ที่จะพูด ไม่รู้ว่าพึมพำกับตัวเองหรือว่าพูดให้เซียวจิ่งสือฟังกันแน่
“เรื่องอะไรสำคัญนักหนาขนาดนั้น คนอะไรซื่อบื้อได้ขนาดนี้ ทั้งที่รู้อยู่แล้ว แกล้งทำเป็นกินเข้าไปก็ได้นี่ ทำไมต้องกินเข้าไปหมดด้วยนะ จริงเล้ย โง่รึเปล่าเนี่ย”
เซียวจิ่งสือหลับไปพร้อมกับเสียงบ่นของคุณหมอ มุมปากยังมีรอยยิ้มอย่างจนใจค้างอยู่ คนอย่างเซียวจิ่งสือ เคยต้องมาเจอกับสถานการณ์อับจนที่ไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
อีกด้านหนึ่ง อี้อวิ๋นฉังใช้ตัวตนของหลินหว่านไปทดสอบบทหนังที่กองถ่าย แม้ว่าตอนนี้เธอจะได้รับการสนับสนุนจากเซียวจิ่งสือ ไม่ต้องอาศัยค่าตอบแทนเพียงน้อยนิดจากงานแสดงมาเลี้ยงตัวเองก็ได้ งานที่ทั้งเหนื่อยทั้งหนัก แล้วยังถูกคนด่าอีก พอมีชื่อเสียงก็เป็นของหลินหว่านไปอีก ไม่มีอะไรดีเลยทั้งนั้น
เมื่อก่อนเพราะเพื่ออยู่รอด เพื่อเงิน เพื่อชื่อเสียง อี้อวิ๋นฉังทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้โอกาส พูดกันตามจริงแล้ว เธอไม่ชอบการแสดงเลยสักนิด ยิ่งไม่ชอบถูกผู้กำกับด่า ถูกนักแสดงอื่นนินทา
แต่ตอนนี้ เพื่อแสดงบทหลินหว่านให้ดี ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องรับแสดงบ้าง ใครใช้ให้หลินหว่านมีชื่อในวงการว่าเป็นพวกบ้างาน ก่อนหน้านี้เธอใช้ข้ออ้างว่ารักษาอาการบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวอยู่นาน ขืนพักฟื้นต่อไปคงได้เผยพิรุธแน่
ยังดีที่บทนี้เล่นได้สบายมาก อีกทั้งตอนนี้มีชื่อเสียงของหลินหว่าน แล้วยังมีเซียวจิ่งสือหนุนหลังอีก ยังจะมีผู้กำกับหรือนักแสดงหน้าไหนมาหาเรื่องเธออีก?
แต่ตอนที่อี้อวิ๋นฉังทดสอบหน้ากล้องนั้น กลับได้พบกับหลินหว่านตัวจริงที่หลังเวทีโดยบังเอิญ
“อ้าว อินเสี่ยวเสี่ยว คุณก็มาทดสอบบทเรื่องนี้เหมือนกันเหรอ? น่าเสียดายนะ เรื่องนี้ไม่มีบทฝาแฝด คุณว่าพวกเราหน้าตาเหมือนกันแบบนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันกระมัง ไม่อย่างนั้นผู้ชมเห็นแล้วจะงงกันขนาดไหน คุณจะเดาดูไหม หนังเรื่องนี้เธอจะได้เล่นหรือฉันได้เล่น?”
อี้อวิ๋นฉังพูดอย่างท้าทาย แม้จะมีใบหน้าของหลินหว่าน แต่ลักษณะท่าทางแข็งกระด้างก้าวร้าวนั้นยังเป็นตัวเธอเองอยู่ดี ใบหน้าที่งามปานนางฟ้ากลับถูกเธอทำให้บิดเบี้ยวน่าเกลียดน่าชัง
“ใครมีความสามารถก็เป็นของคนนั้นล่ะ แต่ถ้าบางคนเลือกที่จะใช้เส้นสนกลในแล้วละก็ ฉันก็หมดปัญญาเหมือนกัน คนมันไม่เหมือนกันทำไงได้”
หลินหว่านพูดเสียงเรียบ เดินเฉียดผ่านข้างกายอี้อวิ๋นฉังไป ไม่เปิดให้โอกาสให้เธอพล่ามไร้สาระอีก หลินหว่านเดินไปหน้าเวที แล้วเริ่มแสดง
หลังจากนักแสดงทุกคนแสดงเสร็จหมดแล้ว อี้อวิ๋นฉังก็มาที่ห้องประชุมของผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง
“อ้าว คุณหลินหว่าน คุณมาที่นี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนะ ตอนนี้เรากำลังประชุมคัดเลือกตัวนักแสดงกันอยู่ คุณควรจะรออยู่ที่ห้องพักรับรองนี่นา”
ผู้อำนวยการสร้างเห็นอี้อวิ๋นฉังมาก็พูดจาทักทายอย่างดี เขาย่อมจะรู้ว่ามีเรื่องผิดใจกับคุณผู้หญิงนี่ไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เงินลงทุนหนังเรื่องนี้จากเซียงเฉิงของเซียวจิ่งสือก็คงจะสูญไปด้วย
“ฮ่าๆๆ ดูพวกคุณตื่นเต้นกันจัง ที่คุณพูดนี่ฉันเข้าใจดีค่ะ แต่ฉันก็แค่มาพูดเตือนด้วยความหวังดีเท่านั้นนะคะ ละครเรื่องหนึ่ง ไม่น่าจะมีคนที่หน้าเหมือนกันสองคน แล้วนางเอกเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีพี่น้องฝาแฝดซะด้วย จิ่งสือของเราน่ะ ยิ่งหวังมากเลยว่าตอนที่ฉันเปิดตัวสู่วงการอีกครั้งจะได้แสดงหนังเรื่องนี้ เขาบอกว่านะ บทบาทนี้ เหมือนเขียนมาสำหรับฉันโดยเฉพาะเลย แต่ว่าพวกคุณก็รู้ว่าฉันเพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วย อันที่จริงก็จำเป็นต้องใช้ตัวแสดงแทนมากเลย เราก็อย่าปล่อยกำลังคนให้เสียเปล่า คัดเลือกตัวสตั๊นท์แมนขึ้นมาอีกสักหลายคนสิคะ”
อี้อวิ๋นฉังพูดอย่างไม่สนใจใคร พอพูดจบก็เดินนวยนาดจากไป
“บ้าฉิบ แม่นี่หมายความว่าไงนะ พวกเราต้องให้เธอได้บทนางเอกงั้นเหรอ? ผมได้ยินมาว่าเมื่อก่อนหลินหว่านไม่ใช่เป็นคนแบบนี้นี่นา คุณดูการแสดงของเธอสิ นี่มันอะไรกัน ฝีมือสร้างความประทับใจสู้อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้เลยสักนิด ให้อินเสี่ยวเสี่ยวเป็นตัวแทนของเธองั้นรึ? ผมว่าด้วยฝีมือการแสดงของเธอ หิ้วรองเท้าให้อินเสี่ยวเสี่ยวยังไม่ได้เลย ผมสงสัยซะจริงเลยว่า แม่คนนี้น่ะไม่ใช่หลินหว่านหรอก!” ผู้กำกับพอเห็นอี้อวิ๋นฉังออกไปแล้วก็ด่าออกมาชุดใหญ่อย่างอดไม่อยู่
“เอาล่ะๆ คุณทนๆ ไปเถอะ เรื่องฝีมือการแสดงนี่ เราเห็นๆ กันอยู่แล้ว แต่ใครใช้ให้เธอเป็นคนโปรดของเซียวจิ่งสือกันล่ะ งั้นก็ให้อินเสี่ยวเสี่ยวเป็นตัวแทนของเธอก็แล้วกัน ยังรับประกันคุณภาพของหนังได้ดีกว่าด้วย”
ผู้อำนวยการสร้างพูดโน้มน้าวผู้กำกับ เพราะเซียวจิ่งสือเป็นนายทุนของหนังเรื่องนี้ พวกเราจึงต้องยอมอดทนกล้ำกลืนต่อไป