บทที่ 6 บทที่ 69 ปกคลุมฟ้าดิน

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ลั่วชิวไม่ได้รู้สึกเหนือคาดที่เริ่นจื่อหลิงรู้เรื่องตัวเองลาออก

 

 

เขาไม่เคยคิดที่จะปิดบังเรื่องนี้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปตั้งนานแล้วแต่เริ่นจื่อหลิงก็ยังไม่มีปฏิกิริยา

 

 

แต่เขาได้คิดข้ออ้างเอาไว้แล้ว และก็เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำในอนาคต

 

 

“เพราะต้องย้ายที่เรียนถึงต้องลาออก”

 

 

“ย้ายที่เรียน?”

 

 

เริ่นจื่อหลิงชะงัก ขมวดคิ้วขึ้น ถึงตอนที่รู้เรื่องราวจากปากของจางชิ่งหรุ่ย ทั้งยังรู้หลังจากที่เรื่องราวผ่านไปตั้งนานแล้วจะทำให้เธอโมโหมาก

 

 

แต่หลังจากกลับมาถึงบ้านหลังนี้และได้ดื่มน้ำอุ่นๆ ที่เจ้าเด็กนี้รินให้ ความโมโหก็มลายหายไปจนหมด “เธอพูดมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น? ถ้าพูดไม่ดี คืนนี้ก็อย่าคิดว่าจะได้นอน!”

 

 

บทลงโทษนี้ดูเบาไปหน่อยใช่หรือไม่?

 

 

“ก็ไม่มีอะไร” ลั่วชิวเอ่ย “แค่ก่อนหน้านี้ไปทดสอบของมหา’ลัยอีกที่หนึ่ง แล้วดันผ่าน ก็เลยคิดจะย้ายมหา’ลัย”

 

 

“แบบนั้นเองเหรอ…” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยังดี

 

 

คะแนนสอบเอนทรานส์ของลั่วชิวนั้นดีมาก แต่กลับเหมือนโดนคุณไสยไปเลือกสาขาที่มีคนเรียนเพียงสองคน…เวลานั้นเริ่นจื่อหลิงรู้ว่าเขายังไขปมในใจของตัวเองไม่ได้

 

 

เธอจึงไม่พูดอะไร เพียงแต่ปล่อยไปเท่านั้น ตอนนี้ลั่วชิวเริ่มเลือกมหา’ลัยใหม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง

 

 

เหล่าลั่ว คุณมองเห็นหรือเปล่า?

 

 

ลูกชายของคุณเดินออกมาแล้ว ไม่เพียงแต่เริ่มเลือกชีวิตของตัวเองใหม่ แต่ยังหลอกผู้หญิงที่เชื่อฟังมาได้หนึ่งคนด้วย

 

 

“เธอน่าจะบอกฉันก่อน!”

 

 

เริ่นจื่อหลิงถลึงตากว้าง

 

 

ดวงตาเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ น้ำเสียงสั่นเครือ

 

 

แต่ลั่วชิวกลับขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “คุณ…มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

 

 

“ไม่ๆๆ! ไม่มีอะไรเลย!”

 

 

เริ่นจื่อหลิงเช็ดตาและเอ่ยว่า “เธอเปิดหน้าต่างกว้างไปหรือเปล่า? เหมือนมีฝุ่นเข้าตาฉัน…อา มหา’ลัยอะไรล่ะ?”

 

 

“มหา’ลัยเซนต์แอนดรูส์”

 

 

เริ่นจื่อหลิงกะพริบตา พูดว่า “อะไรกัน? อยู่ที่ไหน?”

 

 

“สกอตแลนด์”

 

 

“อืม…สกอตแลนด์” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า จากนั้นก็สะดุ้งถามว่า “เดี๋ยวก่อน…ย้ายมหา’ลัยที่เธอพูดถึงคือย้ายไปประเทศอังกฤษงั้นเหรอ?”

 

 

“มีปัญหาเหรอครับ” ลั่วชิวเอ่ย “ฝั่งนั้นยอมรับแล้ว หลังปีใหม่ เดือนเมษายน ผมก็จะไปแล้ว”

 

 

เริ่นจื่อหลิงนิ่งเงียบลงในฉับพลัน ส่วนลั่วชิวก็เงียบลงตาม

 

 

ผ่านไปไม่นาน เริ่นจื่อหลิงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง…แต่ผ่านไปไม่กี่นาที เริ่นจื่อหลิงก็เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าเอกสาร

 

 

เธอเทของด้านในออกมาบนโต๊ะชา จากนั้นก็ย่อตัวลงหน้าโต๊ะชาเริ่มเลือกของที่ถูกเทออกมา

 

 

เป็นพวกสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารและเอกสารสัญญาต่างๆ

 

 

“คุณกำลังทำอะไร?” ลั่วชิวเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

 

เริ่นจื่อหลิงไม่เงยหน้า “เอ่อ เธออย่าเพิ่งกวนฉัน ฉันกำลังนับว่ามีเงินเก็บเท่าไร…เธอไปเรียนที่ประเทศอังกฤษไม่ใช้เงินงั้นเหรอ เรียนที่เมืองนอกใช้เงินเยอะนะรู้ไหม? ฉันคิดๆ ดูแล้ว รถน่าจะหมดงวดแล้ว ใช่ ถึงยังไงตอนนี้ฉันก็ไม่ขับรถเร็วแล้ว เปลี่ยนคันดีกว่าไหมนะ เธอดูสิ หากเธอไปแล้ว ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวก็ไม่เห็นต้องการห้องใหญ่ขนาดนี้ เปลี่ยนเป็นขนาดสองห้องนอนหนึ่งห้องโถงดีกว่า อยู่คนเดียวจะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่าแพง จริงสิ ค่าเรียนที่นั่นปีละเท่าไร?”

 

 

ในที่สุดเธอก็เงยหน้าขึ้นมาถามลั่วชิว

 

 

ลั่วชิวถามขึ้นในทันใดว่า “คุณไม่สงสัยว่าผมกำลังหลอกคุณงั้นเหรอ”

 

 

เริ่นจื่อหลิงถามอย่างมึนงง “ทำไมเธอต้องหลอกฉันด้วย ป่วยงั้นเหรอ?”

 

 

ลั่วชิวเพียงแค่ส่ายหน้าเล็กน้อย “วางใจเถอะ ทางมหา’ลัยรับรองจะออกค่าเล่าเรียนให้ผม เพราะงั้นคุณไม่ต้องขายรถของคุณ แล้วก็ไม่ต้องย้ายที่อยู่ หากย้ายออกจากที่นี่ ตอนผมปิดเทอมกลับมาจะหาไม่เจอ”

 

 

“เจ้าเด็กบ้านี่!”

 

 

ทันใดนั้นเริ่นจื่อหลิงก็ด่าว่า “เธอรู้ไหมว่าวันนี้ฉันเหนื่อยแค่ไหน? เธอรู้ไหมว่าตอนฉันได้ยินว่าเธอจะไปประเทศอังกฤษ ฉันต้องทนทุกข์มากแค่ไหน! ฉันกำลังนับเงินเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง แต่เธอ! พูดว่ากลับมาจะหาไม่เจองั้นเหรอ! คิดจะทำให้ฉันปวดใจใช่ไหม? เรื่องใหญ่แบบการย้ายมหา’ลัย ทำไมถึงไม่บอกตั้งแต่แรก? ถ้าฉันไม่ถาม ก็คิดจะปิดบังจนถึงก่อนไปแล้วใช้กระดาษแผ่นเดียวเขียนบอกงั้นเหรอ?”

 

 

“ก็เคยคิดจะทำแบบนั้น” ลั่วชิวพยักหน้าจริงจัง

 

 

“…เคยคิด?”

 

 

เริ่นจื่อหลิง…รองบรรณาธิการเริ่นไม่ชอบใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา

 

 

ลั่วชิวยังคงเป็นลั่วชิวที่เธอรู้จัก ไม่เคยเปลี่ยน

 

 

เธอคุ้นเคยกับเขาดี

 

 

ลั่วชิวพบว่าถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะดูไม่ค่อยเรียบร้อย แต่กลับงดงามมาก โดยเฉพาะตอนที่หัวเราะนั้นช่างชวนให้อบอุ่นใจ

 

 

ในคืนนี้ทั้งสองคนไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ หลังจากถึงเวลาแล้วก็กลับเข้าไปในห้องของใครของมัน

 

 

ในความเป็นจริงลั่วชิวไม่จำเป็นต้องหลับตาเพื่อเติมเต็มพลังให้ตัวเอง แต่เขาก็ยังคงทำเรื่องที่คนธรรมดาทำกันอยู่

 

 

อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของเขาบอกว่าเตียงในห้องนี้น่านอนมาก

 

 

เขาค่อยๆ ตระหนักว่าหากอยู่ในเมืองนี้ต่อ ความจริงที่เขาเป็นเจ้าของสมาคมต้องถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้หญิงคนนี้แน่

 

 

ส่วนการจากไปเป็นการปกป้องที่ดีที่สุด…

 

 

เมื่อถึงปีถัดไป พลังของเขาจะต้องไปถึงอีกระดับแน่

 

 

เพราะหลังทำการแลกเปลี่ยนในช่วงนี้เสร็จสิ้นแล้ว ลั่วชิวก็รู้สึกได้ว่าพลังของตัวเองกำลังจะพัฒนาขึ้นในอีกไม่ช้า

 

 

เมื่อถึงตอนนั้น แม้จะห่างไกลแค่ไหนคงไม่เป็นปัญหา

 

 

“สุดท้ายแม้แต่ความรู้สึกนี้ก็คงจะเริ่มจืดจางลง”

 

 

ก่อนหลับตาลง ลั่วชิวกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องบางเรื่อง

 

 

เขารู้ว่าตั้งแต่ที่ตัวเองรับช่วงต่อสมาคมมาก็รักษาทัศนคติที่ไร้ความปรารถนามาโดยตลอด ดังนั้นถึงได้ปล่อยให้ความเฉยเมยของตัวเองพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นนี้

 

 

กลายเป็นผู้บงการชั่วร้ายภายใต้แท่นบูชา

 

 

แน่นอนว่าเพียงลบอารมณ์รู้สึกมนุษย์ของเขาให้เร็วขึ้นเท่านั้น ไม่ได้จำกัดด้านอื่นๆ

 

 

แต่เจ้าของสมาคมคนก่อน แม้จะผ่านไปไม่รู้กี่ปีก็ยังหลงเหลือความรู้สึกเล็กน้อยต่อเรื่องบางเรื่องและใครบางคนอยู่…นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเบื่อจะทำการแลกเปลี่ยนซ้ำซากงั้นหรือ?

 

 

 

 

หากเป็นแบบนั้นต่อไปก็จะกลายเป็นหุ่นเชิด…

 

 

ลั่วชิวยังคงครุ่นคิดต่อและสงสัย ว่าความคิดของตัวเองจะสะท้อนในแท่นบูชาแหล่งที่มาที่แท้จริงของสมาคมหรือไม่

 

 

แต่ตอนนี้เขากลับมั่นใจและครุ่นคิดปัญหาหนึ่งตามหลักเหตุผล เขาจะต้องคิดหามาตรการจัดการบางอย่างหรือไม่

 

 

“อนาคตต้องเฝ้าดูอย่างลับๆ ไหม?”

 

 

เจ้าของสมาคมค่อยๆ หลับตา แล้วเคลิ้มหลับไป

 

 

 

 

เริ่นจื่อหลิงไม่ได้นอน เธอเปิดโคมไฟเล็กและเริ่มนับวันไปทีละวันและพบว่ายังมีเวลาอีกครึ่งปี

 

 

“ครึ่งปี…”

 

 

เริ่นจื่อหลิงกัดเล็บ พึมพำเอ่ยว่า “หรือจะ…ให้เจ้าเด็กนั่นแต่งงานก่อนไปดี? เพราะถึงยังไงมหา’ลัยก็ไม่ได้ห้ามเรื่องนี้…แม่มัน!! ครั้งก่อนตอนกินข้าวก็ลืมขอเบอร์โยวเย่ไว้…ฉันนี่โง่จริงๆ!!”

 

 

สรุปแล้ว เริ่นจื่อหลิงก็นอนไม่หลับ

 

 

 

 

 

 

“อยากตายนัก…”

 

 

เริ่นจื่อหลิงที่อยู่ในลิฟต์ดูเหมือนกับซากศพ รองบรรณาธิการเริ่นครุ่นคิดถึงแผนการจะเป็นแม่ยายทั้งคืนจนไม่ได้นอน แม้แต่ท่าเดินของเธอตอนนี้ก็ยังเหมือนกับซากศพเดินได้

 

 

หลีจื่อที่กินแผ่นมันฝรั่งตั้งแต่เช้ากลับวิ่งเข้ามาตรงหน้าเริ่นจื่อหลิงอย่างตื่นเต้น “พี่เริ่น วิดีโอที่บันทึกไว้เมื่อคืนอยู่กับพี่ใช่ไหม? ตอนเช้าฉันตื่นมาหาไม่เจอ”

 

 

“ฉันขอหาดูก่อนนะ…” เริ่นจื่อหลิงตบกระเป๋าของเธอไปบนหน้าอกที่ไม่ใหญ่มากนักของหลีจื่อ จากนั้นก็หมอบอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง พูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ว่าแล้วฉันก็ไม่เคยเห็นเธอกระตือรือร้นแบบนี้มาก่อน?”

 

 

“เพราะเจ้าของสำนักพิมพ์พูดว่าต้องส่งให้เขาตอนเที่ยง นิตยสารของพวกเราวางขายทุกวันอังคาร คืนนี้ต้องพิมพ์แล้ว” หลีจื่อพูดว่าเพราะเธอเข้างานเช้าจึงรู้เรื่องราว “ยังมีอีกเรื่อง เจ้าของสำนักพิมพ์บอกให้พี่เขียนเรื่องราวของเฉิงอี้หราน แต่ต้องเป็นเรื่องที่ดีหน่อย อย่าเสียดสีเกินไป”

 

 

“บริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ยัดใต้โต๊ะให้เจ้าของสำนักพิมพ์งั้นเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงเริ่มพูดเสียดสีขึ้นมา

 

 

“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ค่ะ”

 

 

หลีจื่อหยักไหล่และเอ่ยว่า “แต่ได้ยินเสี่ยวหวังพูดว่า ในกลุ่มปาปารัสซีวงการบันเทิงของเขาเริ่มมีข่าวลือว่า มีอำนาจลึกลับคอยสนับสนุนเฉิงอี้หรานอยู่ หลังจากวันนี้คงจะเต็มไปทุกพาดหัวข่าวใหญ่และโลกออนไลน์แน่”

 

 

เริ่นจื่อหลิงตบหน้าให้ตัวเองได้สติขึ้นมา “ดี! ทำงานๆ! ฉันต้องหาเงิน! หาเงินให้ได้เยอะๆ หน่อย! แต่พูดถึงแล้วเมื่อคืนนี้เฉิงอี้หรานก็ทำให้ฉันหวั่นไหวจริงๆ ใช่แล้ว…บนโลกออนไลน์เป็นไง? เมื่อคืนผลสุดท้ายเฉิงอี้หรานเอาชนะนักร้องรุ่นเก๋าทุกคนได้ในเพลงเดียว เอาชนะในเวทีแรก…ดูเหมือนจะได้คะแนนเต็มด้วย!”

 

 

สีหน้าของหลีจื่อดูประหลาดใจขึ้นมา “โลกออนไลน์มีข่าวออกมาแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางจะแตกต่างออกไป…พี่เริ่นลองดูเองเถอะค่ะ”

 

 

หลีจื่อเปิดโน้ตบุ๊ก จากนั้นก็เข้าสู่เว็บที่พูดคุยถึงเรื่องรายการนั้น

 

 

“ถ้าหากเบื้องหลังไม่มีการแลกเปลี่ยน PY* ถ่ายทอดสดกินขี้!”

 

 

“ถ้าไม่มีอำนาจลึกลับอะไรอยู่เบื้องหลัง เพียงคนใหม่ธรรมดาๆ คนเดียวจะเปิดตัวอย่างนี้ได้ไง!”

 

 

“พูดตามจริง มีฉันคนเดียวที่คิดว่าเฉิงอี้หรานร้องเพลงได้ธรรมดามาก…แต่เพลงนั่นยังพอได้ แต่ก็แค่พอได้เท่านั้น พูดว่าทำนองเทพเกรงว่าจะขี้โม้ไปหน่อย”

 

 

“เมื่อวานนอกจากเฉิงอี้หรานแล้ว คนอื่นๆ ก็อ่อนหมด? ดูไม่เป็นปกติเลยสักคน น่าเชื่อถืองั้นเหรอ”

 

 

 

 

เริ่นจื่อหลิงอ่านลงมาทีละแถว ทั้งหมดห้าหกหน้าล้วนแต่กำลังด่าว่าเรื่องผลการตัดสินเมื่อคืน “ให้ตายเถอะ…เฉิงอี้หรานคนนี้ทำเรื่องชั่วอะไรหรือเปล่า? นี่มันตั้งหลายหน้าเลยนะ”

 

 

หลีจื่อพูดว่า “ห้าหกหน้านี้เป็นเพียงผลลัพธ์ที่หลุดออกมา พี่ไม่เห็นการพูดคุยในเว็บเมื่อคืนว่าดุเดือดขนาดไหน”

 

 

เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ผิดปกติ…เมื่อคืนฉันก็อยู่ที่นั่น? ฉันว่าดีมากจนน้ำตาเกือบไหลออกมาแล้ว…หลีจื่อ เธอพูดสิ เมื่อคืนเธอก็อยู่ด้วยน่ะ!”

 

 

“ตอนนั้นฉันกินอยู่…เลยไม่ทันได้สังเกตค่ะ”

 

 

เริ่นจื่อหลิงหรี่ตาลง ทันใดนั้นหลีจื่อก็รีบเปลี่ยนคำพูด “แต่พี่เริ่นคะ ถึงคนด่าจะเยอะผิดปกติ แต่ก็มีคนคอยแก้ต่างให้เฉิงอี้หรานอยู่…ฉันว่าคงเป็นผู้ชมในสตูดิโอ แต่มีพลังโน้มน้าวไม่มาก ไม่นานก็ถูกลบหายไป”

 

 

เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วขึ้นและเอ่ยว่า “ฉันจะดูย้อนหลังของเมื่อคืนก่อน”

 

 

 

 

 

 

“ผู้อำนวยการเฉิง ไอดีบนโลกออนไลน์เยอะเกินไป ทางทีมจัดการโลกออนไลน์บอกว่าขึ้นจอเร็วเกินไปพวกเขาลบไม่ทัน”

 

 

เลขารายงานให้เฉิงอวิ๋นฟัง

 

 

เฉิงอวิ๋นรู้สึกกังวล

 

 

เมื่อคืนหลังการประกาศเสร็จสิ้นและรู้ว่าเฉิงอี้หรานเป็นผู้ชนะแล้ว เขาก็จัดการดูแลจงลั่วเฉินอย่างมีความสุขจนเรียบร้อย จากนั้นก็เรียกนางแบบหลายคนมาละเล่นกันในห้องโรงแรม

 

 

แต่เขาเพิ่งกลับจากโรงแรมมาถึงบริษัท เดิมคิดที่จะดูเรื่องหลังการแข่งขันสักหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องน่ากังวลแบบนี้

 

 

พวกเกรียนคีย์บอร์ดคงด่าเพราะ โกรธที่นักร้องตัวเองพ่ายแพ้คนไร้ชื่อเสียงสินะ?

 

 

คิดแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะในผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด นอกจากเฉิงอี้หรานแล้ว ก็มีแต่พวกมีฐานแฟนคลับหนาแน่นและฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามในวงการบันเทิงมาอย่างโชกโชน

 

 

“เอาล่ะ ไม่ต้องรายงานฉันอีก ให้ทีมจัดการโลกออนไลน์ทำงานให้ดีหน่อย ถ้ายากนักพวกเราก็เพิ่มเงิน ‘โอที’ ให้พวกเขา!” เฉิงอวิ๋นโบกมือ “ให้หลี่จื่อเฟิงมาพบฉัน…จริงสิ เรียกเฉิงอี้หรานมาด้วย!”

 

 

หลี่จื่อเฟิงกับเฉิงอี้หรานมาถึงห้องของเฉิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว

 

 

สีหน้าของหลี่จื่อเฟิงดูไม่ค่อยสงบ ส่วนเฉิงอี้หรานก็นิ่งเงียบไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

เฉิงอวิ๋นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการอ่านสีหน้าคนของตระกูลจง ครั้งนี้จึงพูดออกมาว่า “ฉันคิดว่าพวกนายคงรู้แล้ว ว่าทำไมฉันถึงเรียกพวกนายสองคนมาพบ?”

 

 

หลี่จื่อเฟิงรีบเอ่ยว่า “ผู้อำนวยการเฉิง เกี่ยวกับเรื่องที่พูดคุยกับบนโลกออนไลน์…”

 

 

เฉิงอวิ๋นโบกมือและพูดว่า “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้น ที่ฉันเรียกพวกนายมาก็เพื่อบอกว่าไม่ต้องไปสนใจคำพูดในโลกออนไลน์ พวกนักเลงคีย์บอร์ดมีอยู่ทุกวัน คนพวกนี้ล้วนแต่มั่วทำตามอำเภอใจ เรียกร้องความสนใจ สร้างกระแสอะไรไม่ได้หรอก”

 

 

เฉิงอวิ๋นส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปมองเฉิงอี้หรานและพูดว่า “อี้หราน นายวางใจได้เลย เรื่องนี้บริษัทจะจัดการให้นายเอง นายแค่รักษาระดับและแข่งขันต่อไปเท่านั้น! เพิ่งจะสัปดาห์แรก นายต้องฝ่าฟันไปให้ได้ สุดท้ายคนเหล่านั้นจะหมดสิ้นคำพูดเอง! พวกเขาไม่เคยได้ยินนายร้องสดถึงได้ซ่อนตัวทำเรื่องไร้การศึกษาแบบนั้น”

 

 

หลี่จื่อเฟิงขมวดคิ้ว…ถ้าเป็นแค่คลื่นเล็กๆ ก็ดี แต่นี่เป็นการโจมตีที่ปกคลุมฟ้าดิน เมื่อเผชิญหน้ากับการระเบิดอารมณ์แบบนี้ ให้หลี่จื่อเฟิงก็เริ่มสงสัยในชีวิตตัวเอง

 

 

ฝ่าฟันไปให้ได้?

 

 

เฉิงอี้หรานก็ขมวดคิ้ว…เขารู้สึกเพียงว่าผู้อำนวยการเฉิงตรงหน้าคนนี้ไม่รู้ว่าวงการบันเทิงคืออะไร แต่เป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่ง

 

 

เขาคิดไปถึงพ่อค้าอีกคน…คนที่ขายกีตาร์ด้ามนี้ให้เขา

 

 

ทำไมถึงมีคำด่าว่ามากมายแบบนี้…

 

 

หรือว่ากีตาร์…

 

 

ในตอนนี้เองเฉิงอวิ๋นก็ได้รับโทรศัพท์อย่างกะทันหัน เห็นเพียงเขาพยักหน้าและพูดคำว่า ‘ได้’ อย่างเดียว

 

 

หลังเขาวางโทรศัพท์แล้วก็มองเฉิงอี้หรานและพูดอย่างจริงจังว่า “อี้หราน คุณจงอยากพบนายอีกครั้ง นายรีบไปเตรียมตัวเถอะ”

 

 

 

 

*PY เป็นคำไม่สุภาพ P หมายถึงผายลมหรือตด ส่วน Y ย่อมาจากตา แต่เมื่อเชื่อมกันมีความหมายว่ากฏที่ถูกแอบซ่อนไว้เบื้องหลัง