โอ๊ยแม่งเอ้ยอักษรอะไรกันแน่?

 

 

จิ่งเหิงปัวเคาะแก้ม กัดฟันกรอด อดทนต่อความรู้สึกคันยุบยิบบนฝ่ามือ มือสังหารกำลังจะแทงเข้ามาในกระบี่เดียว มองเห็นสีหน้าปานท้องผูกของนางในปราดหนึ่งแล้วอดจะชะงักงันไม่ได้

 

 

พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้ากลับกลายเป็นรอยยิ้มดุจมวลผกา กล่าวว่า “ช้าก่อนจอมยุทธ์ พวกเรามาทำข้อตกลงกันได้หรือไม่”

 

 

“ถ่วงเวลาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” มือสังหารเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ไม่มีผู้ใดมาช่วยพวกเจ้าได้”

 

 

“เจ้าไม่อยากรู้เคล็ดลับวรยุทธของกงอิ้นหรือ?” จิ่งเหิงปัวขยิบตาให้เขา กล่าวว่า “หรือยอดฝีมือเฉกเช่นเจ้าไม่อยากรู้ความลับของปัญญาหิมะ?”

 

 

แทบจะฉับพลัน มารร้ายลึกลับหรือมือสังหารที่คล้ายไม่มีความรู้สึกของมนุษย์นั้น เบื้องลึกนัยน์ตาเจิดจ้าด้วยแสงรุ่งโรจน์

 

 

จิ่งเหิงปัวแบะปากอย่างไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย…ขอแค่เป็นคนไม่ค่อยปกติและวรยุทธสูงส่ง ต้องสนใจวรยุทธลึกลับของผู้อื่นอย่างมากแน่นอน นี่คือสัจธรรมนิรันดรที่นิยายกำลังภายในนับร้อยนับพันเล่มบอกนาง

 

 

สายตาของกงอิ้นกะพริบวูบด้วยความชื่นชมสายหนึ่ง…บทสนทนานี้เอ่ยขึ้นมาแล้วเรียบง่าย ทว่าเพียงวาจาประโยคเดียวสามารถกระทบส่วนลึกภายในจิตใจของคนผู้หนึ่งอย่างแม่นยำ สิ่งนี้แทบจะเป็นความสามารถที่สวรรค์ประทานรูปแบบหนึ่ง

 

 

กระบี่ของมือสังหารหยุดลง

 

 

สมองของจิ่งเหิงปัวกลับกำลังหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว จิตใจครึ่งหนึ่งรับมือมือสังหาร จิตใจอีกครึ่งหนึ่งพิจารณาอักษรบนฝ่ามือ

 

 

…กระบี่…ใช้กระบี่…เคลื่อนย้าย…

 

 

หมายความว่าอะไรกันวะ!

 

 

สมองนางแล่นอย่างรวดเร็ว แวบหนึ่งมองเห็นสีหน้าสงสัยของมือสังหาร รีบเร่งกล่าวว่า “เจ้าจะสังหารกงอิ้นหรือไม่ข้าไม่สนใจ ข้าขอเพียงให้เจ้าปล่อยข้ารอดชีวิต ข้ามอบกงอิ้นให้เจ้าได้ รวมทั้งมอบเคล็ดลับการฝึกวรยุทธของเขาให้เจ้าได้ด้วย”

 

 

“เจ้าจะรู้ได้อย่างไร?” คนชุดดำยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ข้าเค้นถามเขาด้วยตนเองได้”

 

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าจะเค้นถามได้ความหรือ?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม กล่าวว่า “ส่วนข้ารู้ได้อย่างไร ข้าปรากฏกายภายในตำหนักใหญ่แห่งนี้ได้ ข้าย่อมมีเหตุผลที่จะรู้”

 

 

มือสังหารนิ่งเงียบ แววตาระยิบระยับ คล้ายรู้สึกเช่นกันว่านางเอ่ยได้มีเหตุผล

 

 

เขารู้ว่าองครักษ์ไม่อาจเข้าสู่ตำหนักใหญ่ได้ ยามนี้สองคนนี้ผู้หนึ่งยังไม่ฟื้นคืนอีกผู้หนึ่งไม่มีวรยุทธ หมดสภาพอยู่ในเงื้อมมือเขา ฉะนั้นจึงไร้ซึ่งจิตใจร้อนรน พินิจจิ่งเหิงปัวอย่างจริงจังตั้งใจครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “เมื่อครู่เจ้าช่วยเขาสุดชีวิต ยามนี้หักหลังเขา? เจ้านึกว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ?”

 

 

“ข้าน่ะไม่ใช่นึกว่าเขาช่วยข้าได้หรือ?” จิ่งเหิงปัวตบใบหน้าของกงอิ้น กล่าวว่า “ทว่ายามนี้ยังเอาตนเองไม่รอด ชีวิตของผู้ใดก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตน้อยๆ ของตนเองไม่ใช่หรือ?”

 

 

มือสังหารยกมือเพียงครั้ง ปลายกระบี่ประชิดมาทางคอหอยของนาง

 

 

“เช่นนั้นเจ้าเอ่ยมาว่าเคล็ดลับปัญญาหิมะของเขาอยู่ที่ใด? หากเจ้าเอ่ยวาจาเหลวไหล ข้าขยับเขยื้อนนิ้วมือสักหน่อยย่อมแทงเจ้าสิ้นชีพ กงอิ้นก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

 

 

จิ่งเหิงปัวกล่าวหน้าตาเฉยว่า “แน่นอนว่าอยู่ในตำหนักใหญ่”

 

 

“เหลวไหล เคล็ดลับสำคัญขนาดนี้จะวางไว้ที่นี่ได้อย่างไร?”

 

 

“ไม่วางไว้ที่นี่แล้วจะวางไว้ที่ใด? ยังมีที่ใดปลอดภัยยิ่งกว่าที่นี่?” จิ่งเหิงปัวโต้แย้งทันทีว่า “หากไม่ใช่ด้วยเพราะพวกเจ้าสละชีพทหารกล้าตาย มองเห็นรหัสลับบนประตูแล้วเดาออกมาได้ เจ้าจะเข้ามาที่นี่ได้หรือ?”

 

 

มือสังหารนิ่งเงียบ ในใจรู้ว่าเป็นเช่นนี้จริง รหัสลับบนประตูของกงอิ้นเปลี่ยนแปลงไม่เป็นเวลาบ่อยครั้ง เฉพาะข้อหนึ่งนี้ก็หยุดยั้งฝีเท้าของมือสังหารนับมิถ้วนแล้ว

 

 

“หยิบมา!” มือสังหารแบฝ่ามือเรียวยาวไร้สีโลหิตออก

 

 

“หยิบมาไม่ได้” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้าอย่างลึกลับ กล่าวว่า “เคล็ดลับอยู่กลางตำหนักใหญ่ ทุกหนทุกแห่ง จนยามนี้เจ้ายังไม่รู้สึกตัวอีกหรือ?”

 

 

นางเอ่ยวาจาเหลวไหลเต็มปาก ทว่าไม่ได้สังเกตว่ากงอิ้นที่หลับตาพักผ่อนร่างกายโดยตลอดพลันลืมตาขึ้น มองนางอย่างประหลาดใจปราดหนึ่ง

 

 

ใบหน้าของมือสังหารซุกซ่อนอยู่ในไอควันพลันเข้มพลันจางผืนหนึ่ง มองเห็นสีหน้าบนใบหน้าได้ไม่ชัดเจน ทว่าฟังน้ำเสียงแล้วรู้สึกได้ถึงความลังเลเล็กน้อย เอ่ยว่า “ในตำหนัก?”

 

 

ตำหนักใหญ่นี้ดูลักษณะแตกต่างไม่คล้ายผู้โดยแท้ คงมีความลึกลับ

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่ากงอิ้นกำลังเขียนอักษรบนฝ่ามือนางว่า “ให้…ใช้กระบี่”

 

 

ไม่รู้สึกถึงอักษรตัวหนึ่งตรงกลาง ดูท่าคงจะเป็นคำว่า “เขา”

 

 

“ดูหลังคาตำหนักนั่น อีกทั้งกำแพงตรงข้ามประตูใหญ่ข้างหลังนั่น” นางกล่าวทันทีว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่าศิลาขาวก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งนั้นแปลกประหลาดยวดยิ่งหรือ?”

 

 

กงอิ้นมองนางอย่างประหลาดใจเล็กน้อยปราดหนึ่งอีกครั้ง

 

 

แววตาของมือสังหารเบนออกไป ร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่งคล้ายคิดว่าเป็นเช่นนั้น

 

 

“ข้ากล้ารับรองว่ากุญแจสำคัญในการฝึกวรยุทธของกงอิ้นอยู่ที่สองตำแหน่งนั้น” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “หากไม่เชื่อเจ้าลองใช้กระบี่ของเจ้า ดูสิว่ามีปฏิกิริยาเช่นไร?”

 

 

มือสังหารยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ได้ตอบรับข้อเสนอแนะของนาง…หากเขาพุ่งกระบี่ออกไปแล้ว จะควบคุมสองคนเบื้องหน้านี้ได้อย่างไร?

 

 

เขาเพียงยกมือขึ้น กริชหลังเอวของจิ่งเหิงปัวพลันเหินออกไป พุ่งโจมตีศิลาขาวตรงหลังคาตำหนัก

 

 

กริชยังเป็นกริชที่กงอิ้นมอบให้จิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวพกไว้เสมอเพื่อป้องกันตัว กริชคมกริบยิ่งนักกระทบบนศิลาขาวดังเคร้งเสียงหนึ่ง ก้อนหินไม่ได้กระเซ็นประกายเพลิงออกมาด้วยซ้ำ ทว่าพลันปลดปล่อยไอควันขาวนวลกลุ่มหนึ่งออกมา

 

 

อากาศคล้ายเย็นใสบริสุทธิ์ขึ้นมาหลายส่วนโดยพลัน

 

 

“สิ่งนั้นล่ะ!” จิ่งเหิงปัวตะโกนว่า “สิ่งนั้นล่ะคือกุญแจสำคัญในการฝึกวรยุทธของกงอิ้น! เป็นแก่นสารปราณแท้ของปัญญาหิมะซึ่งชำระล้างแล้ว เฮ้! ไปสูดสิ เดินผ่านไปแวะผ่านมาอย่าได้พลาดเชียวนะ!”

 

 

“หากมีพิษจะทำอย่างไร!” น้ำเสียงของมือสังหารทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล

 

 

“เจ้าเซ่อแล้วหรือ เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่าภายในตำหนักนี้มีแต่ไอควันนี้? แตกต่างจากควันธรรมดา ความรู้สึกบริสุทธิ์ยิ่งยวดสดใสยวดยิ่ง ควันเช่นนี้จะเป็นควันพิษไปได้อย่างไร? หากเป็นควันพิษจริงพวกเราสามคนคงสิ้นชีพด้วยกันไปนานแล้วไม่ใช่หรือ!”

 

 

มือสังหารยังคงลังเล จิ่งเหิงปัวมองเห็นไอควันนั้นจางลง โห่ร้องด้วยความเสียดาย สุดท้ายแล้วกงอิ้นเหลืออดเหลือทน ตวาดว่า “หุบปากซะ”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเย้ย กล่าวว่า “มหาราชครู ข้าเอ่ยถูกแล้วหรือ? ร้อนรนแล้วหรือ?” หันหน้ากล่าวกับมือสังหารว่า “อย่านึกว่าของสิ่งนี้มีมากมายไม่มีวันสิ้น ข้าว่าคงมีเวลาจำกัด ก่อนหน้านี้ข้าเคยเข้ามาแล้ว มองเห็นไอควันเช่นนี้ปรากฏออกมาเพียงสามกลุ่ม”

 

 

แววตาของมือสังหารเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายเกิดอารมณ์หวั่นไหว จากนั้นมีไอสังหารผันผ่านในสายตาของเขา

 

 

จิ่งเหิงปัวกล่าวทันทีว่า “เจ้าอยากถีบหัวส่งสังหารข้าทิ้งแล้วค่อยไปสูดปราณแท้สินะ? ข้าเตือนเจ้าเลยว่ารักษาคำมั่นสัญญาจะดีที่สุด ความลับของตำหนักใหญ่นี้ไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้ประการเดียว”

 

 

มือสังหารลังเลเล็กน้อย กระบี่ชี้ไปทางกงอิ้น

 

 

“เจ้าสังหารเขาข้าคงไม่มีความเห็น” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มกล่าวว่า “เพียงแต่ข้ายังกังวลอยู่บ้าง กลัวว่าภายในตำหนักนี้ยังมีลูกไม้ซ่อนไว้ เหลือเขาไว้ ยามจำเป็นอาจจะช่วยชีวิตได้ไม่ใช่หรือ?”

 

 

มือสังหารเงียบงันไปชั่วครู่ ยื่นมือหยิบเชือกเส้นหนึ่งจากในอ้อมแขน มัดทั้งสองคนไว้ด้วยกัน

 

 

“ราชครูมากความรู้มากประสบการณ์ คงจะรู้ว่าสิ่งนี้ทำจากหนังของงูเพลิงในบึงโคลนเลี่ยหั่ว” เขาเอ่ยว่า “สรรพคุณของงูเพลิงมีสองประการ หนึ่งในนั้นคือหากถูกพลังภายในโจมตีจะเกิดความร้อน ดุจแส้เพลิงสะบัดโบยต้องร่าง เจ็บปวดรวดร้าว ทำลายเอ็นสะท้านกระดูก หากราชครูไม่อยากถูกแส้เพลิงแผดเผาอวัยวะภายใน อย่างไรเสียอย่าได้ประมาทเลินเล่อจะดีกว่า”

 

 

“เฮ้ยๆ” จิ่งเหิงปัวคัดค้านว่า “เจ้าอย่ามัดข้ากับเขาหันหน้าเข้าหากันเช่นนี้ ข้าจะรู้สึกว่ากำลังถูกเขาลวนลาม”

 

 

มือสังหารยิ้มแย้มอย่างหยาบโลน เอ่ยว่า “เจ้าสองคนนับเป็นคู่สร้างคู่สม ข้าจะช่วยเหลือวาสนาความรักของพวกเจ้าสักครั้ง นับเป็นการชดเชยที่ต้องการชีวิตของพวกเจ้าเป็นอย่างไร?” มัดจิ่งเหิงปัวขึ้นไปข้างบนอีกเสียเลย มัดจนกลายเป็นท่วงท่าจิ่งเหิงปัวนั่งอยู่ในอ้อมแขนของกงอิ้น ท่วงท่านี้น่าขวยเขินโดยแท้ อีกทั้งรูปร่างของบางคนน่าประทับใจเกินไป ถึงขนาดที่แม้แต่ปลายจมูกของกงอิ้นยังชนอยู่แนบแน่น ไม่อาจเคลื่อนไหว

 

 

แม้จิ่งเหิงปัวจะกล้าหาญแค่ไหน ขณะนี้ยังอดกลั้นไว้ไม่ไหว แสงสายัณห์แดงฉานผืนหนึ่งลอยล่องบนใบหน้า กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คลายออก คลายออกหน่อย…” กงอิ้นยิ่งไม่กล้าแม้แต่ขยับเขยื้อนแล้ว ไม่กล้าขยับยังทนไม่ไหว ลมหายใจเปี่ยมด้วยความนุ่มนวลและลมหายใจของนาง เขาหลับตาลงเสียเลย ทว่าข้างหูค่อยๆ แดงซ่านแล้ว

 

 

มือสังหารหัวเราะฮ่าๆ น้ำเสียงทั้งอิจฉาและตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “ได้ยินว่าราชครูดุจหิมะดั่งน้ำแข็ง ไม่เคยหวั่นไหว เช่นนี้คงไม่ดีแน่ ผู้นำอันดับหนึ่งผู้สง่าผ่าเผยแห่งต้าฮวงวางแผนว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ประชิดใกล้สตรีงามหรือ? กงอิ้น วันนี้ข้าทำให้เจ้าสมปรารถนา ให้เจ้าลิ้มลองรสชาติความเจ็บปวดเจือความสุข เจ้าเดินทางถึงยมโลกแล้ว อย่าได้ลืมขอบคุณข้าล่ะ”

 

 

จิ่งเหิงปัวหน้าแดงก่ำสูดหายใจสุดชีวิต อยากจะถอยออกมาหน่อย ได้ยินวาจานี้ในความลางเรือนพร่ามัวแล้วรู้สึกว่าผิดปกติ อะไรเรียกว่าไม่อาจหวั่นไหว? อีกทั้งเจ้าคนนี้เอ่ยให้คลุมเครือขนาดนี้ทำอะไร? แค่มัดไว้ด้วยกันเอง? อีกเดี๋ยวแก้ออกแล้วยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก…

 

 

มัดพวกเขาเสร็จแล้ว มือสังหารคล้ายวางใจในที่สุด หัวเราะฮิฮิแล้วกระโจนพุ่งไปทางหลังคาตำหนัก

 

 

“เฮ้ ขั้นต่อไปทำอย่างไร?” จิ่งเหิงปัวกระซิบถามกงอิ้น

 

 

ตอนนี้นางหันหลังให้มือสังหารจึงมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จำต้องปลิดชีพมือสังหารระหว่างเส้นทางไปหลังคาตำหนัก มิฉะนั้นหากเขาสูดปราณแท้กลับมาจริง เรื่องแรกที่จะทำก็คือฆ่าพวกเขาทิ้ง

 

 

กงอิ้นไม่เปล่งเสียง เรือนร่างขยับเขยื้อนเล็กน้อย ดูท่าทางคล้ายคิดจะขยับนางไปยังทิศทางที่เผชิญหน้ากับมือสังหาร

 

 

ปัญหาคือสองคนถูกมัดแน่นเกินไป มือสังหารกลัวว่าหากสองมือของจิ่งเหิงปัวเป็นอิสระ จะใช้ปราณแท้ควบคุมสิ่งของมาเขวี้ยงเขา จึงมัดจิ่งเหิงปัวจนขยับนิ้วมือไม่ได้ ยามนี้อาศัยเพียงแรงขาทั้งสองข้างของกงอิ้น พอขยับเชื่องช้าสะท้านเสียดสีทุกสิ่ง จมูกของกงอิ้นถูกอุดไว้หลายครั้ง ตื่นเต้นตะลึงลานจนแทบจะหยุดหายใจ จิ่งเหิงปัวพยายามหดร่างกาย หันหน้าไปอีกทางไม่กล้ามอง เกิดความขุ่นเคืองต่อขนาดของตนเองเป็นครั้งแรก ซ้ำยังแอบคิดว่านับแต่นี้ไปเขาคงรู้คัพของนางแล้วล่ะมั้ง…

 

 

ขยับให้ตรงได้อย่างง่ายดาย ทว่ากงอิ้นเหงื่อออกท่วมหน้า จิ่งเหิงปัวเหงื่อออกท่วมร่าง…

 

 

คราวนี้นางมองเห็นมือสังหารแล้ว กำลังหมอบเคาะมั่วซั่วตรงหลังคาตำหนัก แต่คราวนี้ไอควันกลับออกมาไม่ได้แล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเสียงดัง

 

 

“ที่รัก หากไม่ยอมเสี่ยงย่อมไม่ได้ผลตอบแทนล้ำค่า” นางกล่าวว่า “เจ้าคิดไม่ได้หรือว่าต้องใช้อาวุธเคาะโจมตีถึงจะทำให้ศิลาขาวตอบโต้ด้วยการปรากฏไอควัน? เจ้าจะไม่นำกระบี่ล้ำค่าของเจ้าพุ่งขึ้นไปเช่นนั้นสักหน่อยหรือ?”

 

 

มุมปากของกงอิ้นเชิดโค้งเล็กน้อย

 

 

มีเพียงยามเผชิญทางตัน ความฉลาดของจิ่งเหิงปัวถึงจะปรากฏออกมาโดยแท้ ยามปกตินางเกียจคร้านเหลือเกิน ทว่าแลด้วยเพราะเหตุนี้ รอยยิ้มสนุกสนานยามเผชิญทางตันของนางจึงเป็นธรรมชาติ มารยาร้อยเล่ห์ ถึงทำให้คนตะลึงพรึงเพริดเป็นล้นพ้น

 

 

มือสังหารลังเลไปชั่วครู่ นึกถึงประสิทธิผลของกริชก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับว่าวาจาของจิ่งเหิงปัวมีเหตุผล ได้แต่เหินกายลงจากหลังคาตำหนัก มองดูสองคนที่ถูกมัดจนเคลื่อนไหวไม่ได้ก่อน พอแน่ใจว่าไร้เรื่องราว กระบี่หนึ่งพุ่งไปยังหลังคาตำหนัก

 

 

“เคร้ง” เสียงหนึ่งดังกังวาน กระบี่กระทบศิลาขาว

 

 

จิ่งเหิงปัวหรี่ตาแทบชิดกัน ต่อไปต้องรอดูแผนการของมหาเทพกงแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อกงอิ้นให้นางทำแบบนี้ หากนางเชื่อเขาต้องทำสำเร็จแน่นอน

 

 

กระบี่เรียวบางสีดำกระทบบนศิลาขาว ก้อนศิลาคล้ายสะท้านครั้งหนึ่งในเสียงดังกังวาน จากนั้นไอควันสีหยกระลอกหนึ่งค่อยๆ ทะลักออกมา

 

 

“สำเร็จแล้ว” เสียงโห่ร้องของจิ่งเหิงปัวตื่นเต้นดีใจเสียยิ่งกว่ามือสังหาร

 

 

มือสังหารรู้สึกเช่นเดียวกันกับนาง แววตาทอแสงรุ่งโรจน์ระยิบระยับ เหินกายเชิดขึ้น พุ่งไปยังไอควันที่เพียงสูดดมก็ทำให้คนรู้สึกสบายยิ่งนักหอบนั้น

 

 

เขาทำสำเร็จแล้ว ด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจเลยไม่ได้สังเกตว่าหลังจากกระบี่ดำโจมตีบนศิลาขาว กระบี่นั้นไม่ได้ร่วงหล่นลงโดยพลัน

 

 

ในลำแสงมัวสลัว ใยไหมขาวละเอียดที่เปรอะเปื้อนบนกระบี่ในยามไล่สังหารกงอิ้นก่อนหน้านี้สัมผัสไอควันที่ทะลักออกมาหอบนั้น เส้นใยพลันขยายตัวอย่างรวดเร็ว มัดกระบี่ไว้อย่างแน่นหนาแล้วลอยอยู่กลางอากาศ ถึงขนาดคล้ายมีมือคู่หนึ่งกำลังใช้แรงเกี่ยวพันด้ามกระบี่ พลันรวบสู่ภายใน!