ตอนที่ 259-1 เสิ่นเวยตัวฉกาจ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เสิ่นเวยก้าวฝีเท้าที่มั่นคง เดินเข้าไปภายในท้องพระโรงช้าๆ ทำความเคารพตามระเบียบ “จยาฮุ่ยถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”

“ลุกขึ้นเถิด!” ฮ่องเต้ยงเซวียนมองคุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่ทั้งเพียบพร้อมทั้งงดงามสะกดตา กล่าวเสียงเรียบ “จยาฮุ่ยมีธุระหรือ”

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนในท้องพระโรงต่างก็ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างๆ เสิ่นเวยเห็นว่าในนั้นมีปู่นาง ในใจก็มีความมั่นใจสามส่วน ได้ยินฮ่องเต้ยงเซวียนถามนาง ในใจเสิ่นเวยก็อยากจะด่ามารดาจริงๆ หากไม่มีธุระแล้วนางจะหาเรื่องใส่ตัววิ่งฝ่าอากาศร้อนจัดมาวังทำไม ส่วนเป็นเรื่องอะไร ก็เห็นอยู่ชัดๆ แล้วมิใช่หรือ

“ฝ่าบาทไม่ใช่ขังคุณชายใหญ่ของพวกเราไว้ในศาลราชวงศ์หรอกหรือ คุณชายใหญ่ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่ง จยาฮุ่ยจำต้องมาทูลถามสักเล็กน้อย ทูลถามฝ่าบาท คุณชายใหญ่ของข้าทำผิดร้ายแรงอันใด ถึงกับต้องขังเขาไว้ในศาลราชวงศ์เชียวหรือ” เสิ่นเวยขอคำชี้แนะอย่างตั้งใจจริง

สีหน้าของฮ่องเต้ยงเซวียนยังคงเรียบเฉย “วิจารณ์การบริหารงานของราชสำนัก”

ไฟโกรธของเสิ่นเวยพวยพุ่งขึ้นมาแล้ว ให้ตายสิ การบริหารงานของราชสำนักก็ต้องวิจารณ์ไม่ใช่หรือ มิเช่นนั้นฮ่องเต้ยงเซวียนจะเรียกขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนนี้มาทำไม ไม่ใช่ว่ากำลัง ‘วิจารณ์’ การบริหารงานของราชสำนักอยู่หรือไร

“ไม่ใช่ว่าคุณชายใหญ่ของข้าพูดเข้าข้างญาติผู้พี่ไท่จื่อองค์ก่อนเล็กน้อยหรอกหรือ” บนใบหน้าของเสิ่นเวยปรากฎความเหยียดหยาม “ฝ่าบาท ควรพอได้แล้ว เพียงแค่คดีที่ถูกใส่ความ ท่านขังบุตรชายแท้ๆ ของพระองค์เองไว้สิบปี คุณชายใหญ่พูดถึงความเป็นธรรมสองประโยคท่านก็อับอายจนพิโรธแล้วหรือ ท่านขังบุตรชายของท่าน ต่อให้จะประหาร หลานสะใภ้ก็ไม่อาจตำหนิโทษได้ แต่ท่านขังคุณชายใหญ่ของข้ามีเหตุผลอันใด”

ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงพิโรธแล้ว คุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้กล้าพูดจริงๆ! ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั่วราชสำนักไม่มีสักคนที่กล้าโต้แย้งตรงไปตรงมาเช่นนี้ แต่คุณหนูสี่แซ่เสิ่นเช่นนางกล้า ซ้ำยังมั่นอกมั่นใจ พูดจบยังเรียกตัวเองว่าหลานสะใภ้ ฉวยโอกาสกระชับความสัมพันธ์กับเขา เจ้าเล่ห์จริงๆ!

“บังอาจนัก จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ท่านเองก็เหิมเกริมเกินไปแล้วหรือไม่ ต่อหน้าฝ่าบาทบังอาจพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ผิงจวิ้นอ๋องจะเป็นอย่างไรก็มีฝ่าบาทจัดการ ใช่เรื่องที่สตรีผู้หนึ่งเช่นท่านจะวิจารณ์ได้หรือ” มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไว้เคารยาวผู้หนึ่งก้าวออกมาตำหนิเสิ่นเวยด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

เสิ่นเวยมองครู่หนึ่ง อืม ไม่รู้จัก ตอบโต้กลับไปทันที “เหิมเกริมงั้นหรือ ตอนที่ตัวข้าจวิ้นจู่เหิมเกริมท่านยังแอบอยู่ในกองผ้าไหมอยู่เลย ท่านถามฝ่าบาทดูสิว่าพระองค์รังเกียจที่ข้าเหิมเกริมหรือไม่” หากนางไม่เหิมเกริม จะคว้าชัยชนะที่ชายแดนซีเจียงนำชีวิตที่สงบสุขอย่างน้อยสิบปีมาได้อย่างไร ฝ่าบาทกับท่านปู่นางยังปรารถนาให้นางเหิมเกริมขึ้นอีกด้วยซ้ำ

สายตาของเสิ่ยเวยกวาดมองใบหน้าของฮ่องเต้ยงเซวียนเล็กน้อย กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้าท่านนี้บอกว่าตัวข้าจวิ้นจู่เป็นสตรีผู้หนึ่ง ตัวข้าจวิ้นจู่ยอมรับ แต่สตรียุท่านแหย่ท่านหรือ ย่ายายของท่านไม่ใช่สตรีหรือ ไม่มีสตรีแล้วจะมีท่านหรือ เป็นมนุษย์ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณแล้วยังทำงานในราชสำนัก จะทำหน้าที่ได้ดีหรือ ดูท่านสิอายุก็มากแล้ว เหตุใดแม้แต่หลักการแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ” แววตาของเสิ่นเวยดูถูก

“ท่าน ท่าน เป็นผู้มีปัญญาแต่ทำตัวหน้าไม่อาย! สตรีปากร้าย!” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไว้เคราโมโหจนหน้าแดงคอแข็ง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในท้องพระโรงพากันก่ายหน้าผาก จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ปากร้ายจริงๆ! มีเพียงปู่นางที่หลุบตารอยยิ้มกะพริบผ่าน

“สตรีปากร้ายก็ดีกว่าแม่หม้ายมิใช่หรือ ฝ่าบาท เรื่องในราชสำนักหลานสะใภ้ไม่ยุ่ง เดิมชีวิตของพวกข้าสามีภรรยาก็ผ่านไปอย่างสุขสบายเพียงใด แต่ท่านก็ดึงดันจะให้คุณชายใหญ่เข้าราชสำนักให้ได้ ตอนนี้เป็นอย่างไร ท่านเอาคนไปไว้ที่ศาลราชวงศ์เสียแล้ว หลานสะใภ้ขอให้ท่านรีบปล่อยคุณชายใหญ่ของข้าออกมา งานผู้บัญชาการอะไรนั่นพวกข้าไม่เป็นแล้ว พวกข้าจะกลับบ้านไปปิดประตูจวนใช้ชีวิตอยู่ในนั้นคงไม่ว่ากันใช่หรือไม่” เสิ่นเวยใช้วิธีน่าไม่อาย

“ต่อหน้าฝ่าบาทจยาฮุ่ยจวิ้นจู่โวยวายไร้เหตุผลเช่นนี้ ทำอย่างกับอะไรดี” ใต้เท้าอาวุโสเครายาวผู้นั้นนิ้วมือสั่นระริกก่นด่าเสิ่นเวย

เสิ่นเวยปรายตามองเขาปราดหนึ่งด้วยสายตาหยามเหยียด ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือจริงๆ พูดจาฉอดๆ ไม่รู้หรือว่าน่ารำคาญ หากไม่ใช่ว่าเห็นแก่ที่เขาอายุมากแล้ว นางก็คงจะตบหน้าไปนานแล้ว

“ตัวข้าจวิ้นจู่ใกล้จะเป็นหม้ายแล้วยังต้องสนใจว่าเป็นระเบียบหรือไม่อะไรอีก ฝ่าบาท ท่านเองก็อย่างรังเกียจที่ข้าพูดจาไม่น่าฟัง หลานสะใภ้จะพูดไว้ตรงนี้ หากข้าเป็นหม้าย คนทั้งหมดก็อย่าได้คิดว่าจะรอด หากคุณชายใหญ่ถูกลงโทษจนตาย หลานสะใภ้มีชีวิตต่อไปก็ไร้ความหมายแล้ว ก่อนตายลากคนไปรับโทษด้วยก็คงไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เสิ่นเวยจ้องมองฮ่องเต้ยงเซวียน คุกคามหน้าตาย

ฮ่องเต้ยงเซวียนเห็นนางยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ คิ้วขมวดมุ่นกล่าว “พูดเหลวไหลอันใด ใครบอกเจ้าว่าเราจะฆ่าผิงจวิ้นอ๋อง เชื่อแต่ข่าวลือ ดูสภาพของเจ้าตอนนี้สิ! ราชครูเสิ่น!” ฮ่องเต้ยงเซวียนเองก็วางมาดตนเป็นผู้อาวุโส กวาดสายตามองเสิ่นผิงยวนปราดหนึ่ง เจตนานั้นชัดเจนอย่างยิ่ง หลานตัวร้ายของเจ้า เจ้าก็ไม่รู้จักจัดการ

ทว่าเสิ่นผิงยวนกลับกล่าว “ทูลฝ่าบาท จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว” นัยยะในคำพูดก็คือควรมีบ้านสามีดูแล

ฮ่องเต้ยงเซวียนอึกอักอยู่ครู่ใหญ่พูดอะไรไม่ออก ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่สนความรู้สึกของฮ่องเต้ยงเซวียน กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “เข้าศาลราชวงศ์แล้วจะอยู่ดีได้อย่างไร คุณชายใหญ่ของข้าร่างกายอ่อนแอเพียงนั้น ไม่ต้องเฆี่ยนโบย เพียงแค่อยู่ในศาลราชวงศ์หนึ่งคืนก็ทำลายชีวิตไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว นี่ต่างอะไรจากการฆ่าเขา”

หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “คุณชายใหญ่ของข้าเพียงแค่พูดแทนไท่จื่อองค์ก่อนสองประโยค ไม่ถึงกับต้องประหารชีวิตหรอกกระมัง อีกอย่างสำหรับไท่จื่อผู้ถูกถอดยศ ฝ่าบาทต่อให้ท่านจะไม่ชอบใจ หลานสะใภ้ก็ยังต้องพูดสักสองประโยค เป็นเลือดเนื้อตนเอง ขังไท่จื่อองค์ก่อนสิบปีเพียงเพราะโทษที่ปราศจากหลักฐานก็เพียงพอแล้ว ควรจะปล่อยออกมาได้แล้วกระมัง” ในเมื่อคุณชายใหญ่ของนางใส่ใจไท่จื่อผู้ถูกถอดยศเพียงนั้น นางย่อมต้องช่วยด้วยเช่นกัน

“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่โปรดระวังคำพูด ไท่จื่อองค์ก่อนวางแผนก่อกบฏมีหลักฐานมัดตัว” นายท่านเสนาบดีฉินที่ตลอดมาไม่เอ่ยปากพลันกล่าวขึ้น

เสิ่นเวยเหลือบมองเขา “หลักฐานมัดตัวหรือ ด้วยจดหมายขาดๆ ไม่กี่ฉบับนั้นน่ะหรือ ท่านใต้เท้าเสนาบดีต้องการเท่าไรตัวข้าจวิ้นจู่ก็ทำออกมาให้ท่านได้” เสิ่นเวยมองใบหน้าที่แสร้งทำเป็นเคร่งขรึมใบนั้นของท่านเสนาบดีฉิน ในใจก็เอือมระอา “ท่านเสนาบดีไม่เชื่อหรือ มาๆๆ วันนี้ข้าจะเปิดหูเปิดตาพวกท่าน”

เสิ่นเวยชะโงกหน้ามองบนโต๊ะส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ยงเซวียน มองเห็นสาส์นกราบทูลหนึ่งฉบับของท่านเสนาบดีฉินพอดี นางก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวยกพู่กันขึ้นมา “ฝ่าบาท หลานสะใภ้ขอใช้พู่กันพระองค์หน่อยนะเพคะ”

มุมปากฮ่องเต้ยงเซวียนกระตุก เจ้าหยิบขึ้นมาจุ่มหมึกแล้ว เรายังพูดได้อีกหรือว่าไม่ให้ยืม ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็อยากรู้อย่างยิ่งว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจะทำอะไร จึงไม่ได้ส่งเสียงอนุญาตเป็นนัย

เสิ่นเวยเพ่งมองสาส์นกราบทูลของท่านเสนาบดีฉินปราดหนึ่ง จากนั้นก็ยกพู่กันเขียนตวัดลงบนกระดาษ ไม่นานนักก็วางพู่กันลง ดูอย่างละเอียดเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “เวลาฉุกละหุก เลียนแบบไม่ค่อยเหมือน แต่ว่าก็เพียงพอแล้ว ฝ่าบาทท่านลองทอดพระเนตรดู!”

เดิมฮ่องเต้ยงเซวียนก็ยืนอยู่ข้างๆ เสิ่นเวยอยู่แล้ว ย่อมต้องเห็นการกระทำของนางได้อย่างชัดเจน แม้ว่าใบหน้าจะเรียบเฉย แต่ในใจกลับตกตะลึงอย่างถึงที่สุด เขารู้ว่ามีคนสามารถเลียนแบบลายมือของผู้อื่นได้ ถึงขั้นใช้แทนของจริงได้ แต่เขาไม่คิดว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจะเลียนแบบลายมือของเสนาบดีฉินด้วยอายุที่น้อยเช่นนี้เวลาที่สั้นเช่นนี้ได้เสมือนต้นแบบ

มือหนึ่งของฮ่องเต้ยงเซวียนถือสาส์นกราบทูลของเสนาบดีฉิน อีกมือหนึ่งถือฉบับคัดลอกของเสิ่นเวย ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงส่งให้ท่านเสนาบดีฉินดู “เจ้าเองก็ลองดูเถิด”

ท่านเสนาบดีฉินรับมาด้วยสองมือ เพียงมองแค่ปราดเดียว บนใบหน้าก็เผยความประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ยิ้ม “จยาฮุ่ยจวิ้นจู่มีความสามารถ!” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ข้างๆ ก็เขยิบเข้ามาดูข้างเขา ต่างก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน มีเพียงปู่นางที่เหลือบมองนางปราดหนึ่งอย่างมีเลศนัย เด็กดื้อ ยังซ่อนความสามารถเช่นนี้ไว้ด้วยหรือ

เสิ่นเวยลูบจมูกยิ้มเจื่อน นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสให้แสดงมาโดยตลอดหรือ ไม่ใช่ว่าตั้งใจซ่อนไว้แอบไว้เสียหน่อย ท่านปู่อย่าได้ใจแคบเกินไปเลย!

สายตาละมองไปบนร่างของท่านเสนาบดีฉินก็เปลี่ยนทันที “มีความสามารถอะไรกัน เพียงแค่ฝีมือต่ำต้อยใช้หลอกคนเล่นก็เท่านั้นเอง หากเป็นยอดฝีมือด้านนี้มีเพียงอาจารย์ของข้าที่เหมาะสมที่สุด อ้อจริงสิ อาจารย์ของข้าแซ่ซู ชื่อหย่วนจือ ท่านอำมาตย์ฝังเคยได้ยินหรือไม่” เสิ่นเวยเห็นว่าในนี้มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่หน้าตาคล้ายอาจารย์ซูหลายส่วนอยู่ด้วย จึงเดาได้ว่าคนผู้นี้คืออำมาตย์ฝัง อดหยั่งเชิงเล็กน้อยไม่ได้

เสิ่นเวยเดาถูกต้อง คนผู้นี้ก็คืออำมาตย์ฝัง ครั้งก่อนแม้ว่าลูกชายกลับมาจากจวนผิงจวิ้นอ๋องจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่พ่อบ้านที่ตามไปด้วยกลับรายงานเขาทุกเรื่อง ตอนนี้คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เอ่ยถึงผู้ที่คล้ายกับว่าจะเป็นบุตรคนโตที่ถูกไล่ออกจากบ้านผู้นั้นของเขา คิ้วเขาไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว “อาจารย์ของจวิ้นจู่ตัวข้าอำมาตย์จะรู้จักได้อย่างไร”

“ไม่รู้จักเช่นนั้นก็ดี!” เสิ่นเวยหัวเราะเยาะ คำนับกลับหนึ่งประโยค จากนั้นก็หันหน้าพูดเรื่องเมื่อครู่นี้ต่อ “ฝ่าบาทท่านดูสิ หลักฐานที่ว่าต่างก็ไม่มีแรงจูงใจ ท่านเสนาบดีฉินเองก็อย่าได้พูดขอความเมตตาแทนจานซื่อตำหนักบูรพาอะไรเลย เขาตายไปนานแล้ว ใครจะยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจใส่ร้ายไท่จื่อองค์ก่อน บอกว่าไท่จื่อองค์ก่อนสมรู้ร่วมคิดกับอ๋องเคียงบ่าวางแผนก่อกบฏยึดราชวงศ์งั้นหรือ น่าขันยิ่งนัก มีทางดีๆ ให้เดินไม่เดิน จะเดินทางโคลนตมเล็กๆ แทน ไท่จื่อองค์ก่อนเป็นคนโง่หรือไร หรือว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ด้านบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักเป็นคนโง่” เสิ่นเวยเหยียดหยามอย่างไม่เหลือน้ำใจเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียในศึกซีเหลียงนางก็สร้างคุณูปการใหญ่หลวง ฮ่องเต้ยงเซวียนก็ไม่สามารถประหารนางได้ ดังนั้นนางจึงไม่หวาดกลัว