บทที่ 2389 รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า! / บทที่ 2390 องค์หญิงต่างหากที่เป็นมือที่สาม

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2389 รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า!

เขาใช้ทักษะทำลายค่ายกลทุกอย่างไปหมดแล้ว ทว่ายังหาทางทำลายค่ายกลไม่ได้อยู่ดี…

‘ครืด!’

หินใหญ่ก้อนหนึ่งถูกคนเลื่อนออกไป กู้ซีจิ่วปรากฎตัวขึ้นห่างจากเขาสามจั้ง มองเขาอย่างเฉยเมย

“ผ่านไปครึ่งถ้วยชาแล้ว เจ้ายังมีอะไรจะพูดไหม?”

หวาเฉียนจวิ้นเงียบงัน

สายตาที่เขามองกู้ซีจิ่วแฝงแววเลื่อมใสที่ซ่อนเร้นเอาไว้ไม่อยู่ เขายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว

“ผู้แซ่หวายินดีรับฟังคำชี้แนะของแม่นางกู้!”

กู้ซีจิ่วปัดฝุ่นบนมือน้อยๆ

“ดีมาก เจ้าโอ้เอ้เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว เจ้าต้องลงมือให้ว่องไวหน่อยเพื่อเป็นการชดเชย ย้ายศิลาใหญ่ก้อนนั้นเข้า วางไว้ตรง…”

เธอบอกตำแหน่งที่ชี้ชัดเจาะจง

หวาเฉียนจวิ้นมองศิลาใหญ่ก้อนนั้น จากนั้นก็มองไปรอบๆ ใจเต้นเล็กน้อย

ที่แท้ในเวลาหนึ่งถ้วยชาที่เขาถูกขังไว้ตรงนี้ กู้ซีจิ่วกับจู๋ตู๋ชิงก็ก่อค่ายกลขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้ว

มีโขดหินกว่าสิบก้อน ในช่องว่างระหว่างหินแต่ละก้อนยังมีต้นไผ่มากมายยืนต้นแน่นิ่งอยู่ด้วย

ศิลาใหญ่ที่กู้ซีจิ่วให้เขาขนย้ายเป็นก้อนที่ใหญ่ที่สุดในโถงถ้ำ หนักหลายสิบตัน ตั้งตระหง่านอยู่ที่มุมหนึ่งของถ้ำ

มีเพียงหวาเฉียนจวิ้นที่เคลื่อนย้ายได้ แถมเขายังมีพละกำลังยิ่งนัก ศิลาที่หนักถึงเพียงนี้เขาย้ายมาจนถึงตำแหน่งที่กำหนดได้โดยไม่หอบหายใจเลย

หวาเฉียนจวิ้นรู้สึกอยู่เสมอว่าผังการจัดวางศิลาใหญ่เหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับที่ตนเรียนรู้มา ซ้ำยังเหนือชั้นกว่ามากนักด้วย

เขาใจเต้นแวบหนึ่ง

“แม่นางกู้วิชาค่ายกลของแม่นางเรียนรู้มาจากองค์ราชันย์ของพวกเราหรือ?”

เขามองออกว่ากู้ซีจิ่วกับท่านราชันย์มารมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งนัก เมื่อก่อนน่าจะเคยอยู่ด้วยกัน ไม่แน่ว่าองค์ราชันย์อาจจะสอนวิชาค่ายกลให้นางก็ได้

ระยะเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันน่าจะไม่สั้นเลย ถึงทำให้แม่นางกู้ผู้นี้สามารถร่ำเรียนจนเลิศล้ำได้ถึงขนาดนี้

กู้ซีจิ่วเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มมิเชิงยิ้ม

“หากข้าบอกว่า เป็นผู้ทรงศักดิ์อย่างข้าต่างหากที่สอนวิชาก่อค่ายกลให้องค์ราชันย์ของเจ้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”

หวาเฉียนจวิ้นทึ่มทื่อไปแวบหนึ่ง

“จะเป็นไปได้อย่างไร?!”

เธอตอบอย่างไม่อนาทร

“ทุกเรื่องล้วนมีความเป็นไปได้ เจ้าแค่ไม่รู้เท่านั้น ผู้ทรงศักดิ์อย่างข้าเกือบจะได้รับองค์ราชันย์ของเจ้าเป็นศิษย์แล้วด้วยซ้ำ…เอาล่ะ รีบไปตั้งค่ายซะ ตอนนี้ร่างกายข้าอ่อนแอ ย้ายศิลาใหญ่พวกนั้นไม่ไหว ทำได้เพียงรบกวนพวกเจ้าสองคนแล้ว”

หวาเฉียนจวิ้นรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า!

เขาเคลื่อนย้ายศิลาใหญ่เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยถาม

“เช่นนั้นแม่นางกู้จะต้องอายุมากกว่าองค์ราชันย์ยิ่งนักใช่หรือไม่?”

กู้ซีจิ่วชะงักไปแวบหนึ่ง นี่เป็นปมเล็กๆ อย่างหนึ่งในใจเธอ…

เธอยังไม่พูดอะไร จู๋ตู๋ชิงที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง

“โลกแคบ! โลกนี้นับถือกันที่ความสามารถ มิใช่อาศัยอายุมาเอาชนะกัน ก็เหมือนตัวข้า ไม่รู้ว่าแม่นางกู้อายุเท่าไหร่ ก็ยอมรับนางเป็นอาจารย์แล้วมิใช่หรือ? ถ้าเมื่อก่อนวรยุทธ์องค์ราชันย์ของพวกเจ้าสู้นางไม่ได้ เกือบจะได้กราบนางเป็นอาจารย์ก็ไม่แปลกนี่”

หวาเฉียนจวิ้นพินิจดูกู้ซีจิ่วอยู่สองครา เอ่ยอย่างจริงใจ

“ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้พลังยุทธ์องค์ราชันย์ของพวกเราเหนือล้ำกว่าแม่นางกู้มากแล้ว นับว่าเป็นเขียวกำเนิดจากน้ำเงินแต่กลับเข้มกว่าน้ำเงิน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ใช่หรือไม่?”

นี่มันการอนุมานแบบใดกัน?!

กู้ซีจิ่วคร้านจะคุยกับเขาแล้ว จึงไม่สนใจเขาอีก

จู๋ตู๋ชิงใช้พัดเคาะหัวหวาเฉียนจวิ้นทีหนึ่ง

“เจ้ามัวพูดจาไร้สาระมากมายขนาดนี้อยู่ทำไม?! เรื่องของเจ้านายใช่เรื่องที่ลูกน้องอย่างเจ้าสามารถซุบซิบนินทาได้หรือ? ระวังนายของบ้านเจ้ารู้เข้าแล้วจะมาถลกหนังเจ้าเอา! รีบไปทำงานซะ!”

หวาเฉียนจวิ้นเงียบไปแล้ว

ระหว่างที่เขาจัดเรียงหินอยู่ในที่สุดก็ตระหนักถึงความละเอียดประณีตของค่ายกลนี้ได้แล้ว จากที่เคยกังขาในความสามารถด้านค่ายกลของกู้ซีจิ่วก็กลายเป็นเลื่อมใส

วรยุทธ์และพลังวิญญาณของแม่นางกู้ผู้นี้อาจจะสู้องค์ราชันย์ของพวกเขาไม่ได้ แต่ความสามารถในด้านค่ายกลของนางเหนือชั้นกว่าองค์ราชันย์มากจริงๆ!

….

————————————————————————————-

บทที่ 2390 องค์หญิงต่างหากที่เป็นมือที่สาม

เขาอดไม่ได้ที่จะมองกู้ซีจิ่วอีกครั้ง แม่นางกู้ผู้นี้สะคราญโฉมยิ่งนัก ซ้ำยังมีความสามารถจริงๆ ไม่แปลกเลยที่องค์ราชันย์จะหลงรักนางเช่นนี้ การที่องค์หญิงของพวกเขาพ่ายแพ้ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้

เมื่อก่อนเขาคิดว่ากู้ซีจิ่วคือผู้มาที่หลังตลอดมา เป็นมือที่สามที่เข้ามาทำลายความรักขององค์ราชันย์กับองค์หญิง แต่ตอนนี้เห็นทีว่าเรื่องราวจะมิใช่แบบนั้น

หรือว่าองค์หญิงของพวกเขาต่างหากที่เป็นมือที่สาม?

ทั้งสามคนล้วนเป็นยอดฝีมือ ซ้ำยังแตกฉานในศาสตร์ค่ายกลกันยิ่งนัก ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วชี้แนะให้พวกเขาก่อค่ายกลขึ้นจึงผ่อนคลายยิ่ง บอกนิดเดียวก็กระจ่างแล้ว ไปจัดการได้ทันที

ค่ายกลที่เดิมทีซับซ้อนยิ่งนักและสิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก ก็สามารถติดตั้งได้สำเร็จภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเค่อ

ระหว่างที่ก่อค่ายกลอยู่กู้ซีจิ่วก็ได้อธิบายถึงวิธีใช้งานของค่ายกลนี้ไปด้วยอย่างรวดเร็ว รวมถึงเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญระหว่างที่ต่อสู้อยู่ในค่ายกลด้วย

เธออธิบายเรื่องที่ลึกซึ้งอย่างง่ายๆ มีแบบแผนชัดเจน ถึงแม้จะใช้ถ้อยคำไม่มาก แต่ทุกประโยคที่ตัดตรงเข้าประเด็น ทั้งสองคนย่อมจับจุดได้รวดเร็วยิ่ง

และในยามนี้เอง หวาเฉียนจวิ้นถึงได้ยอมรับนับถือในตัวแม่นางกู้ผู้นี้อย่างแท้จริง ทั้งงดงามแถมยังมีความสามารถขนาดนี้ มิได้เสแสร้งมารยา มีหนึ่งก็บอกว่าหนึ่ง ซื่อตรงเรียบง่าย แตกต่างจากสตรีธรรมดามากจริงๆ…

ไม่เหมือนองค์หญิงย่วนย่วน องค์หญิงย่วนย่วนอ่อนโยนดุจสายน้ำ ราวกับบุปผาสดใสแย้มบานในฤดูใบไม้ผลิดอกหนึ่ง กระตุ้นความปรารถนาจะปกป้องอันแรงกล้าของบุรุษได้

ส่วนแม่นางผู้นี้โดดเดี่ยวเสรี สุขุมดุจต้นสน ทว่าโดดเด่นจนทำให้ผู้คนไม่อาจมองข้ามการมีอยู่ของนางได้ ทำให้คนเลื่อมใสชื่นชมจากใจได้

ต่อให้หวาเฉียนจวิ้นไม่อยากยอมรับ แต่ลึกๆ ในใจก็รู้สึกเช่นกันว่าแม่นางผู้นี้เหมาะสมกับองค์ราชันย์ของบ้านตนมากกว่า

แต่ว่า เขายังคงเห็นใจองค์หญิงอยู่ ปวดใจแทนองค์หญิงของบ้านตน…

มีเสียงตูมตามดังแว่วมาจากด้านบน ชัดเจนยิ่งนัก พวกตี้ฝูอีดึงดูดความสนใจของจระเข้สำเร็จแล้ว กลับมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้!

กู้ซีจิ่วเหินกายขึ้น ร่อนลงบนศิลาที่สูงที่สุดก้อนนั้น

“ทำตามที่ข้าบอกเมื่อกี้ แยกย้ายไปประจำตำแหน่ง!”

จู๋ตู๋ชิงและหวาเฉียนจวิ้นต่างพุ่งไปที่ตำแหน่งของตน หวาเฉียนจวิ้นยังคงเป็นกังวลอยู่

“แม่นางกู้ หากว่าอีกสามคนไม่เข้าใจค่ายกลนี้…”

ค่ายกลนี้ต้องการผู้พิทักษ์ห้าคน พวกเขาสามคนไม่มีทางพลาด แต่หากว่าอีกสามคนที่เหลือไม่เข้าใจค่ายกล อาจจะได้รับอันตรายจากค่ายกล เดินสะเปะสะปะจนวุ่นวาย…

“องค์ราชันย์ของพวกเจ้ารู้จักค่ายกลนี้ ส่วนอีกสองคนที่เหลือ พอถึงเวลาข้าจะดูแลให้มากหน่อย”

ระหว่างที่พูดคุยอยู่ ก็เกิดเสียงลมพัดกรรโชกขึ้นไม่ไกล เงาร่างสามสายพุ่งมาดุจดาวหาง ด้านหลังมีสัตว์ร่างใหญ่มหึมาตัวหนึ่งไล่ตามมาติดๆ

พวกตี้ฝูอีล่อจระเข้วงแหวนเงินตัวนั้นมาได้แล้ว…

สายตากู้ซีจิ่วเฉียบไว มองแวบเดียวก็เห็นเชือกม่วงเส้นนั้นที่ตี้ฝูอีลากไว้ รวมถึงอวิ๋นชิงหลัวที่ถูกห่อไว้ในเชือก

เสื้อผ้าของอวิ๋นชิงหลัวยับยุ่ง สีหน้าเขียวทะมึน ริมฝีปากซีดคล้ำ นี่เป็นสัญญาณของการถูกพิษ!

‘ตูมครืนครืน!’

ในที่สุดจระเข้วงแหวนเงินตัวนั้นก็ชนเข้ากับค่ายกลศิลาแล้ว…

ในเวลานี้เอง กู้ซีจิ่วก็เคลื่อนย้ายไปโผล่ข้างกายอวิ๋นชิงหลัว ลากนางเข้ามา ยัดยาถอนพิษเม็ดหนึ่งใส่ปากนาง จากนั้นก็กดอย่างรวดเร็ว ให้นางกลืนยาลงไป…

การเคลื่อนไหวของเธอรวดเร็วจนไม่อาจบรรยายได้ อวิ๋นชิงหลัวไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืนเลย จึงถูกยัดยาเข้าไป

หวาเฉียนจวิ้นตกใจยิ่ง คิดจะกระโจนเข้าไปตามสัญชาตญาณ

“แม่นางกู้ ท่านทำอะไรน่ะ?!”

“ช่วยนาง!”

กู้ซีจิ่วตอบเพียงสองคำ พลางส่งอวิ๋นชิงหลัวให้องครักษ์หวา

“พานางไปที่จุดคุน ตรงนั้นปลอดภัยที่สุด!”

อวิ๋นชิงหลัวคล้ายจะนึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะช่วยเหลือนาง จึงลืมตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง สายตานี้ซับซ้อนยิ่งนัก เพียงแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร หลับตาลงไปอีกครั้ง

องครักษ์หวาไม่กล้าชักช้า พาอวิ๋นชิงหลัวไปยังตำแหน่งที่บอกทันที