ท้องฟ้าถล่มอีกแล้ว 

 

 

ผืนดินทลายอีกแล้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวงงงันอีกแล้ว 

 

 

ช่วงเวลาสิบเก้าปีที่ผ่านมาเป็นมารยาแทะโลมยั่วเย้าลวงหลอกหลากหลายของนางทั้งนั้น เคยลงสนามเปิดสงครามแท้จริงขนาดนี้เสียที่ไหน? 

 

 

ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาประชิดใกล้ ลุกลามบนผิวกายนางดุจงูเพลิงตัวหนึ่งท่ามกลางการรุกรับ คล้ายจะพัดพานางไปด้วยความร้อนแรง ในความเคลิบเคลิ้มนางนึกถึงเหตุการณ์ประหลาดครู่หนึ่งซึ่งงูเพลิงถูกเผาไหม้ เข้าใจในที่สุดว่ามือสังหารต้องการจะเอ่ยอะไร และเข้าใจความระมัดระวังก่อนหน้านี้ของกงอิ้นในที่สุด งูเพลิงนี้ยังมีสรรพคุณขั้นที่สองซึ่งก็คือสรรพคุณในตำนานของฉากที่ต้องมีในนิยายทะลุมิติที่น้ำเน่าที่สุด! 

 

 

ชั่วทุกขณะนี้นางยังคงเหม่อลอยอยู่ ครุ่นคิดว่าเขาร้อนรุ่มขนาดนี้ ทำไมริมฝีปากยังคงเยือกเย็นนวลนุ่มเช่นนี้ รสชาติอร่อยในความทรงจำเลือนราง บริสุทธิ์ดุจน้ำพุหลั่งริน เจือด้วยความเย็นใสบริสุทธิ์ของภูตระหง่านธารหิมะและกลิ่นหอมอ่อนประหนึ่งดอกบัวหิมะ… 

 

 

นางเม้มริมฝีปาก ชั่วทุกขณะนี้กลับไม่กล้าวางแผนยั่วเย้าเขาอีก ส่วนเขาแม้ว่าร่างกายร้อนรุ่ม ทว่าแข็งทื่อเล็กน้อยคล้ายกำลังพยายามควบคุมตนเองโดยตลอด อีกทั้งคล้ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขั้นต่อไปควรกระทำเช่นไร เขาเพียงร้อนรุ่มอยู่ กลัดกลุ้มอยู่ สาดสะท้อนผิวขาวราวหิมะกับริมฝีปากแดงของนาง อ่อนนุ่มราวไร้กระดูกท่ามกลางการพัวพันสีแดงสดผืนหนึ่ง เงาร่างอ่อนช้อย ท่วงท่าสั่นไหว 

 

 

เขาโอบกอดนางยิ่งลึกล้ำยิ่งแนบแน่น ค้นหาความเยือกเย็นซึ่งเป็นของนางอย่างลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ทว่าร่นถอยอีกครั้งในพริบตาต่อมา จากนั้นครวญครางแผ่วเบาด้วยเพราะความร้อนแผดเผาร่างกาย นางไม่เคยเห็นท่าทางสูญเสียการควบคุมเช่นนี้ของเขามาก่อน อดจะยิ้มแย้มสัมผัสริมฝีปากของเขาไม่ได้ จนเขาซุกลงมาลึกล้ำมากขึ้น แลกเปลี่ยนเชื้อเชิญกลิ่นหอมของกันและกัน 

 

 

… 

 

 

ร่างกายนางแข็งทื่อกะทันหัน ร่นถอยอย่างลุกลี้ลุกลน ร้องเสียงดังว่า “ไม่! ไม่ใช่ยามนี้!” 

 

 

เขาเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำขลับเฉียดผ่านด้วยความสับสนและงงงวยสายหนึ่ง 

 

 

ข้างนอกพลันมีเสียงหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหว ทั่วทั้งตำหนักใหญ่สั่นสะท้าน ไอควันปานเนื้อหยกกลุ่มหนึ่งจากหลังคาตำหนักล่องลอยลงมา ที่ซึ่งไอควันผันผ่าน อากาศที่แต่เดิมถูกเศษเสี้ยวงูเพลิงแปดเปื้อนจนกลายเป็นสีแดงอ่อนถูกชำระล้างโดยพลัน กลายเป็นสีโปร่งแสงผืนหนึ่ง สีโปร่งแสงเยือกเย็นนั้นแพร่ขยายอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าสู่นัยน์ตาของเขา 

 

 

แทบจะพริบตานั้น เขาเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมาแล้ว พอก้มหน้ามองอดจะหน้าถอดสีไม่ได้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวคว้าเสื้อผ้าอย่างอลหม่าน คว้าซ้ายครั้งหนึ่งคว้าขวาครั้งหนึ่งวางแผนปกปิดเพื่อเขาและเพื่อตนเอง พลางกล่าวสะเปะสะปะว่า “ที่จริงก็ไม่มีอะไร…ที่จริงข้าเข้าใจเจ้านะ…ที่จริงเป็นเพราะเชือกงูเพลิงบ้าบอนั่นทำพิษทั้งนั้น…เรื่องนั้น…เรื่องนี้…” 

 

 

กงอิ้นมองนางอย่างแน่นิ่งอยู่เนิ่นนาน จิ่งเหิงปัวมองเส้นสีแดงในเบื้องลึกนัยน์ตาของเขาแพร่ขยายออกมาทีละน้อยอีกครั้งอย่างตกตะลึง หรือว่าไอควันนั้นไม่ได้กำจัดอารมณ์ร้อนแรงของงูเพลิงจนหมดสิ้น? 

 

 

ทว่าคราวนี้กงอิ้นไม่ได้ถูกงูเพลิงควบคุมไว้อีก มือเขากวักเพียงครั้ง กระบี่บางสีดำเล่มนั้นคำรามพุ่งมา พอจิ่งเหิงปัวมองเห็นทิศทางของกระบี่ กรีดร้องว่า “อย่า!” 

 

 

ทว่ากระบี่เร็วกว่าเสียงร้องของนาง เฉียดผ่านหัวไหล่เขาดังฉึบเสียงหนึ่ง นำมาซึ่งโลหิตแดงจนออกม่วงกลุ่มหนึ่งสาดกระเซ็นอยู่กลางอากาศ 

 

 

โลหิตหยดหนึ่งกระเซ็นสู่หว่างคิ้วของจิ่งเหิงปัว แดงฉานดุจดอกท้อ นางลูบคลำโลหิตร้อนผ่าวนั้นอย่างตกตะลึง พึมพำว่า “ขนาดนี้เชียวเหรอ…” 

 

 

ทว่าหลังจากกงอิ้นแทงโลหิตพิษออกมาด้วยตนเอง เขาเหินกายลุกขึ้น ยามนี้นี่เองมีเสียงหนึ่งดังก้องอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียง “เปรี้ยง” เสียงหนึ่ง 

 

 

นางชะงักงัน กระโดดขึ้นมาร้องลั่นว่า “สายฟ้า!” 

 

 

คือสายฟ้า ซ้ำยังเป็นสายฟ้าที่รุนแรงเป็นพิเศษ มิฉะนั้นคงไม่อาจแว่วเข้าสู่ตำหนักใหญ่ที่ปิดสนิทแห่งนี้ 

 

 

เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นได้เฉียดกายออกไปแล้ว จิ่งเหิงปัวมองความเร็วปานสายฟ้าฟาดของเขา ตื่นตะลึงว่าถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว การสะกดของเขาคลายออกแล้ว 

 

 

นางนับนิ้วมือ งงงวยดุจหลงลืมบางสิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะตำหนิเขาที่หายดีได้ไม่ค่อยทันเวลาหรือควรโศกเศร้าที่หายดีได้ทันเวลาเกินไป? 

 

 

ประตูตำหนักเปิดออกแล้ว นางไม่ทันได้ครุ่นคิดให้มากมายด้วยเป็นห่วงคำพยากรณ์ของตนเอง จึงวิ่งตามออกไป 

 

 

แวบแรกมองเห็นข้างนอกมีฟ้าผ่าฟ้าร้อง ฝนตกหนักดุจน้ำตก 

 

 

แวบสองมองเห็นฝูงชนที่วิ่งห้อกลางฝนตกหนักดุจน้ำตก โคมวังที่สั่นไหวทั่วทุกหนแห่ง 

 

 

แวบสามมองเห็นกงอิ้นขึ้นสู่ที่สูงแล้ว ยืนตรงแน่วท่ามกลางฝนตกหนัก ไร้สิ่งบดบังแม้เพียงน้อย คล้ายหวังใช้ฝนกระหน่ำเช่นนี้ชำระล้างอารมณ์ที่ไม่ควรมีบางอย่างทิ้งไปจนสิ้น เหมิงหู่รีบร้อนตามไปกางร่มให้เขา ถูกเขาสะบัดแขนเสื้อโจมตีจนร่วงจากกำแพงรั้ว 

 

 

แวบสี่มองเห็นหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ 

 

 

เดิมทีความมืดยามราตรีดำขลับ ยามนี้เสียงเปรี้ยงดังขึ้นพอดี อสนีบาตสายหนึ่งตรงขอบฟ้าผ่าลงมาชำระล้างท้องฟ้าครึ่งผืนให้เป็นสีขาว ภายใต้ท้องฟ้าสีขาวนั้นคือหอคอยสูงสีดำที่กำลังค่อยๆ พังทลายลง 

 

 

สำเร็จแล้ว! 

 

 

ที่ซึ่งไกลโพ้นคำรามร้องอย่างตกตะลึง รอบด้านจิ้งถิงกลับเงียบเชียบดุจวายชนม์ ผู้คนนับมิถ้วนยืนเงยหน้าเหม่อลอยอยู่ในสายฝน มองดูหอคอยสูงศักดิ์สิทธิ์ที่สายฟ้าหลบหลีกนับร้อยปี ตั้งตระหง่านชั่วนิรันดร์ในตำนาน สัญลักษณ์แห่งเกียรติศักดิ์เทพประทานและอำนาจบารมีไร้เทียบเทียมของตระกูลกองเซ่นไหว้หอนั้น ค่อยๆ เ**่ยวเฉาทีละชุ่นภายใต้ผืนนภา 

 

 

ดั่งมองดูตำนานช่วงหนึ่งจบสิ้น ยุคสมัยยุคหนึ่งสิ้นสุด ตระกูลหนึ่งพินาศดุจซากสถาน ช่วงชีวิตครั้งใหม่ช่วงหนึ่งจะผุดขึ้นกลางซากปรักหักพัง 

 

 

สำหรับจิ่งเหิงปัว กลับคล้ายมองดูภาพยนตร์เงียบเรื่องจุดจบของโลกที่สะท้านใจสะเทือนวิญญาณ 

 

 

ยังไม่ได้เห็นผู้อื่นสร้างตึกสูงแต่มองเห็นตึกของผู้อื่นพังทลายแล้ว ประดุจผลักด้วยมือเปล่าแผ่วเบาเพียงครั้ง สิ่งที่พังทลายคือหอคอยสูงที่ตั้งตระหง่านเนิ่นนานนี้ และคือวงล้อมมหาอำนาจ ไม่เปลี่ยนแปลงตี้เกอวงนี้ 

 

 

ส่วนค่ำคืนมืดมิดฝนดำขลับดุจน้ำตกนี้ กลางนครตี้เกอ ไม่รู้ว่ามีคนอีกมากเพียงใดออกจากบ้านอย่างเงียบเชียบ ยืนอยู่บนที่สูง ใช้แววตาและอารมณ์ซับซ้อนตกตะลึงมองดูการพังพินาศสิ้นสุดของตระกูลเซ่นไหว้ 

 

 

สายฝนหลั่งรินดุจกระบวยสวรรค์พลิกคว่ำ ทั่วทั้งพระราชวังกระทั่งทั่วทั้งตี้เกอ ต่างตื่นตะลึงอย่างไร้สรรพเสียงท่ามกลางฝนตกหนัก ทว่าทิศทางที่หอคอยสูงไกลโพ้นล่มสลายพลันแว่วเสียงคร่ำครวญยาวนานเสียงหนึ่ง 

 

 

ทั้งแหลมคม โศกศัลย์ เหลือเชื่อ แลเสียดแทงจิตใจของทุกคนคล้ายอสนีบาตเยือกเย็นสายหนึ่ง 

 

 

คือเสียงของซังต้ง 

 

 

ได้ยินเสียงนี้ กงอิ้นที่ยืนนิ่งอยู่กลางสายฝนโดยตลอดพลันขยับเขยื้อนแล้ว สะบัดแขนเสื้อลงจากสันกำแพง เอ่ยกับเหมิงหู่ที่เดินขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “เคลื่อนพลคั่งหลง ระมัดระวังเต็มกำลัง” 

 

 

เบื้องหน้าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ ซังต้งคุกเข่าอยู่บนพื้น ฝนตกหนักกระทบบนชุดคลุมดำมืดของนางอย่างดุเดือด พาขอบชุดคลุมสีดำเข้าสู่น้ำโคลนไม่หยุดหย่อน ทั่วร่างนางคล้ายไร้ซึ่งความรู้สึกโดยสิ้นเชิง เพียงเงยหน้าจ้องมองหอคอยสูงที่ค่อยๆ พังพินาศอย่างเอาเป็นเอาตาย หยาดฝนสีเหลืองที่เจือด้วยทรายกำลังกลิ้งลงมาจากบนลำคอสีขาวราวหิมะ 

 

 

บนหอคอยสูงมีก้อนหินท่อนไม้ที่พังทลายร่วงหล่นมาอย่างต่อเนื่อง ร่วงลงรอบกายนาง น้ำโคลนขุ่นขลักสาดกระเซ็น 

 

 

“ใต้เท้า! ที่แห่งนี้อันตราย!” กองเซ่นไหว้หญิงนางหนึ่งพุ่งเข้ามา ลากแขนของนางไว้ ร้องว่า “รีบหลีกไป!” 

 

 

กองเซ่นไหว้หญิงรีบเร่งลากซังต้งไปยังสถานที่ปลอดภัย ทว่าซังต้งไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงเศษเสี้ยว พลันหันหน้าคว้าแขนของกองเซ่นไหว้หญิงไว้ในครั้งเดียว นางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ซังเชี่ยว หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้จบสิ้นแล้ว ตระกูลซังจบสิ้นแล้ว!” 

 

 

“ไม่! พี่หญิง!” น้องสาวที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลซังร้องไห้เสียงดังกลางสายฝนว่า “ตราบใดที่ท่านยังอยู่ ตระกูลซังจะไม่จบสิ้น! มันเป็นเพียงความบังเอิญ! ลุกขึ้น ท่านลุกขึ้นสิ!” 

 

 

ซังต้งเชิดศีรษะขึ้น มองดูหอคอยสูงที่สูญเสียส่วนยอด ไม่ต้องไปตรวจสอบนางก็รู้ว่ากระบี่รับอสนีที่บรรพบุรุษแอบฝังซ่อนไว้ที่นั่นได้หายไปแล้ว 

 

 

นางถึงขนาดไม่รู้ว่ามันหายไปได้อย่างไร 

 

 

ใช้สอยองครักษ์นับร้อยนาย ล้อมรอบทั้งข้างในและข้างนอกของหอคอยอย่างแน่นหนา ปรับเปลี่ยนกับดักทุกสิ่งไปยังระดับอันตรายที่สุด เพียงมีแมลงวันบินเข้าไปตัวหนึ่งย่อมจะถูกดวงตาทุกดวงพบเจอ ถูกกับดักสิบประการโจมตีสังหารร่างเหลวกระดูกแหลก นางเชื่อว่าต่อให้กงอิ้นมาด้วยตนเอง ยังไม่อาจทำลายการป้องกันเช่นนี้โดยเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง 

 

 

นางตัดสินใจเด็ดขาดเนิ่นนานแล้วว่า ไม่ว่าผู้ที่มาจะเป็นผู้ใด ต้องให้นางมาได้ไปไม่ได้ หากผู้ที่มาเป็นจิ่งเหิงปัวนั่นย่อมดียิ่งขึ้นไปอีก หอคอยสูงกองเซ่นไหว้ฝังร่างราชินีนับมิถ้วน เต็มใจฝังนางเพิ่มอีกสักคนหนึ่งยิ่งนัก 

 

 

ทว่า ไม่มี 

 

 

ไม่มีผู้ใด ไม่มีผู้ใดเป็นแน่ ผู้ที่ป้องกันยอดหอคอยสูงต่างเป็นคนไว้ใจที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีของนาง ทุกผู้คนเอ่ยสัญญาสาบานว่าไม่มีผู้ใดเป็นแน่ 

 

 

องครักษ์ของนางไม่ได้รับบาดเจ็บสักคนเช่นกัน 

 

 

ซังต้งค้ำยันเรือนร่างอย่างลำบาก ลุกยืนขึ้นมาท่ามกลางฝนตกหนักซู่ซู่ 

 

 

ข้างหลังนาง องครักษ์ทุกนายยืนแกร่วกลางสายฝนเช่นกัน ใบหน้าซีดเผือดงงงวยไปตามกัน 

 

 

ซังต้งยืนตัวตรง อดกลั้นความโศกเศร้าจนดวงใจแทบแหลกสลาย 

 

 

น้องหญิงเอ่ยได้ถูกต้อง นางไม่อาจล้มลง หากนางล้มลง ตระกูลซังคงจบสิ้นจริงแล้ว 

 

 

หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้พังทลายแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ได้ วันนี้เทพไม่ช่วยเหลือนาง ทว่ากองกำลังที่ตระกูลซังก่อสร้างมาหลายยุคสมัยขนาดนี้ทั้งภายนอกภายในราชสำนักและนครตี้เกอ เทพก็แย่งชิงไปไม่ได้! 

 

 

เสียงฝนดุเดือดดุจเพลงสงคราม บางครั้ง การพังพินาศเป็นเพียงการเริ่มต้นครั้งหนึ่ง เรื่องบางเรื่องไม่พังทลายไม่ก่อสร้าง ยืนขึ้นอีกครั้งจากบนซากปรักหักพัง จุดเริ่มต้นก็สูงกว่าผู้อื่นแล้ว 

 

 

นางมองรอบร่างตน พลันตะโกนก้อง 

 

 

“องครักษ์กองเซ่นไหว้อยู่หรือไม่!” 

 

 

เสียงตอบรับดุจสายฟ้า 

 

 

“อยู่ทั้งสิ้น!” 

 

 

“ขานจำนวนมา!” 

 

 

“สี่ร้อยถ้วน ผู้บัญชาการหนึ่ง ผู้นำทองแดงสิบ ผู้นำเหล็กสี่สิบ องครักษ์สามดาวสี่สิบเก้า องครักษ์สองดาวสามร้อย ทหารม้านอกนั้นครบ!” 

 

 

“อาวุธพิฆาตสวรรค์อยู่หรือไม่!” 

 

 

“อยู่!” 

 

 

นางค่อยๆ ผลิแย้มรอยยิ้มในสายฝน เยือกเย็นดุจดอกถังตี้[1]ร่วงหิมะ 

 

 

มือยกขึ้นเพียงครั้ง ในฝ่ามือมีกริชเพิ่มมาเล่มหนึ่งไม่รู้ยามใด สว่างราวหิมะ น้ำฝนไม่อาจหยุดยั้งบนผิวกริช หลั่งไหลรินอย่างรวดเร็ว 

 

 

มือยกขึ้นอาวุธสะบั้นลง 

 

 

ผกาโลหิตดอกหนึ่งผลิบานตรงหน้าอก ย้อมม่านพิรุณผืนหนึ่งแดงฉานดุจม่านโลหิต 

 

 

“ใต้เท้า!” 

 

 

ซังต้งสะบัดมือเพียงครั้ง ใบหน้าซีดเผือดได้ฟื้นคืนรอยยิ้มสุขุมแล้ว 

 

 

“หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกคนลักลอบโจมตีทำลาย กองเซ่นไหว้ถูกลอบสังหาร” นางค่อยๆ เอ่ยว่า “ตามกฎแห่งแคว้นมาตราที่เจ็ดสิบสอง นี่เป็นเหตุฉุกเฉินที่สามารถจัดเป็นเหตุการณ์ระดับแคว้นประเภทหนึ่ง ยามนี้วิกฤตการณ์ทุกขณะ องครักษ์กองเซ่นไหว้ควรทำอย่างไร?” 

 

 

“ปกป้องนาย! ไล่ล่าศัตรู! ป้องกันหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้!” เสียงตอบรับดังครืน 

 

 

“เช่นนั้น ไปเถิด!” 

 

 

เกราะเหล็กสะท้อนแสงเหน็บหนาวสีครามกลางสายฝน น้ำโคลนสีเหลืองน้ำตาลกระเซ็นทั่วทิศใต้รองเท้าหุ้มข้อยาวที่ประดับเกราะหนาม แสงเหน็บหนาวแห่งเงาร่างถือกระบี่แต่ละสายพุ่งออกจากหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ 

 

 

ซังต้งเปรอะโลหิตครึ่งร่าง รอยยิ้มเกาะผนึกตรงริมฝีปาก 

 

 

“ไม่ว่าเจ้าได้รับชัยชนะอย่างไร หากสิ้นชีพแล้ว…” นางดีดเศษไม้เปื้อนโลหิตผืนหนึ่งจากออกหัวไหล่อย่างแผ่วเบา 

 

 

“คงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป” 

 

 

 

 

 

[1] ชื่อดอกไม้สีเหลือง บานในฤดูใบไม้ผลิ