มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 620
หลัวซิวไม่ได้สนใจเจียงหวูจี้ผู้นี้ หากอีกฝ่ายต้องการแย่งวรยุทธ์ของตนก็ต้องมาดูกันทีหลังว่าเขามีความสามารถเพียงพอหรือไม่

แต่ความรู้สึกของการถูกคนจดจ้องอยู่นั้น ทำให้หลัวซิวรู้สึกอึดอัดใจ เขาหันไปมองเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิว หากไม่ได้เป็นเพราะภูตอัคคีเปลวเยือกนั่น เหตุใดเขาต้องมาแสดงไพ่เด็ดมากมายของตัวเองเพื่อดึงดูดสายตาของคนอื่นด้วยเล่า

ตามแผนการเดินของเขา ขอเพียงได้มีรายชื่อว่าฝึกตนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างก็เพียงพอแล้ว ทว่าคราวนี้เขากลับมาเพื่อแย่งตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง

การแย่งเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าชนะหนึ่งสนามแล้วจะสามารถยกระดับขึ้นได้แล้ว แต่ทุกคนจะต้องประลองกับอีกเก้าคนที่เหลือที่มีความสามารถโดดเด่น การจัดลำดับรายชื่อจะอาศัยจำนวนผลแพ้ชนะ และความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้มาเป็นตัวตัดสิน

“หลัวซิว ซางหลัน!”

ลำดับของการประลองเปลี่ยนแปลงไป ไม่นานหลังจากนั้นก็มาถึงการต่อสู้สนามที่สองของหลัวซิว

“ซางหลัน?”

เมื่อได้ยินชื่อนี้หลัวซิวจึงหันไปมองยังชายชุดม่วงที่ใบหน้าเคลือยรอยยิ้มอยู่โดยอัตโนมัติ

ขณะที่หลัวซิวหันไปมองอีกฝ่าย ชายชุดม่วงที่มีนามว่าซางหลันก็หันมามองเขาเช่นกัน

การได้เข้ามาเป็นสิบอันดับแรกนั้น ตามกฎของการประลองแล้ว คนทั้งสองย่อมรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วคึกครั้งนี้จะต้องเวียนมาถึง

ในตอนก่อนที่เขาอยู่ที่ภัตตาคารเทียนอีนั้น ซางหลันก็รู้สึกเช่นกันว่าหลัวซิวไม่ธรรมดา และสุดท้ายก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้

“พี่ซางหลัน สู้ๆ”

ในกลุ่มคนที่มาชมการประลองด้านล่าง สาวน้อยกระโปรงแดงยิ้มฟันขาวกำลังโบกมือมา ดวงตาเป็นประกายใสของนางจ้องไปที่ซางหลันที่อยู่กลางสนาม ในดวงตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม

“หลัวซิว สู้ๆ”

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ตะโกนขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจหลัวซิวเช่นกัน

สตรีทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ไกล จึงหันไปสบตากันด้วยความแค้น

“พี่ซางหลันต้องเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้ว” สาวน้อยจ้องเหยียนเยว่เอ๋อร์เขม็งแล้วพูดย้ำทีละคำ

“เฮ้อ ไม่เสมอไปหรอก” เหยียนเยว่เอ๋อร์เลิกคิ้ว

สำหรับเหยียนเยว่เอ๋อร์นั้น ประสบการณ์ชีวิตทำให้นางข้ามผ่านวัยของการเป็นสาวน้อยเอาแต่ใจไปแล้ว แต่หลังจากที่ได้ล้างแค้นรวมทั้งเวลาที่ติดตามหลัวซิวที่นานขึ้นเรื่อยๆ นิสัยของนางจึงค่อยๆ ร่าเริงขึ้น และกลับมามีนิสัยสาวน้อยในแบบฉบับของนางอีกครั้ง

แน่นอนว่าหลัวซิวเห็นสาวน้อยทั้งสองเผชิญหน้ากันอยู่ท่ามกลางฝูงชน จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพรวดออกมา เพราะเขาชอบเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์ในแบบร่างเริงเช่นนี้

“เริ่มเถอะ”

ในสนาม ซางหลันไม่ได้กล่าวคำพูดพิธีรีตองใดๆ ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มจืดชืด ดวงตาของเขาจ้องไปที่หลัวซิวด้วยความกระหายในชัยชนะ

ซางหลันผู้นี้กำเนิดมาจากตระกูลยุทธ์ในอาณาจักรใต้ แต่กลับไม่ใช่คนของตระกูลยุทธ์ แต่เป็นเพราะฝีมือและพรสวรรค์การฝึกตนที่ไร้เทียมทานของเขาทำให้ตระกูลยุทธ์ให้ความสำคัญ

เขาไม่เหมือนอย่างหลัวซิวที่ปรากฏตัวบนเวทีประลองยุทธ์ด้วยท่วงท่าอาชาดำ แต่ซางหลันผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในบรรดาวัยรุ่นอาณาจักรใต้ และไม่เสียชื่อที่เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทาน

“ข้าจะลงมือแล้ว”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงหลัวซิว ร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิมโดยใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนเคลื่อนที่เขาใส่ซางหลัน

ภายในช่วงเวลาสั้นๆ คนในสนามต่างพากันหยุดหายใจ เหยียนเยว่เอ๋อร์เองก็จิกชายเสื้อเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว แม้ว่านางจะเชื่อมั่นในตัวหลัวซิวมาก แต่จากการประลองก่อนหน้านี้ นางก็ได้เห็นฝีมือของชายชุดม่วงที่มีนามว่าซางหลันผู้นี้แล้ว พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าผามีดจากสำนักดาบเทพที่หลัวซิวประลองไปด้วยก่อนหน้านี้มาก

หลังจากนั้นเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่นางกับหลัวซิวเจอกันครั้งแรกในทันที นางรู้สึกหวนรำลึกถึงมันอย่างมาก เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ช่วงเวลาหนุ่มสาวในตอนนั้นได้พัฒนามาถึงเหตุการณ์อย่างตอนนี้เสียแล้ว