ตอนที่ 39 ฉือโฮ่วได้โชคครั้งใหญ่! Ink Stone_Fantasy
“หมดเวลาคุยแล้ว ได้เวลาส่งเจ้าไปตามทางเสียที”
ขณะที่หวังลู่กวัดแกว่งกระบี่แห่งเขาคุน กระบี่เล่มหนาหน้าตาเรียบๆ ก็ปลดปล่อยไอหม่นมัวซึ่งไม่ต่างจากนรกขุมที่เก้าออกมา ทำเอาอาเซี่ยที่อยู่ไม่ไกลตัวสั่นอย่างหวาดกลัว
ไอที่ว่าคือความเดือดดาลของจิตวิญญาณกระบี่สารทอาภา อาเซี่ยใช้วิธีเลวทรามวางแผนเล่นงานเด็กสาวหูแมวหลิงเยียนและหลิวหลีไปพร้อมๆ กัน เรื่องนี้ทำให้สารทอาภาซึ่งเอ็นดูหลิวหลีมาตลอดและเห็นอกเห็นใจเด็กสาวหูแมวรู้สึกโกรธแค้นจนทะลุจุดเดือด ตอนนี้ตบะของหวังลู่บรรลุขั้นพิสุทธิ์แล้ว และบนอาวุธศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ก็เหลือสลักที่ยังไม่ได้ปลดเพียงสองสลักเท่านั้น ทำให้มันสามารถปลดปล่อยพลังได้มหาศาล สารทอาภาไม่จำเป็นต้องปรากฏร่างออกมา แค่เพียงความโกรธเกรี้ยวของนางอย่างเดียวก็ทำเอาอาเซี่ยตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวได้
ในทางทฤษฎี หากอาวุธมีพลังอิทธิฤทธิ์เพียงพอ จิตวิญญาณของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่มีระดับสูงพอก็สามารถต่อสู้ลำพังได้ หนำซ้ำความแข็งแกร่งนั้นย่อมไม่น้อยด้วย ดังนั้นเมื่ออาเซี่ยเห็นความกระเหี้ยนกระหือรือของจิตวิญญาณกระบี่แห่งเขาคุน ความหวาดผวาในใจของเขาก็ทวีความรุนแรงขึ้น
อย่าบอกนะว่าหมอนี่ยอมสังเวยอาวุธศักดิ์สิทธิ์เพื่อเลี่ยงข้อผูกมัดที่มีต่อคำสาบานกับปีศาจในใจ ถ้าเป็นเช่นนั้น หากอีกฝ่ายสกัดผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไว้ เขาย่อมให้จิตวิญญาณกระบี่เขาคุนต่อสู้กับข้าแน่ๆ…
หากเป็นราชาพยัคฆ์ตัวจริง คนผู้นั้นอาจไม่เกรงกลัวการคุกคามจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับล่างเช่นนี้ แต่นี่เขากลัว!
ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนักและไม่อาจขยับตัวได้ แต่ต่อให้อาการบาดเจ็บถูกรักษาแล้วก็เถอะ ด้วยความสามารถของเขา หากใช้พลังของราชาพยัคฆ์ให้เป็นประโยชน์ได้สักสิบส่วนก็ถือว่าโชคดีแล้ว ดังนั้นการต้องรับมือกระบี่แห่งเขาคุนที่กระหายจะต่อสู้เช่นนี้ เขาย่อมต้องตายอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้อาเซี่ยก็รู้สึกขวัญหนีขึ้นมา ไพ่ที่มั่นใจที่สุดก็ล้มเหลวไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เหลือความสบายใจอีก ทว่าการเสียหน้ากับการถูกต้อนให้จนตรอกถึงขั้นสูญเสียชีวิตนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โชคดีที่เขาเป็นคนรอบคอบ จึงได้เตรียมไพ่ใบอื่นไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ตอนนี้ได้เวลาเผยโฉมไพ่ที่ซ่อนไว้ซึ่งจะส่งผลข้างเคียงมหาศาลเสียที ทั้งมันยังเป็นไพ่สำคัญที่สุดของเขาอีกด้วย
“หวังลู่ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก!”
“เพราะจะทำให้มือข้าสกปรกน่ะหรือ ไม่เป็นไร เปื้อนนิดเปื้อนหน่อยข้าไม่ถือ” หวังลู่พูดเสียงเรียบ ท่าทีของเขาดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีพันธะกับคำสาบานกับปีศาจในใจ แต่อาเซี่ยก็ยังกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะปรี่เข้ามาพร้อมกระบี่แห่งเขาคุนในมือและสังหารเขาอย่างโหดเหี้ยมจนไม่เหลือแม้ร่างให้เห็น
ดังนั้นเขาจึงรีบพูดต่อ “ตอนนี้คนของข้าอยู่ในตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์!”
ทันทีที่เขาปล่อยไพ่ใบนี้ออกมา หวังลู่ก็พลันเปล่งเสียงเล็กน้อย ทั้งยังคลายท่าทีลงบางส่วน “ทะเลสาบวารีสวรรค์?”
เมื่อเห็นว่าไพ่ของตนได้ผล อาเซี่ยก็พลันรู้สึกมีความสุขราวกับคนที่หนีจากความตายได้สำเร็จ ทว่าเหตุการณ์ยังไม่คลี่คลายดี หวังลู่อาจเพิกเฉยกับทุกเรื่องขึ้นมาเมื่อไรก็ได้… ดังนั้นอาเซี่ยจึงไม่อาจนิ่งดูดาย สมองของเขาพยายามคิดหาคำพูดที่จะให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
“เจ้ามาที่แคว้นสายหมอกเพื่อเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์และแอบอ้างเป็นผู้บำเพ็ญเซียนของตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์… นั่นเพราะเจ้ามีศิษย์น้องหญิงในสำนักกระบี่วิญญาณที่มาจากตระกูลนั้น ข้าพูดถูกไหม”
หวังลู่พยักหน้า “ถูกแล้ว ข้ากับหลิวหลีใช้ประโยชน์จากสถานะตระกูลของนาง… ดังนั้นตอนที่เจ้ารู้เรื่องนี้ เจ้าเลยส่งคนไปที่ทะเลสาบวารีสวรรค์สินะ อืม แม้ตระกูลเยวี่ยจะมีชื่อเสียง แต่ในหมู่คนสองรุ่นนี้ ยกเว้นเยวี่ยซินเหยาก็ไม่มีผู้ใดโดดเด่น แม้แต่หัวหน้าตระกูลก็บรรลุเพียงขั้นสร้างแกนระดับสูงเท่านั้น หนำซ้ำแม้จะมีขั้นตบะแต่พวกเขาก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้ ดังนั้นทั้งที่เป็นตระกูลมีชื่อเสียง แต่ความแข็งแกร่งกลับไม่ใช่จุดแข็งของพวกเขา หากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์หน้าไม่อายของพวกเจ้าคิดจะใช้กำลังบีบบังคับคนตระกูลเยวี่ย พวกเขาย่อมไม่อาจต้านทานได้แน่ เจ้าเลยคิดจะเอาเรื่องนี้มาขู่ข้างั้นสินะ”
อาเซี่ยกล่าว “ข้าไม่กล้าใช้คำว่าขู่ แต่หวังว่าเจ้าจะใคร่ครวญเรื่องนี้ให้ดี อย่าให้มันกลายเป็นสถานการณ์ที่สูญเสียกันทั้งสองฝ่ายเลย”
หวังลู่เหยียดยิ้ม “สูญเสียกันทั้งสองฝ่าย? นี่เจ้าเป็นบ้ารึไง หากคนของตระกูลเยวี่ยตายไปจริงๆ มันจะกระทบอะไรกับข้ากันเล่า”
อาเซี่ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าแสร้งทำไปหน่อยเลย เท่าที่ข้ารู้มาเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น แม้เจ้าจะสร้างชื่อด้วยการสร้างความโกลาหลบนโต๊ะพนันในการแข่งขันระหว่างสองสำนักเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่มีข้อมูลว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่โหดร้ายเลือดเย็น ในทางตรงข้ามข้อมูลส่วนใหญ่ที่ข้ารู้มาชี้ให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนจิตใจเที่ยงธรรม”
“ฮ่าๆๆ กล่าวได้ดี” หวังลู่หัวเราะเสียงดัง “แม้ในทางทฤษฎี เจ้าจะเป็นผู้เดียวในหมู่คนจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่ต้องรับผิดชอบหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับตระกูลเยวี่ย แต่ข้าย่อมไม่ทำเป็นหูหนวกตาบอดแน่ อย่างไรเสียไหนๆ ข้าก็แอบอ้างใช้ชื่อตระกูลของศิษย์น้องหญิงไปแล้ว มันก็แปลว่าหากข้าเกิดมีศัตรู ตระกูลของนางย่อมถูกดึงมาพัวพันแน่ แต่ขอถามหน่อยเถอะ ไหนๆ เจ้าก็จ่ายเงินไปตั้งมากเพื่อซื้อข้อมูลของข้าจากพวกขายข้อมูล มีตรงไหนบอกไว้รึเปล่าว่าข้าน่ะโง่”
อาเซี่ยผงะ นี่มันคำถามประเภทไหนกันแน่
คำตอบที่จริงจังของคำถามนี้…แน่นอนว่าคือไม่มี ตรงกันข้ามข้อมูลต่างๆ ล้วนชี้ให้เห็นความเฉลียวฉลาดของหวังลู่ทั้งสิ้น
หากอิงตามระดับความฉลาดเพียงอย่างเดียว อาจไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเขาเฉลียวฉลาดและคิดคำนวณได้แม่นยำกว่าเหล่าอัจฉริยะที่โด่งดังในอาณาจักรเก้าแคว้น แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนโง่แน่ๆ และหากตัดสินตามประสบการณ์ของอาเซี่ย…แม้เขามักจะอวดอ้างว่าตัวเองหลักแหลม แต่ตั้งแต่ได้เจอหวังลู่ การเผชิญหน้ากันแต่ละครั้งของพวกเขาจบลงที่อาเซี่ยพ่ายแพ้รวด! และตอนนี้หวังลู่ถามคำถามเช่นนี้กับเขา เป็นไปได้ไหมว่า…
“ความจริงข้าก็เดาไว้แล้วว่าคนชั่วบางคนอาจใช้วิธีจับตัวประกันเพื่อข่มขู่ ข้าเลยเตรียมการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว เจ้าคิดว่าแผนชั่วช้าของตัวเองจะทำให้เจ้าได้ชัยชนะ แต่ความจริงมันกลับทำให้เจ้าตกลงไปในโคลนตมต่างหาก” หวังลู่กล่าว เห็นได้ชัดว่าแม้ร่างของเขาจะไม่ใหญ่โตเท่าราชาพยัคฆ์ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเหยียดหยามและสังเวชอีกฝ่าย “เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเศร้าจริงๆ”
“เจ้า! เจ้าพยายามจะปั่นหัวข้าใช่ไหม!?” ใจของอาเซี่ยสับสนอย่างหนัก เขาพลันควบคุมอารมณ์ไม่ได้ “คิดว่าข้าโง่เง่าหรือ เจ้าบอกว่าเดาได้ตั้งแต่ต้นและเตรียมการณ์ที่จำเป็นไว้แล้ว หากเจ้ามองการณ์ไกลได้จริงๆ ทำไมถึงไม่คิดสงสัยว่าข้าเป็นคนส่งเด็กแมวหลิงเยียนนั่นเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มเจ้า เจ้ารับนางมาอยู่ใต้การดูแลด้วยสติครบถ้วน แต่สุดท้ายนางกลับทำให้ศิษย์น้องของเจ้าบาดเจ็บสาหัส!”
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของอาเซี่ย รอยยิ้มของหวังลู่ก็แข็งค้าง คิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดมุ่น
หวังลู่เหมือนถูกถ้อยคำเหล่านั้นตอกใส่หน้าเต็มๆ เป็นเขาที่ตัดสินใจผิดพลาดและทำให้หลิวหลีต้องทรมานกับผลของมัน แม้ผลที่ออกมาจะไม่ได้เลวร้ายที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าไม่กระทบกับความน่าเชื่อถือของหวังลู่ หากไม่ใช่เพราะหลิวหลีสั่งสมความสามารถในการต้านพิษมานานนับปี สถานการณ์ในตอนนี้คงน่าหนักใจกว่านี้มาก แม้การถูกสวะหน้าตาน่าอนาถด่ากันซึ่งๆ หน้าจะเป็นเรื่องที่พ้นสมัยไปแล้ว แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ลืมไม่ลงจริงๆ
เมื่อเห็นว่าหวังลู่ยังคงเงียบอยู่ อาเซี่ยก็พลันคิดไปว่าถ้อยคำของเขานั้นถูกต้อง เขาจึงระเบิดหัวเราะออกมา “แน่ละว่าข้าเดาถูก! เจ้าก็แค่เกทับข้าเท่านั้น!”
ความจริงแล้วหากอยู่ในสภาพปกติ แม้อาเซี่ยจะมีข้อบกพร่องมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ง่ายที่เขาจะหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ แต่นี่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาถูกหมัดเพลิงพิโรธอัดถึงสามครั้ง ทำให้จิตแห่งเต๋าที่ควบคุมด้านเหตุผลเกิดความเสียหายจนทุ่งหญ้าแห่งจิตติดไฟ และไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีก
ขณะยิ้มเขาก็หยิบกระจกแก้วออกมา “ข้าให้ฉือโฮ่วพาสัตว์ภูตไปยังทะเลสาบวารีสวรรค์นานแล้ว แม้เจ้านั่นจะบาดเจ็บหนัก แต่ก็ได้เอาเหรียญคำสั่งของข้าติดตัวไปด้วย ดังนั้นเขาจึงสามารถออกคำสั่งกับสัตว์ภูตที่เปลี่ยนร่างสมบูรณ์แล้วได้หนึ่งครั้ง ตบะขั้นของสัตว์ภูตตนนั้นเกือบจะแตะขั้นกำเนิดใหม่แล้ว ลำพังมันเองก็สามารถกวาดล้างคนตระกูลเยวี่ยได้นับร้อย! เมื่อวานข้าได้รับข้อความจากฉือโฮ่ว เขาได้ใช้เหรียญคำสั่งและได้รับการตอบรับจากสัตว์ภูต ตอนนี้พวกนั้นน่าจะควบคุมตระกูลเยวี่ยได้แล้วทั้งตระกูล ต่อไปพวกเขาจะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
พูดจบเขาก็ค่อยๆ ส่งพลังอิทธิฤทธิ์ที่มีลำแสงสลัวไปยังกระจกเพื่อเริ่มใช้งาน ไม่นานก็มีแสงสะท้อนออกมาจากกระจกนั่น
สิ่งนี้คือเครื่องมือวิเศษที่เขาใช้สื่อสารกับฉือโฮ่ว และทันทีที่หวังลู่ได้เห็นว่าเขาสามารถควบคุมสถานการณ์อีกด้านของกระจกไว้หมดแล้ว อาเซี่ยเชื่อว่าหวังลู่ต้องเลือกในสิ่งที่สมเหตุสมผล… หนำซ้ำหากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ไม่แน่ว่านอกจากเขาจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ เขาอาจต่อรองเอาสัตว์เซียนภูตจันทราได้อีกด้วย
ฮ่ะๆๆ นี่คือสิ่งที่ราชาพยัคฆ์ตัวจริงทำไม่ได้ แต่หากเป็นข้า ข้าอาจทำได้ก็ได้
…นี่น่าจะแสดงให้เห็นแล้วว่าข้านั้นดีงามกว่าตัวจริงเสียอีก
ขณะที่เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เวลาก็ผ่านไปทีละน้อย อึดใจถัดมาอาเซี่ยก็พบว่ามีเงาปรากฏขึ้นบนกระจกแก้วที่อยู่ในมือ แต่ภาพกลับถูกบิดจนพร่ามัวทำให้ไม่อาจเห็นสถานการณ์ที่แท้จริงได้ นั่นเพราะพลังอิทธิฤทธิ์ที่ถูกส่งมายังกระจกทั้งสองฝั่งไม่สอดประสานกัน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะครั้งนี้พลังอิทธิฤทธิ์ที่เขาส่งออกมานั้นมาจากร่างของราชาพยัคฆ์ ซึ่งย่อมแตกต่างจากร่างเดิมของเขาอยู่แล้ว
ทว่าทันทีที่ฉือโฮ่วปรับแต่งพลังอิทธิฤทธิ์ของอีกด้านหนึ่ง จนพลังอิทธิฤทธิ์ของทั้งสองฝั่งสอดประสานกันได้ เขา…
“ฉือโฮ่ว เจ้าทำอะไรอยู่ รีบปรับพลังอิทธิฤทธิ์เร็วเข้า” อาเซี่ยคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เขาบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงไม่มีแรงพอจะปรับแต่งพลังอิทธิฤทธิ์เอง
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง แสงในกระจกก็ยังไม่เสถียรเสียที อาเซี่ยพลันรู้สึกว่ามีเมฆหมอกเข้ามาปกคลุมหัวใจ…ราวกับว่ามีบางอย่างที่เลวร้ายซึ่งสำคัญกับเขาเกิดขึ้น
“จริงๆ ข้าก็ไม่ค่อยถนัดแผนปั่นหัวเท่าไร ที่ข้าทำได้คือค่อยๆ จัดการให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ก่อนที่ข้าจะลงจากเขามา ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าตัวตนที่ข้าใช้อ้างอาจนำปัญหามาให้ตระกูลเยวี่ย แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คะเนล่วงหน้าว่าปัญหาอะไรหรือศัตรูรูปแบบไหนที่ข้าจะต้องเผชิญ แถมยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ที่จะลงทุนทรัพยากรไปกับความคิดที่ว่าจะมีบางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้น หากข้ามีทรัพยากรมากมายข้าย่อมลงทุนแน่ ดังนั้นข้าก็เลยไปยืมดอกไม้ชาวบ้านมาถวายให้พระเป็นเจ้า [1] ฉวยประโยชน์จากโอกาสที่มี ครั้งนี้นอกจากข้าและหลิวหลีแล้ว สำนักยังส่งศิษย์คนอื่นลงมาเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ด้วย น้องหญิงเยวี่ยซินเหยาเองก็อยากกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว ดังนั้นข้าจึงบอกให้นางใช้โอกาสนี้เชิญศิษย์พี่คนหนึ่งไปที่บ้านของนางในฐานะแขก ทุกคนในตระกูลเยวี่ยล้วนเก่งกาจด้านการหลอมเครื่องไม้เครื่องมือ พวกเขาจึงควรใช้โอกาสนี้จัดส่งเครื่องมือวิเศษและทำกรรมดีร่วมกัน และคนที่ไปเยี่ยมบ้านพร้อมนางนั้น…”
หวังลู่หยุดพูด ตั้งใจจะสร้างบรรยากาศชวนตื่นเต้นก่อนเฉลยคำตอบ
“คนที่ร่วมเดินทางไปกับนางก็คือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของสำนักเรา จูซือเหยา”
จูซือ…เหยา?
อาเซี่ยนิ่งไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นเขาก็นึกออกว่าคนที่ชื่อจูซือเหยาคือศิษย์ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของสำนักกระบี่วิญญาณ ว่ากันว่าความแข็งแกร่งของนางเหนือกว่าหวังลู่และหลิวหลีที่มากพรสวรรค์หาใครเปรียบเสียอีก ทว่าไม่ว่านางจะทรงพลังเพียงใด ขั้นตบะของนางก็เพียงขั้นพิสุทธิ์ระดับต้นเท่านั้น ไม่มีทางที่จะเอาชนะพละกำลังของสัตว์ภูตที่ตบะเกือบแตะขั้นกำเนิดใหม่ได้
สัตว์ภูตตัวนั้นคือหนึ่งในผลงานในแคว้นทักษิณสวรรค์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กแมวหลิงเยียนแล้ว หากจะพูดว่าอีกฝ่ายทรงพลังกว่านางหลายต่อหลายเท่าก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เรื่องที่น่าชังเรื่องเดียวก็คือ ด้วยเหตุบังเอิญบางอย่างตราประทับบนสัตว์ภูตตัวนี้จึงไม่ค่อยมั่นคงนัก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเรียกใช้มันบ้างตามโอกาส ซึ่งเป็นการขอความช่วยเหลือไม่ใช่การปฏิบัติกับอีกฝ่ายราวทาสอย่างหลิงเยียน
นอกจากนั้น ที่นั่นยังมีสัตว์ภูตระดับต่ำจำนวนมากที่ประกอบขึ้นเป็นค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายด้วย ดังนั้นแค่คนตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์และจูซือเหยาที่อยู่เพียงขั้นพิสุทธิ์…
ขณะคิด แสงจากกระจกแก้วก็พลันเปลี่ยนไป อาเซี่ยดีใจที่ในที่สุดฉือโฮ่วก็ตอบสนองเขาสักที
เขาคิดว่าทุกอย่างจะต้องสำเร็จด้วยดี ไม่เพียงคนของตระกูลเยวี่ย แต่รวมทั้งเยวี่ยซินเหยาที่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด และจูซือเหยาอะไรนั่นจะต้องตกอยู่ในการควบคุมของเขา นี่ย่อมเป็นชัยชนะที่ดีงามของเขาแน่นอน ตราบใดที่…
ขณะที่ใจของอาเซี่ยกำลังเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น แสงและเงาในกระจกก็หลอมรวมจนกลายเป็นรูปร่างที่ชัดเจน
ใบหน้าของฉือโฮ่วปรากฏขึ้นบนกระจก ทว่าครั้งนี้ใบหน้าของอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยเลือด เขาได้รับบาดเจ็บรุนแรง น้ำเสียงแผ่วเบาไร้พลัง
“เราพลาดท่า…คนผู้นั้นแข็งแกร่งนัก ท่านไม่บอกข้าว่าที่นี่มีคนเช่นนั้นอยู่ เจ้าสัตว์ภูตที่เปลี่ยนร่างสมบูรณ์แล้วตายทันทีภายในกระบวนท่าเดียว แม้แต่พลังวิญญาณขั้นปฐมของมันก็ไม่อาจหลบหนีมาได้ ตอนนี้พวกเรา…”
แคร้ง!
เสียงของฉือโฮ่วเงียบไปในทันที อาเซี่ยเผลอขยี้กระจกโดยไม่ตั้งใจ
ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ มันสะท้อนให้เห็นถึงความสิ้นหวังและหวั่นวิตกที่อยู่ในจิตใจ ครั้งนี้เขาหมดหนทางแล้วจริงๆ
…
[1] การได้ประโยชน์หรืออำนาจจากทรัพย์สินของผู้อื่น