มู่หรงอวิ๋นไห่ยืนขึ้น ขุนนางทุกท่านและคณะทูตจากแคว้นต่างๆ จึงลุกขึ้นตาม พวกเขาตั้งตารอคำพูดต่อไปของมู่หรงอวิ๋นไห่
ทว่ามู่หรงอวิ๋นไห่กลับไม่พูดสิ่งใด เขาทำเพียงมองไปยังขันทีที่ยืนอยู่ข้างกาย
ขันทีนำกล่องผ้าออกมา หลังจากเปิดออกก็ถือราชโองการ และก้าวไปข้างหน้าสองก้าว
“แม่นางจิ่นซี เชิญก้าวมาข้างหน้าเพื่อรับราชโองการ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น
รับราชโองการหรือ?
รับราชโองการอันใด?
เมื่อเห็นซูจิ่นซียืนนิ่งเป็นเวลานาน ทุกคนจึงเริ่มกระซิบกระซาบกัน
ซูจิ่นซีมองไปที่มู่หรงอวิ๋นไห่ หลังจากมู่หรงอวิ๋นไห่สบสายตากับซูจิ่นซี ดวงตาที่มีอาการมึนเมาเล็กน้อยกลับไม่แสดงความโกรธเคือง เขาพูดขึ้นว่า “วันนี้ ข้ากับคณะทูตทุกท่านและเหล่าขุนนางใหญ่ต่างมีความยินดี ละเว้นพิธีการคุกเข่า อ่านราชโองการเถิด! ”
ขันทีตอบรับด้วยความเคารพ และเริ่มอ่านราชโองการ
หลังจากฟังราชโองการจบ ทุกคนต่างตกใจและมองซูจิ่นซีด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“อันใดกัน? พระชายาโยวอ๋องเป็นพระธิดาของฮ่องเต้แคว้นหนานหลีหรือ? ”
“พระชายาโยวอ๋องเป็นพระธิดาของฝ่าบาทหรือ? ”
……
“ใช่ จิ่นซีเป็นธิดาของข้าที่หายสาบสูญไปหลายปี ตอนนี้แก้วตาดวงใจได้กลับมาแล้ว ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก จึงต้องการแบ่งปันความรู้สึกยินดีร่วมกับทุกคน นอกจากนั้น ข้าต้องการแต่งตั้งให้จิ่นซีเป็นฉางอันกงจู่ ต่อไปนางจะเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหนานหลีของข้า”
คำพูดเหล่านี้ ในราชโองการได้เขียนไว้อย่างชัดเจน ทว่ามู่หรงอวิ๋นไห่ยังกล่าวต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง
ผู้มีความคิดหลักแหลมต่างรีบกล่าวขึ้น “ยินดีกับฝ่าบาท ยินดีกับฉางอันกงจู่! ”
“คำนับฉางอันกงจู่ ขอให้กงจู่มีพระชนมายุพันปี พันพันปี! ”
“ขอให้กงจู่มีพระชนมายุพันปี พันพันปี”
มู่หรงฉีส่งสายตาเตือนซูจิ่นซี เพื่อให้ซูจิ่นซีเดินมาข้างหน้าและแสดงความขอบคุณ ทว่าซูจิ่นซีไม่ทันเห็น
สุดท้าย มู่หรงฉีจึงกล่าวเสียงดังว่า “น้องหญิง ยังไม่ก้าวออกมาขอบพระทัยเสด็จพ่ออีก”
ขอบพระทัย หมายความว่าซูจิ่นซียอมรับมู่หรงอวิ๋นไห่ในฐานะพระบิดา ทว่าก่อนหน้านั้น ท่าทางของมู่หรงอวิ๋นไห่ที่ปฏิบัติต่อซูจิ่นซีกลับเย็นชาอย่างมาก สุดท้ายแล้ว ซูจิ่นซีก็ไม่อาจเปิดใจยอมรับได้ นางสามารถยอมรับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงได้ แต่จะยอมรับมู่หรงอวิ๋นไห่ผู้นั้นเป็นพระบิดาได้หรือ?
มู่หรงฉีรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นซูจิ่นซียืนนิ่งไม่ขยับ ไม่รู้ว่าในใจของซูจิ่นซีคิดสิ่งใด เขาเกรงว่าซูจิ่นซีจะขัดราชโองการต่อหน้าทุกคน และไม่ให้เกียรติเสด็จพ่อ
หากเป็นเช่นนั้นจริง หลังจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างซูจิ่นซีและเสด็จพ่อคงไม่มีทางกลับมาดีกันได้อีก
ทว่า ซูจิ่นซีโง่เขลาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ฐานะกงจู่ยิ่งใหญ่เพียงใด!
ไม่เพียงยกระดับฐานะได้เท่านั้น ทว่ายังสามารถใช้ป้องกันอันตรายแก่ตนเอง ในยามจำเป็นยังสามารถใช้ข่มเหงรังแกบรรดาสตรีสูงศักดิ์ ผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์จึงจะเป็นคนโง่!
ดังนั้น ซูจิ่นซีทำเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย และค่อยๆ เดินไปข้างหน้าเพื่อทำความเคารพมู่หรงอวิ๋นไห่
“จิ่นซีขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ยินดีกับกงจู่! ”
“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ยินดีกับกงจู่! ”
“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ยินดีกับกงจู่! ”
เสียงแสดงความยินดีของทุกคนดังขึ้นอีกครั้ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” ดูเหมือนมู่หรงอวิ๋นไห่จะอารมณ์ดีอย่างมาก เขาหัวเราะเสียงดังสองครั้ง ก่อนจะเดินลงบันไดมาประคองซูจิ่นซีให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง
“จิ่นซี ไม่ต้องมากพิธี! มา มานั่งกับเสด็จพ่อ”
พูดจบ มู่หรงอวิ๋นไห่ก็จูงมือซูจิ่นซีเดินไปทางบัลลังก์มังกร มู่หรงอวิ๋นไห่ไม่อาจให้ซูจิ่นซีนั่งบนบัลลังก์มังกรได้ ขันทีน้อยจึงรีบย้ายโต๊ะและเก้าอี้มาวางไว้ทางด้านซ้ายของมู่หรงอวิ๋นไห่ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งขนาบข้างมู่หรงฉีพอดี
ทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่ด้านซ้าย คนหนึ่งนั่งด้านขวาของมู่หรงอวิ๋นไห่
ซูจิ่นซีมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นหนานหลี เรื่องที่นางถูกแต่งตั้งเป็นฉางอันกงจู่ ไม่นานข่าวการหวนคืนบัลลังก์ของมู่หรงอวิ๋นไห่ก็แพร่สะพัดไปยังแว่นแคว้นต่างๆ ของอาณาจักรเทียนเหอ
ที่แคว้นจงหนิง หลังจากคุณหนูฮั่วอวี้เจียวแห่งสกุลฮั่วทราบข่าวดังกล่าว นางก็ทำลายแจกันไปหลายใบ “ไม่คิดเลย ไม่คิดเลยว่าซูจิ่นซี นางแพศยาผู้นี้จะเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหนานหลี โชคช่างเข้าข้างนางแพศยาผู้นี้เสียจริง หากรู้ตั้งแต่แรก ข้าคงตรวจสอบสถานะของนางให้ดี เมื่อสถานะของนางถูกเปิดเผย ท่านอ๋องคงสังหารนางไปนานแล้ว”
อย่างไรก็ตาม มาเสียดายตอนนี้ก็สายไปแล้ว นี่ไม่ใช่ยุคของฮ่องเต้ปกครองแคว้นจงหนิง ทว่าเป็นโยวอ๋องที่มีอำนาจสูงสุด โยวอ๋องโปรดปรานซูจิ่นซี เขาไม่มีทางสังหารซูจิ่นซีอย่างแน่นอน
เมื่อหนานกงหว่านเอ๋อร์ทราบข่าวนี้ นางถึงกับกระทืบเท้าอย่างดุดัน “อันใดกัน? นางแพศยาผู้นั้นเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหนานหลีหรือ? ช่างเป็นจังหวะที่บินขึ้นไปบนกิ่งไม้และกลายร่างเป็นหงส์ ทั้งยิ่งบินก็ยิ่งสูง เช่นนั้น ชั่วชีวิตนี้ พี่สาวข้า หนานกงลั่วอวิ๋นคงไม่มีโอกาสได้อภิเษกสมรสกับโยวอ๋องแล้วกระมัง? ”
กระทั่งหลิงเซียวจวิ้นจู่ที่เป็นบ้าไปแล้ว เมื่อได้ยินข่าวนี้ยามอยู่ที่จวนฉีอ๋อง นางก็กำหมัดแน่นด้วยสีหน้าดุดัน
ตอนที่ไม่มีเหล่าสาวใช้อยู่และไม่มีผู้ใดได้ยิน ทันใดนั้น นางก็พูดขึ้นว่า “นางแพศยาผู้นี้! ต้องหลอกลวงพี่ฉีและฝ่าบาทอย่างแน่นอน ข้าเป็นจวิ้นจู่แห่งแคว้นหนานหลี เป็นจวิ้นจู่เพียงผู้เดียวของแคว้นหนานหลี ข้าเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในแคว้นหนานหลี ซูจิ่นซี เจ้าคอยดูฤทธิ์เดชของจวิ้นจู่อย่างข้าก็แล้วกัน! ”
……
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงในภายหลัง
ซูจิ่นซีนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์ กลายเป็นจุดเด่นในงานหวนคืนสู่บัลลังก์ ขณะเดียวกัน นางก็เข้ามาแทนที่หลิงเซียวจวิ้นจู่ และกลายเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในแคว้นหนานหลี
แน่นอนว่าในงานเลี้ยงยังมีสตรีจำนวนมากที่มาร่วมงาน สตรีเหล่านั้นต่างรีบเข้ามาดื่มอวยพรซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง
แม้ซูจิ่นซีจะดื่มไม่เก่ง ทว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่แคว้นจงหนิง นางผ่านประสบการณ์มามากมาย และเคยรับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้มาไม่น้อย
หลังจัดการกับบรรดาฮูหยินและสตรีสูงศักดิ์เรียบร้อย ซูจิ่นซีก็มองไปทางเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาเหน็ดเหนื่อย
เยี่ยโยวเหยาบังเอิญมองมาทางซูจิ่นซีพอดี เขาหยิบจอกสุราบนโต๊ะและยกไปทางซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีก็ยกจอกสุราขึ้นมาเช่นกัน พวกเขายกจอกสุราคำนับกันและกัน ก่อนจะดื่มสุราอย่างเงียบงัน
ขณะที่งานเลี้ยงกำลังจะสิ้นสุดลง ในช่วงเวลาที่ทุกคนคาดไม่ถึง ทันใดนั้น เป่ยถางเย่ก็ลุกขึ้นและเดินมาตรงกลาง
“วันนี้ฝ่าบาทได้หวนคืนสู่บัลลังก์อีกครั้ง กระหม่อมจึงนำของขวัญชิ้นหนึ่งมามอบให้ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทโปรดรับไว้”
ของขวัญเนื่องในโอกาสเช่นนี้ แท้จริงแล้วต้องเป็นของขวัญที่พิถีพิถันอย่างมาก
คนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานเลี้ยง ได้นำของขวัญมามอบให้ก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมกับลงชื่อในสมุดบันทึก ทั้งยังมอบให้ผู้ที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ บางคนก็ส่งของขวัญมาล่วงหน้าหลายวัน
การมอบของขวัญขณะอยู่ในงานเลี้ยง ผู้ที่มอบล้วนเป็นผู้ที่มีสถานะพิเศษ หรือต้องการแสดงความรู้สึกพิเศษของตนเอง ทว่าสถานะของบุคคลเช่นนี้ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปจะเป็นเหล่าองค์ชายและองค์หญิง เช่น มู่หรงฉีและซูจิ่นซี
เห็นได้ชัดว่าเป่ยถางเย่ไม่ใช่องค์ชายหรือองค์หญิง
เช่นนั้นก็เป็นแบบที่สาม คณะทูตที่มอบของขวัญในขณะร่วมงานเลี้ยง มีเจตนาจงใจสร้างประเด็น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการเจตนาสร้างความยุ่งยาก จงใจทำให้ฮ่องเต้ของแคว้นนี้หรือเหล่าขุนนางใหญ่ลำบากใจ
เมื่อได้ยินว่าเป่ยถางเย่ต้องการมอบของขวัญ พวกเขาต่างมองเป่ยถางเย่ด้วยความสงสัย
แววตาของมู่หรงอวิ๋นไห่และมู่หรงฉีพลันเคร่งขรึม
เป่ยถางเย่ให้คนนำของขวัญเข้ามา เป็นกล่องผ้าลักษณะยาวกล่องหนึ่ง
เป่ยถางเย่เปิดกล่องผ้า ด้านในเป็นกระบี่ล้ำค่า
“ฝ่าบาทแห่งแคว้นหนานหลี นี่คือกระบี่เฟิ่งอวี่ที่เลื่องชื่อในแคว้นเป่ยอี้ของกระหม่อม ตามตำนานเล่าว่า มีเพียงผู้ที่มีดวงชะตาเป็นฮองเฮาของแผ่นดินเท่านั้น จึงจะสามารถดึงกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาได้ จนถึงวันนี้ ในแคว้นเป่ยอี้ของกระหม่อมยังไม่มีผู้ใดสามารถชักกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาได้ กระหม่อมจึงคาดหวังและรอคอยที่จะได้พบผู้ที่มีดวงชะตานั้นในแคว้นของพระองค์ หากมีสตรีใดในแคว้นของพระองค์สามารถดึงกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาได้ กระหม่อมก็จะมอบกระบี่เฟิ่งอวี่ให้พระองค์”
แท้จริงแล้ว เขาหาได้มีความคิดจะมอบกระบี่ให้แคว้นหนานหลี! ทว่าหากมีผู้ที่สามารถชักกระบี่ล้ำค่าออกมาได้จึงจะมอบให้!
เป็นดั่งที่กล่าวไว้ นี่เป็นการเจตนาสร้างความลำบากใจ!
ทว่ามู่หรงอวิ๋นไห่ไม่มีฮองเฮา แคว้นหนานหลีก็ไม่มีรัชทายาท หรือพระชายาแห่งรัชทายาท อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงดึงกระบี่ออกมาได้เท่านั้น ทว่าคนผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีดวงชะตาเป็นฮองเฮาของแผ่นดิน หรือก็คือฮองเฮานั่นเอง
นี่เป็นการสร้างความขัดแย้งมิใช่หรือ?