ตอนพิเศษ 1-8 ฮาแบค

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

ฮาแบคมองตรงไปด้านหลังสมุหกลาโหมพร้อมโค้งคำนับ เหล่าเสนาบดีทั้งหลายที่ยืนอยู่ตรงนี้ รวมถึงสมุหกลาโหมที่กำลังจะตวาดเสียงดังจึงสะดุ้งตกใจรีบกลับหลังหันและโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียงทันที แต่ไม่นานถึงรู้ตัวว่าเสียงขันทีขานบอกกล่าวการเสด็จของพระราชายังไม่ดังขึ้นเลย

 

 

“ทะ ท่าน!”

 

 

จึงต้องเหลือบสายตามองด้วยความสับสน และเห็นเพียงเหล่านางในหัวเราะคิกคักเดินผ่านเท่านั้น มิใช่ฝ่าบาทแต่อย่างใด ระหว่างนั้นฮาแบคก็ก้าวเข้าไปยืนประจำที่ในท้องพระโรงแล้ว ไม่รอฟังว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยอะไรทั้งนั้น สายตาของสมุหกลาโหมจับจ้องเขาราวกับจะกินจากฝั่งตรงข้าม และถูกโต้กลับด้วยความสงบนิ่ง

 

 

แน่นอนว่าภายในใจฮาแบคกำลังหงุดหงิดเป็นอย่างมาก หงุดหงิดทั้งสมุหกลาโหมที่กล้ามาซักไซ้ต่อว่าอย่างมั่นใจถึงการปัดฎีกาของตนทิ้ง หงุดหงิดที่มีเวลาไม่พอ รวมถึงหงุดหงิดสตรีแปลกหน้าผู้นั้นด้วยเช่นกัน แต่ถึงจะรวมสาเหตุทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็ยังหงุดหงิดไม่เท่ารับรู้ว่าตนสูญเสียความใจเย็น ต้องแก้ไขให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ไปเรื่อยๆ

 

 

เป็นครั้งแรกที่ฮาแบคไม่มีสมาธิทำงานหลังจากขึ้นรับตำแหน่งใหญ่ กระทั่งไม่สนใจว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปเช่นไร แม้จะไม่แสดงออกภายนอก แต่ฮอนก็สังเกตเห็นอยู่ดี เพราะพวกเขาตัวติดกันแทบทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เขารีบทำงานส่วนของตนให้เสร็จด้วยความเป็นกังวลครึ่งและสงสัยใคร่รู้อีกครึ่ง จากนั้นจึงเรียกฮาแบคมาพบที่ห้องทำงานเป็นการส่วนตัว

 

 

“บอกข้ามาสิว่ามีเรื่องอะไร ท่านมหาเสนาบดี”

 

 

ฮาแบคเข้าใจความหมายของคำถามจู่โจมทันทีที่นั่งลงโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่ม ทว่าการระบายความกังวลให้ผู้อื่นฟังไม่ใช่นิสัยเขา แม้ว่าจะเป็นน้องเขยของตนหรือพระเจ้าหนึ่งเดียวในโลกก็ตาม ระหว่างรินน้ำหมึกลงในจานและฝนหมึกช้าๆ ก็ตอบกลับโดยไม่หันมองฮอน

 

 

“กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงหมายถึงอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ท่านมหาเสนาบดี…”

 

 

พูดจบฮอนก็หัวเราะ มีด้านน่าเอ็นดูจนคาดไม่ถึงด้วยหรือนี่

 

 

“เจ้าโกหกไม่เก่งจริงๆ นะ”

 

 

หมึกที่ฝนกระเด็นใส่แขนเสื้อสะอาดสะอ้าน นี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน

 

 

“กระหม่อมจะทูลเท็จแก่ฝ่าบาทได้อย่างไรเล่า”

 

 

“เงยหน้าขึ้นมองข้าท่านมหาเสนาบดี”

 

 

“กระหม่อมแค่รู้สึกไม่สบาย…”

 

 

“ท่านมหาเสนาบดี!”

 

 

เสียงนั้นดังขึ้นข้างหู เมื่อค่อยๆ หันมองก็เห็นฮอนนั่งเอียงตัวเท้าคางมองจ้องกันอยู่ พร้อมกับรอยยิ้มทางสายตาเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ดั่งเช่นรยูฮาพูดอยู่บ่อยๆ

 

 

“ฝ่าบาท ขอร้องล่ะ!”

 

 

ฮอนขยับเข้าใกล้ให้เท่ากับระยะที่ฮาแบคถอยหลังด้วยสีหน้าบูดบึ้ง จนระยะห่างของทั้งสองแคบลงเหลือเพียงแค่ประมาณสองกำปั้นลอดผ่าน

 

 

“หากเป็นเรื่องที่ข้าสามารถช่วยได้ ข้าก็จะได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ไงเล่า เพราะฉะนั้นเจ้าบอกข้ามาเถอะ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”

 

 

“โปรดทรงถอยออกไปหน่อย แล้วค่อยตรัสถามเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“แต่ข้าไม่อยากนี่นา”

 

 

อย่าว่าแต่ออกห่างเลย ตอนนี้ระยะห่างของพวกเขากลับลดลงเหลือเพียงหนึ่งกำปั้นเท่านั้น แม้จะเอี้ยวตัวหลบไปด้านหลังสุดๆ แล้วก็ยังไม่อาจจะหลีกหนีจากลมหายใจกระทบใบหน้าได้เลย

 

 

“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะบอก แต่โปรดทรงถอยออกไปก่อนเถิด”

 

 

ริมฝีปากของฮอนวาดเส้นโค้งงดงามและค่อยๆ ถอยห่าง ตอนนั้นฮาแบคถึงรู้ตัวว่าตนกำพู่กันแน่นมากจนเหมือนจะหักมันเสียอย่างนั้น หากใช้สิ่งนี้ฟาดลงหน้าผากนั่น คงจะเป็นการกบฏจริงๆ สินะ

 

 

“คราวก่อนกระหม่อมเล่าว่าเก็บ… ไม่สิ พาแขกผู้หนึ่งกลับจวนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ใช่ๆ”

 

 

ฮอนพยักหน้าและตอบรับอย่างกระตือรือร้น

 

 

“แต่ดูเหมือนท่านพ่อท่านแม่ของกระหม่อมจะสืบเรื่องราวเกี่ยวกับแขกผู้นั้นมานิดหน่อย”

 

 

น่าจะเรียกว่าส่งคนไปสืบเบื้องหลังมากกว่า

 

 

“แล้ว?”

 

 

“เฮ้อ”

 

 

ฮาแบคหยุดพูดสักพักแล้วถอนหายใจยาว และการถอนหายใจนั้นก็ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของฮอนพุ่งสูงปรี๊ด แต่ก็ต้องแข็งทื่ออย่างสับสนเมื่อได้ยินคำพูดถัดมา

 

 

“นางเป็นสตรีออกเรือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ออกเรือนแล้ว?”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ คล้ายๆ ถูกขาย นางเป็นบุตรสาวคนโตของครอบครัวยากจน จึงต้องจำยอมเป็นภรรยาของชายชราที่เป็นเศรษฐีพ่ะย่ะค่ะ

 

 

“เช่นนั้น… ทำไม”

 

 

“ในคืนแรกนางตีศีรษะชายชราผู้นั้นจนสลบแล้วหนีออกมา คงคิดว่าหากมาเมืองหลวงน่าจะไม่ถูกจับเพราะคนเยอะและวุ่นวาย แต่ร่างกายเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลทนไม่ไหวจึงตัดสินใจงีบหลับสักที่หนึ่ง จนกระหม่อมมาเจอเข้าพอดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ภาพความหวังกับการแต่งงานของอีกฝ่ายหายวับกับตา ถึงจะกำลังผิดหวังอยู่ แต่ฮอนก็สังเกตเห็นความขมขื่นบนริมฝีปากของเจ้าของน้ำเสียงสงบนิ่ง หากเขาแสดงท่าทีเช่นนี้ บางทีความรู้สึกอาจจะลึกล้ำซับซ้อนกว่าที่คิดก็ได้

 

 

“ท่านพี่”

 

 

“เรียกกระหม่อมเช่นนี้ มันผิดกฎระเบียบนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“แต่ตรงนี้ก็มีแค่เราสองคนไม่ใช่หรือ”

 

 

“ได้โปรดอย่าทรงมองกระหม่อมเช่นนั้น…”

 

 

“แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า”

 

 

ฮอนยิ้มพลางวางมือบนต้นขาฮาแบค แม้จะเป็นการกระทำเพื่อแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้น ก็ไม่สนใจอาการขนลุกของอีกฝ่ายเลย

 

 

“ข้าจะช่วยเอง”

 

 

“ว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

นอกจากจะรู้สึกขนลุกกับมือบนต้นขาตนแล้ว ยังต้องงุนงงกับคำพูดที่ได้ยินอีกด้วย การย้อนถามอย่างฉงนของฮาแบคทำให้ฮอนกดเสียงต่ำลงเล็กน้อย

 

 

“ก็ท่านพี่ชอบสตรีนางนั้นไม่ใช่หรือ”

 

 

ห้องทำงานอันกว้างขวางตกอยู่ในความเงียบงันทันที ฮาแบคไม่เข้าใจแม้แต่น้อยจึงปิดปากเงียบ ส่วนฮอนก็เงียบเพราะรอคำตอบ ระหว่างมองหน้ากันไปมาฮาแบคก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

 

 

“ทรงหยอกเล่นเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย”

 

 

“ไม่เคยสักครั้งเลยหรือ”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ไม่เคยสักครั้ง”

 

 

เน้นคำว่าไม่เคยสักครั้งแล้วหันหน้าหนีเหมือนไม่อยากฟังอะไรต่อแล้ว โดยไม่ลืมแอบปัดมือฮอนออกจากต้นขาตนอย่างแนบเนียน

 

 

“ท่านพี่หลับตาหน่อยได้หรือไม่”

 

 

ทว่ามือ เอ๊ย พระหัตถ์บ้านั่นกลับเกาะแน่นกว่าเดิมแทนที่จะยอมผละออกแต่โดยดี ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่น้ำเสียงก็เหมือนจะอ่อนโยนขึ้นด้วย ฮาแบคพยายามไม่สนใจขนที่ลุกซู่ทั้งตัวและหลับตาลง เพราะมันคือคำสั่งจากพระราชา

 

 

“ลองนึกถึงสตรีผู้นั้นในหัวดู”

 

 

มีแผนจะทำอะไรอีกล่ะ แต่ใบหน้าของสตรีที่โดนไฟตะเกียงส่องก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนต่างกับความคิด ท่ามกลางความมืดสลัวอีกฝ่ายค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาคล้ายกับลูกองุ่นป่ามองไปทางซ้าย ทางขวาและมองลงด้านล่างเล็กน้อย ก่อนจะวกกลับมาจดจ้องเขา นางค่อยๆ ยื่นมือเข้ามาหา และในจังหวะที่มือข้างนั้นกดลงบนแผ่นอกซ้ายของฮาแบคอย่างแผ่วเบา

 

 

“เฮือก!”