สายฝนดุร้ายครู่หนึ่งนี้คล้ายไม่ดำรงอยู่อีก ทุกผู้คนต่างหลงลืมความเจ็บปวดและเหน็บหนาวที่น้ำฝนตกกระทบ มองดูฝนตกหนักค่อยๆ ชะล้างเลือดเนื้อของซังเชี่ยวที่แขนขาดกับอาวุธวิเศษที่แตกละเอียดนั้นสูญสลายไปอย่างมึนงง
คล้ายมองเห็นการเพิ่มแผลลึกแผลหนึ่งบนสิ่งใหญ่มหึมา บาดแผลที่ใกล้สิ้นชีพ
การดิ้นรนครั้งสุดท้ายถาโถมสู่การพังพินาศที่ยิ่งลึกล้ำ ก้นบึ้งหัวใจของแทบจะทุกผู้คนต่างพวยพุ่งด้วยความหวาดผวาที่ยากจะควบคุมและความโศกศัลย์ด้วยเห็นใจซึ่งกันและกัน
แม้แต่กงอิ้นที่เยือกเย็นที่สุด ยังเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
เขาตกอยู่ในสายฝน มองย้อนกลับไปหาจิ่งเหิงปัว สตรีบนสันกำแพงงามวิจิตรดุจขวดหยก ส่งรอยยิ้มงามวิจิตรประหนึ่งลูกปัดหยกเช่นกันให้กับเขา
แสงพิลาศของสตรีเจือจางโลหิตกับความหนาวสะท้านครู่หนึ่งนี้ ทว่ายิ่งทำให้คนประหวั่นพรั่นพรึง บุปผาสวยสดงดงามเช่นปกติผลิแย้มกลางสนามรบ งดงามจนเคร่งขรึม
เหยียลี่ว์ฉีร่วงลงตรงสันกำแพงอีกมุมหนึ่ง ค่อยๆ หันหน้ามาจ้องมองจิ่งเหิงปัวคล้ายไม่เชื่อสายตา
เขารู้ว่าการลอบสังหารล้มเหลวแล้ว
เดิมทีนึกว่าเป็นการจัดการของกงอิ้น นับว่าไม่มีเรื่องใดแปลกประหลาด ทว่ายามนี้เขากลับเริ่มสงสัยขึ้นมา
ราชินีที่แลคล้ายเกียจคร้านตามใจตนนางนี้ ยังจะทำให้คนประหลาดใจเพียงใดกันแน่?
สายตาของเหล่าขุนนางทั้งหลายยังคงอยู่ในความงงงวย คนส่วนใหญ่ไม่อาจเข้าใจความนัยซึ่งฉากหนึ่งนี้แสดงออกมา พวกเขายังคงครุ่นคิดว่ามหาอาวุธสังหารในตำนานที่ไร้สิ่งเทียบเทียมนั้น ตระกูลซังอาศัยมันสั่นสะเทือนโลกหล้า อาวุธวิเศษที่ไม่ได้ออกโรงนับร้อยปี เหตุใดพลันระเบิดขึ้นแล้ว
หลังจากราชินีปรากฏกาย ระเบิดแล้ว
ความคิดหนึ่งเฉียดผ่านในใจของคนมากมาย ได้ตำแหน่งแล้วไม่ยึดคุณธรรม แว้งกัดเจ้านาย ลิขิตสวรรค์หวนคืน ร้อยพิษไม่กัดกลืน
เสียงเสียงหนึ่งพลันทำลายความเงียบสงัด เคียงคู่ด้วยเสียงปรบมืออย่างแรงดังแปะๆๆ
“ทำได้ดีมาก! ทำได้อัศจรรย์! อาวุธวิเศษหรือ? อาวุธวิเศษกระไร! นี่ถึงเป็นความมหัศจรรย์ที่แท้จริง! คู่ควรที่จะเป็นภรรยาข้า!”
อีชีควบอยู่บนม้าของซังเชี่ยวกลางฝนตกหนัก ทั้งหัวเราะทั้งกระโดด โบกมือให้จิ่งเหิงปัวต่อเนื่อง
พอจิ่งเหิงปัวมองเห็นเขาก็รู้สึกเบิกบาน อดจะยิ้มแย้มไม่ได้ โบกมือให้เช่นกัน
“กินข้าวหรือยัง?” นางถาม
“ยังไม่ได้กินเลย” เขาตะโกนว่า “ได้ยินว่าทางเจ้านี้มีปัญหาจึงพลีชีวิตตนรีบตามมา วิ่งจนรองเท้าหุ้มข้อขาดหมดแล้ว จะยังมีเวลาว่างกินข้าวได้อย่างไร…”
คนกลุ่มหนึ่งฟังสองคนนี้ทักทายกันในครู่สำคัญนี้ด้วยสีหน้าออกเขียว อภิปรายปัญหาอาหารเช้าเบื้องหน้าโลหิตทั่วพื้น…
“ยังไม่ได้กินก็ลงมา ประเดี๋ยวกินด้วยกัน…” เสียงวาจาของจิ่งเหิงปัวถูกเสียงเยือกเย็นของกงอิ้นขัดจังหวะคำหนึ่ง
เขายกมือเพียงครั้ง ชี้ไปยังอีชี
“มาเร็ว จับกุมมือสังหารที่บุกรุกวังหลวงผู้นี้ไว้!”
“เฮ้ยๆ!” จิ่งเหิงปัวรีบร้อนจะห้ามปราม มองเห็นสีหน้าดำคล้ำของมหาเทพกงแวบหนึ่ง
จิ๊จ๊ะ โมโหแล้ว? ทำไมโมโหอีกแล้ว?
“ไปเถิดไปเถิดเจ้า!” นางสะบัดมือ “คราวหน้าข้าเลี้ยงข้าวเจ้า!จะซื้อรองเท้าหุ้มข้อคืนเจ้าด้วย!”
“ได้สิได้สิ!” อีชีหลบหนีไปข้างหลังพลางโบกมือ ร้องว่า “กีบเท้าอบน้ำแดงของเรือนรุ่ยเซียงที่ถนนใหญ่จิ่วกงไม่เลวนัก…”
“แต่ไหนแต่ไรมา ราชสำนักของพวกเราไม่เคยติดหนี้ผู้ใด” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “มาเร็ว ฟันเท้าสองข้างของเขาทิ้ง ภายหลังเขาจะได้ไม่ต้องวิ่งจนรองเท้าหุ้มข้อขาดอีกแล้ว!”
อีชีหนีเร็วยิ่งกว่าเดิมแล้ว…
สลัดพลไล่ล่าทิ้งอย่างยากลำบาก หันสู่มุมกำแพงผืนหนึ่ง พลันมีเงาคนสายหนึ่งเฉียดผ่าน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เขาฟันขาของเจ้า ข้าคืนรองเท้าหุ้มข้อให้เจ้า!” มือยกขึ้นเพียงครั้ง แสงนิลสองจุดพุ่งสู่กลางฝ่าเท้าอีชี
“โอ๊ยซุ่มโจมตี!” อีชีโวยวายเสียงหนึ่ง เหินขึ้นไปบนฟ้า ยามลุกขึ้นพื้นรองเท้าหุ้มข้อหายไปแล้ว เหลือเพียงฝ่าเท้าเตียนโล่งคู่หนึ่ง หากช้าไปเพียงก้าวเดียว กลางฝ่าเท้าของเขาคงจะถูกแทงทะลุแล้ว
“เอารองเท้าข้าไปกินเสีย!” อีชีสะบัดเท้าทั้งเช่นนั้น รองเท้าหุ้มข้อพี่ไม่มีพื้นรองเท้าพุ่งไปทางเหยียลี่ว์ฉีที่ลงมือ ฉวยโอกาสยามเขาหลบหลีก เขาหัวเราะฮ่าๆ หลบหนีออกไปเนิ่นนานแล้ว
เสียงของเขาแว่วสะท้อนมาในเสียงฝนว่า “ชิบ ข้าไปล่ะ ไม่ต้องส่งแล้ว ศัตรูหัวใจมากเกินไปมีน้ำใจไมตรีเหลือเกิน ครั้งหน้าข้าจะมาเยี่ยมเจ้าตามลำพัง…”
“คราวหน้าเหลือเท้าให้เจ้าคู่หนึ่ง เจ้าจะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา” เหยียลี่ว์ฉีโยนคู่หนึ่งรองเท้าหุ้มข้อทิ้ง แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง มองกงอิ้นจากไกลโพ้นปราดหนึ่ง กลับสู่สำนักเจาหมิงของเขาอย่างแช่มช้าแล้ว
กงอิ้นไร้ซึ่งสีหน้า สายตาเยือกเย็นกว่าสายฝนนี้
เขาโบกมือ หลังกำแพงลูกธนูน้าวอยู่บนสาย เปล่งเสียงดังแกร๊กผืนหนึ่ง ฟังแล้วน่าหวาดกลัว
เหล่าองครักษ์กองเซ่นไหว้ผุดเผยสีหน้าตื่นตระหนก
“ตระกูลซังละเมิดทำนองคลองธรรมจึงถูกสวรรค์ทอดทิ้ง เปิ่นจั้วให้เวลาพวกเจ้าครึ่งเค่อ ถอนกำลังจากพระราชวัง ออกห่างตระกูลกองเซ่นไหว้ แล้วจะไม่สืบหาเรื่องราวก่อกบฏในวันนี้” กงอิ้นปริปาก เสียงแว่วออกไปไกลโพ้นท่ามกลางฝนกระหน่ำ
เหล่าองครักษ์ผุดเผยสีหน้าตื่นกลัว
องครักษ์เหล่านี้เดิมทีต่างเป็นองครักษ์ที่มีจิตใจจงรักภักดีต่อตระกูลซัง ทว่าจิตใจจงรักภักดีส่วนมากมาจากหมอบกราบกับเคารพเลื่อมใสจากเบื้องลึกภายในจิตใจที่มีต่อตระกูลซัง ความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อ “พลังปฎิหาริย์” ยิ่งลึกล้ำ ยาม “พลังปฎิหาริย์” สูญสลาย เสาแห่งจิตวิญญาณพังพินาศรวดเร็วยิ่งกว่า หอคอยสูงพินาศ อาวุธวิเศษทำร้ายเจ้าของ สิ่งสำคัญสองสิ่งที่ตระกูลซังพึ่งพาให้อยู่รอดถูกทำลาย คนเหล่านี้ตกสู่ท่ามกลางความงงงวยหวาดกลัวฉับพลัน
ยิ่งไปกว่านั้นซังเชี่ยวบาดเจ็บสาหัสสลบไสล ฝูงมังกรไร้เศียร กงอิ้นบารมีลึกล้ำ ไอสังหารเคร่งขรึม หลังจากทุกคนงงงวยขี้ขลาดตาขาวระลอกหนึ่ง มีคนเริ่มถอยไปข้างหลัง
ร่นถอยหนึ่งก้าวเท่ากับพังทลายทั้งแถว แทบจะในพริบตา องครักษ์กองเซ่นไหว้ที่อาวุธเพียบพร้อมไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บทุกนายต่างหันกายวิ่งห้อ กลัวเพียงวิ่งได้ไม่เร็วพอ ไม่อาจถอนกำลังออกจากพระราชวังภายในครึ่งเค่อ
ยามคนกำลังหลบหนีคือยามที่การป้องกันอ่อนแอที่สุด
จิ่งเหิงปัวมองดูคนที่วิ่งห้อดุจฟ้าแลบเหล่านั้น หัวใจเกร็งแน่นเล็กน้อยเช่นกัน คนเหล่านี้สวมเกราะหนักถืออาวุธยังวิ่งได้เร็วขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าทุกนายต่างเป็นผู้ยอดเยี่ยม กองทัพเช่นนี้อยู่ฝ่ายใครล้วนเป็นทหารทรงพลังที่สามารถสร้างคลื่นลูกใหญ่ออกมาได้ วันนี้พวกเขาหลบหนีคือการตอบสนองต่อความเครียดหลังจากความเสียหายไม่คาดคิดหนักหนาครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าพักผ่อนปรับปรุงกำลังได้ ไม่แน่ว่าตระกูลซังจะจัดพวกเขาสู่ใต้บัญชาอีกครั้งได้ พอถึงตอนนั้น คนที่เกลียดนางเข้ากระดูกขนาดนี้จะก่อปัญหาให้นางมากแค่ไหน…
นางถอนหายใจเล็กน้อย ให้เป็นแบบนี้ล่ะ เรื่องบางเรื่องรู้ชัดว่าไม่เหมาะสมแต่ก็ไม่สามารถทำได้ หรือว่าจะกงอิ้นถอดใจลงมือสังหารคนที่ต่อต้านเหล่านี้เหรอ? เรื่องนี้จะนำพาปัญหามากมายขนาดไหนมาให้เขากัน
กำลังครุ่นคิดว่าภายภาคหน้าจะรับมืออย่างไร สายตามองดูคนเหล่านั้นกำลังจะหลบหนีออกจากทัศนวิสัย นางได้ยินเสียงเย็นชาและเด็ดขาดยิ่งนักเสียงหนึ่งกะทันหัน
“ยิง”
แทบจะครู่นั้น ลูกธนูได้คำรามผันผ่านบนศีรษะของคนเหล่านั้นแทนฝนกระหน่ำ!
เหล่าขุนนางตื่นกลัวแหงนหน้าขึ้น กลางนัยน์ตาที่เบิกกว้างสะท้อนฝนธนูสีครามคล้ำเหินว่อน!
อีกพริบตาต่อมา ในทัศนวิสัยก็คือฉากกั้นสีโลหิตผืนใหญ่!
ดอกไม้โลหิตที่เหยียดยาวระเบิดออกมาจากร่างกายมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ดอกไม้บานรวดเร็วยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วถูกสายฝนกลางนภาพัดพาไป แผ่ขยายกลายเป็นคลื่นสีโลหิตทะลักล้นลูกหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวเกือบจะร่วงลงไปจากบนกำแพงอีกครั้ง
นางหันหลังกลับฉับพลัน เผชิญกับนัยน์ตาของกงอิ้น
เขายืนอยู่กลางฝนกระหน่ำ สงบเงียบไม่แปดเปื้อนละอองโลหิต นัยน์ตาคู่หนึ่งคล้ายถูกฝนคลั่งชำระล้างผ่านเช่นกัน บริสุทธิ์สว่างประดุจผลึกน้ำแข็ง เปล่งประกายระยิบระยับด้วยแสงรุ่งโรจน์สีน้ำเงินจางที่บริสุทธิ์ยวดยิ่ง
นั่นมิใช่นัยน์ตากระหายเลือด…
ท่ามกลางฝนกระหน่ำเขามองนางอย่างเฉยชาเฉื่อยเนือยปราดหนึ่ง จากนั้นกลับสู่สนามสังหาร คนหลายร้อยโหยหวนเวียนวน สีโลหิตย้อมพื้นดินให้แดงฉาน ร่องน้ำสีแดงนับมิถ้วนไหลรินดังซู่ซู่ รวมสู่ร่องระบายน้ำของทางหลักสองฝั่ง
ผู้มีอำนาจช่วงชิงชีวิตคนดุจตัดหญ้า หลายครั้งความตายไม่ใช่ด้วยเพราะบาปกรรม ทว่าด้วยเพราะเลือกข้างผิด
“อ๊ากๆๆ…”
องครักษ์ที่ถูกธนูปักทั่วร่างพลันดิ้นรนหันหน้ากลับมา ตะโกนลั่นวิ่งห้อไปทางกงอิ้น สองมือของเขายกกระบี่เปื้อนโลหิตขึ้นสูง รองเท้าหุ้มข้อหนักหน่วงพาน้ำฝนเจือโลหิตกระเซ็นสู่หัวเข่าของคนนับมิถ้วน
อวี่ชุนหันกายครั้งหนึ่งจะขวางอยู่เบื้องหน้ากงอิ้น มือของกงอิ้นสะบัดเพียงครั้ง
เขาเพียงยืนอย่างเยือกเย็นอยู่ตรงนั้น มองคนใกล้ตายผู้นั้น ความเ**้ยมโหดดิ้นรนที่ฟื้นคืนก่อนสิ้นลม
สองจั้ง หนึ่งจั้ง ครึ่งจั้ง…
ดวงใจของทุกคนเต้นดังตึ่กตัก แม้ว่าแน่ใจว่าคนผู้นี้ไร้หนทางสร้างความเสียหายต่อกงอิ้น ทว่ายังมีผู้แอบเฝ้ารอคอยปาฏิหาริย์
กงอิ้นยืนตระหง่านไม่เคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ถึงขนาดค่อยๆ เอามือไพล่หลัง
เขามองสีหน้าของชายชาตรีที่พุ่งเข้ามาหวังสังหารประดุจมองซากศพหลายร้อยที่กองทับถมเบื้องหน้าตำหนักก่อนหน้านี้
สามก้าว สองก้าว หนึ่งก้าว…
“พลั่ก” ร่างมนุษย์ร่วงพื้นรุนแรง พาน้ำฝนกระเซ็นขึ้นมาครึ่งตัวคน คนนับมิถ้วนถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง มีทั้งความปีติยินดีหรือยังมีความผิดหวัง
กงอิ้นก้มหน้าลง
ผู้ที่ร่วงลงพื้นยังไม่สิ้นชีพ ยังคงไม่ยอมถอดใจดิ้นรน เคลื่อนย้ายมาเบื้องหน้าทีละชุ่น ข้างหลังกายลากเป็นเส้นโลหิตทอดยาวเส้นหนึ่งออกมา พริบตาถูกน้ำฝนแต่งแต้มพัดพาหาย
จิ่งเหิงปัวมองดูเส้นโลหิตคดเคี้ยวดุจร่องน้ำบนแผ่นดินสูญสิ้น รู้สึกเพียงในใจสะท้านเล็กน้อย
แผ่นดินสีโลหิตผืนนี้ กลอุบายไร้สิ้นสุด ต้องใช้โลหิตมากเพียงไหนมาฝังกลบกันแน่?
นิ้วมือที่ยื่นออกมาค่อยๆ กำลังจะแตะชายผ้าสีขาวราวหิมะของกงอิ้น
กงอิ้นพลันโค้งกายเล็กน้อย
ทุกผู้คนกลั้นลมหายใจ มองเขาโค้งกาย ดีดนิ้ว
“เพียะ”
เสียงหนึ่งดังแหวกอากาศ หยาดฝนเนิ่นนานพลันหยุดลง มองเห็นสุญญากาศโปร่งแสงสายหนึ่งปรากฏก่อนปลายนิ้วที่ยื่นออกมาของผู้นั้นด้วยตาเปล่า ตัดขาดความหวังสุดท้ายที่จะลงมือดั่งฉากกำบังโปร่งแสง
มือข้างนั้นถูกขวางไว้ห่างจากชายผ้าของกงอิ้นเสี้ยวหนึ่ง ไร้หนทางขยับเข้ามา
ใกล้เพียงเศษเสี้ยว ไกลเพียงสุดขอบฟ้า
จิ่งเหิงปัวมองดูฉากหนึ่งนี้พลันรู้สึกหนาวเหน็บในใจให้ความเมินเฉยทุกสิ่งในโชคชะตา คล้ายมองเห็นครึ่งค่อนชีวิตหลังของตนเองผ่านม่านพิรุณ ความหวังที่ใกล้เพียงประชิด การปฏิเสธที่ไกลเพียงขอบมหาสมุทร
หลังจากดิ้นรนถึงเส้นทางช่วงสุดท้าย สุดท้ายแล้วสองมือนั้นร่วงหล่นไร้เรี่ยวแรง
เสียงร้องเศร้าโศกเสียงหนึ่งประหนึ่งสุนัขป่า ทว่าพลันดังก้องทั่วตำหนักวังหลวง
“กงอิ้น! เจ้าต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ร่วงหล่นเหวลึก ผู้คนตีตนออกห่าง เนรเทศจากต้าฮวงชั่วกาล!”
เสียงร้องตะโกนทั้งโศกศัลย์ทั้งโกรธแค้น หยาดน้ำตาโลหิตเร่าร้อนคล้ายจะพุ่งถึงท้องนภา พุ่งทลายการปิดล้อมของฝนกระหน่ำ นำวาจาสลักลงบนสวรรค์ รอคอยโชคชะตาเวียนวนอย่างควรจะเป็น
ยามนี้เหลือเพียงเสียงจากฝนตกหนัก
กงอิ้นยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน แข็งทื่อเย็นชาดุจน้ำแข็งสลักคงอยู่หมื่นปี เหล่าขุนนางข้างกายเขาต่างถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความหวาดกลัว
เงาคนกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวปรากฏกายข้างกายเขา หันข้างมองดูสีหน้าเขา
กงอิ้นสะบัดหน้าไป จิ่งเหิงปัวหันตามไปด้วย กงอิ้นหันกลับมา จิ่งเหิงปัวหันกลับตามมาอีกครั้ง
หลายครั้งหลายคราว กงอิ้นไม่ได้หันอีกแล้ว หลุบตาต่ำมองดูนางอย่างแน่วแน่
จิ่งเหิงปัวเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา พลันจัดแต่งเส้นผมดำขลับที่แนบตรงขมับให้เขาแล้วยิ้มแย้ม
“เห็นเจ้าไร้ซึ่งสีหน้า รู้เลยว่าในใจเจ้าวุ่นวายดั่งพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทรแล้ว” นางยิ้มพริ้มพราย กล่าวว่า “กระไรกัน วาจาสาปแช่งประโยคเดียว ไม่สบายใจขึ้นมาแล้วหรือ?”
กงอิ้นสะบัดมือของนางออก แต่จิ่งเหิงปัวไม่ได้ถอย หงายมือกุมนิ้วมือเขาไว้
นิ้วมือสองคนประสานกัน ยกขึ้นมาครึ่งหนึ่งกลางสายฝน
กงอิ้นก้มหน้ามองดู แลมิได้สะบัดออกอีก แลมิได้เอ่ยวาจาใดอีก
เขาคงจะไม่บอกนาง เอ่ยกันว่าผู้ที่สามารถเป็นถึงตำแหน่งขุนนางผู้บัญชาการตระกูลซัง ส่วนใหญ่มาจากลุ่มน้ำเป้ยพั่นที่ลึกลับที่สุดของต้าฮวง ความมหัศจรรย์เพียงหนึ่งเดียวของเผ่าหนึ่งนั้นคือเชี่ยวชาญการสาปแช่ง โดยเฉพาะวาจาสาปแช่งที่หล่อหลอมด้วยโลหิตก่อนสิ้นลม ตั้งแต่ไหนแต่ไรเป็นจริงดุจคำมั่นสัญญาของสวรรค์
แต่จิ่งเหิงปัวรับรู้คำตอบจากดวงตาของเขาและท่ามกลางสายตาของทุกคน