หลังจากนอนหลับอีกครั้ง สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีขึ้นมากแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนพูด “ข้าจะพาเจ้าไปพบคนๆ หนึ่ง” พูดจบก็พูดเสริมอีก “ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามอะไรมาก พยักหน้า ปล่อยให้เขาจูงมือพานางออกจากประตูบ้านและขึ้นนั่งบนรถม้า เมื่อมาถึงเรือนนอก ก็เดินเข้าไปด้านใน
ภายในเรือนนอกเงียบสงัด แม้แต่เงาของคนๆ หนึ่งก็ไม่มี
หวงฝู่อี้เซวียนย่นคิ้วเล็กน้อย ตะโกนขึ้น “อี้เอ๋อร์!”
หวงฝู่อี้ได้ยินก็วิ่งออกมาจากในห้อง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะโกนร้องอย่างตกใจปนดีใจ “พี่โยวเอ๋อร์!”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะยิ้มให้
“ไต้ซือล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
“อ๋อ ไต้ซือเพิ่งจะออกไปไม่นานขอรับ ท่านบอกว่าพี่โยวเอ๋อร์ฟื้นแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ต่อแล้ว และจะไปออกท่องทั่วพิภพ อีกทั้งยังบอกให้ท่านไม่ต้องตามหาเขาขอรับ” หวงฝู่อี้ตอบ
ภายในน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนมีความร้อนรนเล็กน้อย “ไต้ซือพูดอะไรอีกหรือไม่”
หวงฝู่อี้ส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ เขาพูดเพียงเท่านี้ก็ไปแล้ว ข้าเก็บข้าวของอยู่ภายในห้อง เตรียมจะรอให้เก็บเสร็จแล้ว ก็ไปหาท่านที่บ้านแม่นางเมิ่งอยู่เลยขอรับ”
พอเขามา ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอโยวเอ๋อร์มา เขาก็ไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพบโยวเอ๋อร์ หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก แล้วภายในหัวก็มีสิ่งต่างๆ แล่นขึ้นมากมายโดยพลัน โดยเฉพาะคำพูดนั้นของพระสติไม่ดียังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา
ต่อจากนั้นไม่กี่วัน คนรู้จักมักคุ้นเกือบทั้งหมดที่ต่างทราบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้วก็มาเยี่ยม หรือแม้แต่ฮองเฮาก็ส่งคนมาเยี่ยมโดยเฉพาะ และยังส่งสิ่งของต่างๆ มาให้ไม่น้อย พร้อมกับฝากพระราชดำรัสของพระองค์มาว่า เมื่อใดที่ทั้งสองคนมีเวลาว่างก็ให้เข้าพระราชวังไปพูดคุยเป็นเพื่อนนางด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนต่อหน้าพยักหน้าน้อมรับ แต่ในใจกลับเอาคำพูดของนางเป็นเสมือนลมที่ทะลุผ่านหูไป ขืนเอาสิ่งนี้เข้าไปในหู คงมีควันออกมาเป็นแน่ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนส่งคนมาถามไถ่ลับๆ เช่นกัน คำตอบที่ได้รับคือ ถ้าหากฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่องครักษ์ลับสามพันนายยังอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ก็ปล่อยไป ไม่ต้องเกรงกลัว
พอได้คำชี้แนะ เถ้าแก่ก็วางใจ และจัดแจงแบ่งกลุ่มให้สามพันคนนั้นต่อไป
ในจวนของเมิ่งเชี่ยนโยวมีคนไปมาหาสู่ ทำให้บรรยากาศคึกคักกว่าปกติ ในขณะที่บรรยากาศในพระราชวังของเฮ่อผินกับองค์ชายหกกลับเต็มไปด้วยความหดหู่ คนในพระราชวังล้วนสบโอกาสแปรพักตร์ ทันทีที่ทั้งคู่สูญสิ้นความรักใคร่เอ็นดูจากฮ่องเต้ พวกที่เคยใกล้ชิดก็พากันตีตัวออกห่าง มิหนำซ้ำยังมีคนที่คอยฉวยโอกาสซ้ำเติม ราวกับกำแพงที่เริ่มคลอนแคลนแล้วก็ยังถูกผู้คนช่วยกันผลักให้ล้ม แม้แต่คนที่มาปลอบใจก็ไม่มี หรือแม้แต่นางรับใช้ในวังและขันที ก็ไม่ได้เต็มใจเหมือนเช่นเคยแล้ว ทว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ได้แย่ที่สุด เพราะสิ่งที่แย่ที่สุดคือ ฮ่องเต้ได้มีพระบัญชามาแล้วว่าให้องค์ชายหกออกจากเมืองหลวงไปถิ่นทุรกันดารภายในสามวัน และตอนนี้ก็ได้ผ่านไปสองวันแล้ว วันรุ่งขึ้นก็คือวันสุดท้ายเสียแล้ว
สิ่งของในตำหนักขององค์ชายหกที่สามารถแตกหักได้ ล้วนถูกทำให้แตกหักทั้งสิ้นไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว นอกจากนี้ เพราะเขาจะไปแล้ว สำนักพระราชวังก็ไม่ได้ส่งคนมาบอกให้เขาทำอะไรเพิ่มอีก บัดนี้ ในห้องของเขานอกจากเหลือเพียงโต๊ะและเก้าอี้ไม้ไม่กี่ตัว ของฟุ่มเฟือยอื่นๆ ล้วนไม่มีทั้งสิ้น
องค์ชายหกล้มทั้งโต๊ะและเก้าอี้เพื่อระบายอารมณ์ฉุนเฉียว แล้วนอนแผ่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง หนนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ แผนการต่างๆ ที่จัดการดำเนินมาอย่างยากลำบากในหลายปีนี้ล้วนพังราบเป็นหน้ากลองในพริบตา ถึงไม่ยินยอม ก็ไม่มีแรงที่จะพลิกสถานการณ์อีก เฮ่อจางถูกถอนตำแหน่ง สนมเฮ่อก็ถูกลดศักดิ์ ที่พึ่งพิงทั้งหมดของเขาล้วนไม่มีแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่จำนนอีก ก็ไม่อาจทำอะไรได้ และทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเมตตาที่เมิ่งเชี่ยนโยวมอบให้ ถูกต้อง ก็เพราะเมิ่งเชี่ยนโยว เพราะนางทำให้ตัวเองตกต่ำจนมีสภาพเช่นนี้ และเพราะนางที่ทำให้พระมารดาตกต่ำจนพบกับจุดจบเช่นนี้ และยิ่งเป็นเพราะนางที่ทำให้บรรพบุรุษตระกูลตัวเองกลายเป็นตัวตลกของผู้คนในเมืองหลวง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเพราะนาง เพราะนางทั้งสิ้น! คิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาขององค์ชายหกก็เผยไฟแห่งความชิงชัง ความโกรธแค้นและปนด้วยความชั่วร้าย นางมีสิทธิ์อะไรที่ตอนนี้จะมีชีวิตที่หวานสุข ขณะที่ครอบครัวตัวเองกลับได้รับผลตอบแทนเช่นนี้ ไม่ได้ เขาจะไม่ยอมให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ขนาดนี้ เขาต้องล้างแค้น เขาต้องทำให้นางไม่ได้ตายดี
เมื่อโดนความโกรธแค้นครอบงำ นัยน์ตาขององค์ชายหกเผยให้เห็นแสงของสัตว์ป่าบ้าเลือด เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และแผดเสียงร้อง “ใครก็ได้!”
เขาตะโกนติดต่อกันสองครั้ง ถึงจะมีขันทีผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งอย่างร้อนรนเข้ามา และพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายหก”
“เจ้า ไปเรียกมหาเสนาบดีมาหาข้า บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนที่อยากพบเขา” องค์ชายหกออกคำสั่ง
ขันทีไม่ขยับ ถามด้วยเสียงสั่น “มหาเสนาบดีท่านไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…” องค์ชายหกยกเท้าขึ้นมาโดยความโกรธ
ขันทีตกใจจนหัวใจเต้นตึกตัก แล้วคุกเข่าลงไปที่พื้น “บ่าวเพิ่งจะมาใหม่ ไม่ทราบจริงๆ ว่าองค์ชายหกทรงมีประสงค์จะหามหาเสนาบดีท่านไหนพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้ถึงได้นึกออก เฮ่อจางถูกปลดตำแหน่ง ไม่ได้เป็นมหาเสนาบดีแล้ว สถานะปัจจุบันของเขาตอนนี้คือไม่สามารถเข้าพระราชวังได้
เขาจึงวางเท้าลง สะบัดแขนเสื้อ เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
รอเขาเดินไปไกลแล้ว ขันทีผู้น้อยถึงจะกล้าปีนตัวขึ้นจากพื้น ซับเหงื่อที่ไหลออกบนหน้าผาก เดินไปด้านนอก ขันทีผู้น้อยอีกคนหนึ่งเข้ามาตรงหน้า แล้วด่าว่า “สมน้ำหน้า ใครให้เจ้าไม่จำให้ดีล่ะ เพิ่งจะบอกเจ้าไปหยกๆ ว่าตอนนี้พระองค์ก็คือหมาบ้าตัวหนึ่ง ที่ตามใครก็จะกัดคนนั้น เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ไกลๆ เสีย หากมีรับสั่งอะไร แสร้งทำว่าไม่ได้ยินก็พอแล้ว อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้พระองค์ก็เสด็จไปแล้ว และจะไม่กลับมาอีกตลอดกาล”
ขันทีผู้น้อยนี้ย้อนนึกเรื่องเมื่อครู่แล้วก็รู้สึกหวาดหวั่น จึงพยักหน้าไม่หยุด “ครั้งนี้จะจำไว้แล้ว อีกครู่หนึ่งข้าก็จะเดินหนีไปไกลๆ แล้ว ไม่ว่าพระองค์จะตะโกนเรียกอย่างไร ข้าก็จะไม่รับหน้าเข้าไปอีก”
องค์ชายหกมาถึงที่พักที่ซอมซ่อปัจจุบันของเฮ่อผินอย่างโมโห พอคิดจะเข้าไป กลับถูกคนกันอยู่นอกประตู “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เฮ่อผินถูกกักบริเวณเพื่อสำนึกผิด ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเยี่ยมได้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกจนปัญญา มองไปยังประตูใหญ่ที่ปิดสนิท แล้วหันกายเดินออกพระราชวังไป มายังจวนเฮ่อ
ประตูใหญ่ของจวนเฮ่อปิดสนิท หน้าประตูเต็มไปด้วยความแห้งแล้งหดหู่ มิได้มีความคึกคักเหมือนเมื่อก่อน
องค์ชายหกเดินเข้ามาข้างหน้า คว้าห่วงทองแดงที่ประตูใหญ่ แล้วออกแรงเคาะสองสามครั้ง
ผ่านไปนานประตูใหญ่ถึงจะเปิดออกจากด้านใน นายประตูชะโงกหน้าออกมา พอเห็นชัดว่าเป็นองค์ชายหก จึงกระวีกระวาด และเปิดประตูใหญ่ออกมาครึ่งประตู “องค์ชายหก ทรงเสด็จมาแล้วหรือ เชิญเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกยกเท้าขึ้นก้าวข้ามไปในจวน พลางถามขึ้น “ท่านตาล่ะ”
“นายท่านอยู่ในห้องพ่ะย่ะค่ะ นอนอยู่บนเตียงมาหลายวันแล้ว”
เมื่อตรงมาถึงภายในเรือนของเฮ่อจาง ผู้ดูที่เฝ้าอยู่นอกห้องก็เดินเข้ามาแสดงความเคารพต่อเขา
เฮ่อจางได้ยินเสียงพูดของผู้ดูแล จึงกระวีกระวาดลุกตัวขึ้นนั่ง
องค์ชายหกเข้ามาในห้อง เห็นเฮ่อจางที่ไม่ได้เจอหลายวันดูแก่ลงอย่างมาก ความรู้สึกเกลียดชังในใจเพิ่มพูนยิ่งขึ้น และพูดอย่างตรงไปตรงมา “ท่านตาขอรับ นังสาวใช้ชั้นต่ำนั่นทำร้ายพวกเราถึงขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าท่านจะยอมหยุดเพียงเท่านี้”
แน่นอนว่าเฮ่อจางมิได้ยินยอม หลายวันนี้ที่นอนอยู่บนเตียงก็คิดหาวิธีนับไม่ถ้วนที่จะทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตกอยู่ในสภาพที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีก ได้ยินดังนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกลียด “องค์ชายหก ข้า…” พูดมาถึงตรงนี้ ก็นึกถึงตัวเองที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งมหาเสนาบดี จึงเปลี่ยนคำ กัดฟันกรอด และเผยใบหน้าแสยะยิ้ม “ยอมหรือ เป็นไปได้อย่างไรกันล่ะ หากข้าตายก็จะต้องลากพวกมันลงไปด้วยสิ”
หนึ่งชั่วยามผ่านไป องค์ชายหกมีใบหน้าที่เบิกบานเดินออกจากจวนเฮ่อ หลังจากที่เขาเดินไป ประตูหลังของจวนเฮ่อก็มีองครักษ์ลับสวมชุดสีดำจำนวนหนึ่งควบม้าเร็วมุ่งออกไปคนละทาง
วันถัดมา ไม่มีใครมาส่งองค์ชายหก ไม่มีนางกำนัลหรือขันทีติดตามไปด้วยแม้แต่คนเดียว เขาได้แต่ขึ้นนั่งรถม้าไปถิ่นทุรกันดารอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
สองวันผ่านไป จางเจ๋อหวยผู้เป็นนายอำเภอแห่งหลินเฉิงสั่งคนขี่ม้าเร็วมาส่งข่าว ไม่รู้ว่าเหตุอันใด หลายมาวันนี้มันฝรั่งที่ปลูกไว้ล้วนตายลงมากมาย และยังมีโอกาสที่จะตายแผ่ออกเป็นวงกว้างอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยิน ก็ร้อนใจอย่างมาก พลันจะออกตัวเดินทางไปเมืองหลินเฉิง
หวงฝู่อี้เซวียนขวางนางไว้ “ร่างกายของเจ้าเพิ่งจะดีขึ้น ไม่ควรที่จะต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล เจ้าพักผ่อนอยู่ที่บ้านให้สบายเสีย ข้าไปเองแล้วกัน”
ก็ดี เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า บอกเขาถึงเรื่องต่างๆ ที่ต้องระวังอย่างละเอียด
หวงฝู่อี้เซวียนจดจำแต่ละอย่างไว้ แล้วกำชับนาง “ไม่ช้าข้าก็จะกลับมา ช่วงนี้เจ้าอย่าไปไหน เป็นเด็กดีรอข้ากลับมา หากมีเรื่องอะไร ก็ให้คนส่งข่าวไปบอกข้าโดยเร็วที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนผงกศีรษะ รับคำ
หวงฝู่อี้เซวียนกลับจวนไปบอกอ๋องฉีและพระชายาฉี แล้วพาองครักษ์ลับสิบนายไปยังหลินเฉิง
เวลาถัดมาหลังจากที่เขาออกไป เหวินหู่ก็ขี่ม้ามาอย่างรีบเร่ง ทันทีที่เข้าประตู ก็แผดเสียงร้องขึ้น “นายหญิง ที่บ้านเกิดเรื่องแล้วขอรับ!”