บทที่ 136 ร่วมมือกันด้วยดี โดย Ink Stone_Romance
ผู้จัดการชุยอธิบายรายละเอียดของสกุลเว่ยให้อวี๋หวั่นฟังว่า คุณชายห้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย และเป็นพี่น้องกับเซียวเจิ้นถิงแม่ทัพใหญ่ของพลทหารม้า เป็นบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่ คนที่เขาเรียกว่า ‘พี่ใหญ่’ ดูแล้วคงมิใช่พ่อค้าธรรมดา
เห็นเพียงแค่คนขับรถม้าเปิดม่าน บุรุษร่างสูงใหญ่กำยำก้าวเดินลงมา ดูแล้วน่าจะอายุเพียงสามสิบต้นๆ ดูมีพลัง มีใบหน้าที่คมคาย ดูโดดเด่นสมชาย แต่เขาเป็นคนที่คุณชายห้าเรียกว่า ‘พี่ใหญ่’ คิดแล้วก็ไม่น่าจะอายุน้อยเช่นนี้
รังสีที่แผ่ออกมาของเขาแตกต่างจากนักธุรกิจที่อวี๋หวั่นเคยเห็น เขาสะกดฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย
ความประทับใจแรกในใจของอวี๋หวั่นคือเขาเป็นคนที่แข็งแกร่ง
หลังจากนายท่านฉินลงจากรถก็มีเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดตามเขาไป เขาสวมชุดสีฟ้าและถือพัดไว้ในมือ ผิวขาวราวกับหยก ท่าทางดูเจ้าชู้ มีดวงตาดอกท้อคู่ใสดั่งเกลียวคลื่น ช่างดูดีและสง่างาม
คุณชายห้าแนะนำ “แม่นางอวี๋ นี่คือพี่ใหญ่ฉินของข้า ผู้คนเรียกว่านายท่านฉิน นี่คือหลานนอกของเขาฉินจื่อซวี่”
หลานนอกก็แซ่ฉินด้วยรึ?
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะสงสัย แต่เธอก็มิได้ถามอะไรมาก และกล่าวทักทายอย่างใจเย็น “นายท่านฉิน คุณชายฉิน”
เป็นเรื่องยากที่จะพบสตรีที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านฉิน นับประสาอะไรกับสาวชาวบ้านตัวเล็กๆ แต่ทั้งลุงและหลานชายก็ไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจมากนัก ถึงอย่างไรคนที่คุณชายห้าจะยกย่องต้องมิใช่คนธรรมดาแน่
นายท่านฉินยิ้ม “แม่นางอวี๋”
“เชิญเข้ามาก่อน” อวี๋หวั่นต้อนรับพวกเขาทั้งสามเข้ามาในบ้าน คุณชายห้านับว่าคุ้นเคย ก้าวเท้าเดินนำหน้า ส่วนนายท่านฉินและฉินจื่อซวี่ก็ตามไปอย่างไม่เร่งรีบ
เมื่อเทียบกับนายท่านฉินที่ลึกลับคนนี้ อวี๋หวั่นกลับให้ความสนใจกับคุณชายฉินมากกว่า เธอรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้มีเสน่ห์มากเหลือเกิน ดวงตาที่จับจ้องนั้นราวกับจะมองทะลุเข้าไปในหัวใจมนุษย์
อวี๋หวั่นหันหน้าไปอย่างมิได้ตั้งใจและพบกับสายตาที่จ้องมองของฉินจื่อซวี่โดยบังเอิญ
ชายผู้นี้จ้องมองเธอตลอดเวลาหรือ?
ฉินจื่อซวี่ที่ถูกจับได้แทนที่จะเก้อเขิน กลับยกมุมปากขึ้นและเผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใส
อวี๋หวั่นที่ปกติแล้วไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร เมื่อรวบรวมสติได้ เธอก็พยักหน้าอย่างสุภาพและพาทั้งสามคนเข้าไปในบ้าน
ป้าสะใภ้ใหญ่กับสองพี่น้องได้เก็บกวาดความยุ่งเหยิงทั้งหมดและเอาไม้กวาดไปซ่อนแล้ว ต่างจัดแจงน้ำชาและอาหารไว้อย่างเพรียบพร้อม “พ่อของพวกเจ้าไปที่บ้านหลี่เจิ้ง เดี๋ยวข้าจะไปเรียกเขา”
พูดจบ ลูกชายตัวน้อยที่มีใบหน้าปูดบวมสะบักสะบอมก็จากไป
ส่วนอวี๋เฟิงอยู่จัดการธุรกิจร่วมกับอวี๋หวั่น
สองพี่น้องก็ได้รู้ประวัติของนายท่านฉินจากการแนะนำของคุณชายห้า และรู้สึกประหลาดใจที่นายท่านฉินผู้นี้จริงๆ แล้วเป็นรองหัวหน้าของสมาพันธ์ธุรกิจเจียงจั่ว ทรัพย์สินภายใต้ชื่อของเขากระจายอยู่ทั่วเจียงจั่ว โดยเฉพาะร้านอาหารและโรงน้ำชาที่โดดเด่นที่สุด นายท่านฉินต้องการผลักดันธุรกิจของเขาเข้าสู่เมืองหลวงมาตลอด แต่เพราะมียักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่างหอเทียนเซียง จึงยากสำหรับพวกเขาที่จะก้าวต่อไปได้ ตอนนี้มีเรื่องอื้อฉาวระหว่างพ่อครัวหยางกับสวี่เฉิงเซวียน ทำให้หอเทียนเซียงถึงคราววิกฤต ชื่อเสียงก็ตกต่ำลง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะใช้โอกาสนี้
นายท่านฉินได้เตรียมตัวก่อนที่จะมาที่นี่ เขาได้ยินเกี่ยวกับปัญหาระหว่างลุงใหญ่และหอเทียนเซียงมาก่อน เขาเอ่ยว่า “หอเทียนเซียงไม่ให้พ่อครัวอวี๋ได้เจิ้งหมิง[1] แต่พวกเราหอจุ้ยเซียนสามารถให้ได้”
หอจุ้ยเซียน(หอเซียนขี้เมา) ชื่อนี้ช่างน่าขายหน้านัก
อวี๋หวั่นถามว่า “พวกท่านต้องการซื้อสูตรอาหารทั้งห้าของบ้านเราหรือ?”
“ไม่” นายท่านฉินเอ่ย “ข้าแค่บอกว่าจะให้พ่อครัวอวี๋ได้เจิ้งหมิง มิได้บอกว่าจะซื้อสูตรอาหารของเขา อีกอย่างหอเทียนเซียงก็เคยซื้อไปแล้ว ถ้าหอจุ้ยเซียนไปซื้ออีก จะไม่กลายเป็นของเหลือจากหอเทียนเซียงหรอกรึ?”
นายท่านฉินเป็นคนชั้นสูง แค่ทำเงินได้ไม่เพียงพอสำหรับเขา หากแต่ต้องทำเงินอย่างมีรูปแบบด้วย
อวี๋หวั่นเริ่มรู้สึกชื่นชมเขาเล็กน้อย “นายท่านฉินไม่มีทางให้ลุงใหญ่ของข้าได้เจิ้งหมิงเปล่าๆ แน่”
“ข้าเคยกินเต้าหู้เหม็นของบ้านเจ้าแล้ว ข้าอยากซื้อมัน”
“ข้าไม่ขายสูตร แต่ข้าจัดหาให้ท่านได้”
“แม่นางอวี๋ เจ้าค่อยปฏิเสธหลังจากฟังราคาก่อนดีหรือไม่”
“นายท่านฉินจะลิ้มลองรสชาติใหม่ก่อนแล้วค่อยพิจารณาราคาดีหรือไม่?”
นายท่านฉินอยู่ในแวดวงการค้ามาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกดรุณีตัวเล็กๆ พูดย้อนอย่างพลั้งปาก
ฉินจื่อซวี่ที่อยู่ด้านข้าง มองไปที่อวี๋หวั่นด้วยความสนใจและพูดกับนายท่านฉิน “ท่านลุง ข้ามิได้ไปงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินเว่ย ข้ายังไม่ได้ชิมฝีมือของแม่นางอวี๋เลย”
อวี๋หวั่นมองไปที่ฉินจื่อซวี่อย่างสงบนิ่ง นี่เรื่องจริงหรือ? เด็กผู้ชายคนนี้กำลังช่วยพูดให้อยู่รึ?
นายท่านฉินตบไหล่หลานชายของเขา “ได้ ได้ ได้ ในเมื่อเจ้าอยากกิน เช่นนั้นคงต้องรบกวนแม่นางอวี๋ทำมาให้หน่อย”
อวี๋หวั่นเคยทำเต้าหู้เหม็นสีขาวที่บ้านสกุลเว่ยมาก่อน แต่วันนี้เธอเปลี่ยนเป็นหัวเชื้อที่ทำจากก้านผักโขม หมักออกมาเป็นเต้าหู้เหม็นสีดำ ซึ่งไม่เพียงแต่มีกลิ่นเหม็นเท่านั้น ตอนกินก็เหม็น รสที่ค้างอยู่ในคอก็เหม็นยิ่งกว่า
เธอทำมาสามรสชาติ อย่างแรกไม่มีไส้ ถัดมาเป็นไส้น้ำแกงเต้าเจี้ยวหมักและสุดท้ายคือไส้หัวไชเท้าหั่นเต๋าเผ็ดหวาน
นายท่านฉินน้ำตาไหลออกมาด้วยกลิ่นเหม็นที่ไม่อาจอธิบายได้ มิใช่ว่าเคยกินเต้าหู้เหม็นสีขาวแต่ตอนนี้เป็นสีดำ เพียงแต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ภายนอกก็ทำให้นายท่านฉินตกใจจนหนีไป
คุณชายห้าอดใจรอไม่ไหว เขาคีบเต้าหู้เหม็นไส้น้ำแกงเต้าเจี้ยวหมัก เต้าหู้กรอบหอมและร้อน เต้าเจี้ยวหมักมีรสเค็มเผ็ดและเย็น เมื่อกัดลงไปจะพบกับเนื้อสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มในประสานเข้าด้วยกัน อร่อยมากจนเขาแทบจะกรีดร้อง
นายท่านฉินกินด้วยตัวเองก่อนที่จะให้หลานชายของเขา
คอของฉินจื่อซวี่เลื่อนออกราวกับว่ากำลังต่อต้านสิ่งที่ทั้งเหม็นและน่ากลัวเช่นนี้
แต่ใครให้เขาต้องการล่ะ? ตนเองอยากได้เต้าหู้ แต่ก็ร้องไห้ที่ต้องกินมันลงไป
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง คุณชายฉิน” อวี๋หวั่นถามด้วยรอยยิ้ม
“อื้มม…” ฉินจื่อซวี่กินชิ้นที่สี่ไปแล้ว ปากของเขาเต็มจนไม่อาจพูดอะไรได้
คุณชายห้ากำลังจะคีบอีกครั้ง แต่กลับถูกฉินจื่อซวี่ดึงไปทั้งจาน
คุณชายห้ายืดแขนออกไปเพื่อคีบอีกครั้ง
ฉินจื่อซวี่หันหลังให้เขาอย่างแน่วแน่พร้อมกับเก็บจานไว้ในอ้อมแขนและกินคนเดียว
ฉินจื่อซวี่กินอย่างหอมหวาน แก้มของเขาป่องออกเป็นสองลูก ดูหน้าตาน่ารัก มองแวบแรกเขาดูเหมือนกระรอกอ้วนตัวน้อยที่น่ารักและน่าดึงดูด
หลานชายไม่สามารถหยุดกินได้ กลัวคุณชายห้าจะแย่งอาหาร สุดท้ายก็ไปนั่งกินบนธรณีประตูพร้อมกับจานอาหาร นายท่านฉินนึกเสียใจที่พาเจ้าเด็กบ้าที่น่าอับอายคนนี้ออกมาด้วย
สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดในการเจรจาธุรกิจคือการตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบก่อน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉินจื่อซวี่ถูกชักใยควบคุมไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ถึงทิ้งฉินจื่อซวี่ไว้ไม่ให้เจรจาด้วย นายท่านฉินเองก็พอใจกับรสชาติใหม่เป็นอย่างมาก
แต่ดรุณีผู้นี้พูดว่าอะไรนะ? ไม่ขายสูตร แต่จัดหาให้อย่างเดียว?
“เจ้าจะรับประกันได้หรือไม่ว่าจะส่งให้ข้าเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น” นายท่านฉินถาม
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “นั่นขึ้นอยู่กับจำนวนที่นายท่านจะสั่งซื้อ ถ้าหากว่านายท่านฉินสั่งเพียงวันละไม่กี่ร้อยชั่ง[2] แล้วให้ส่งเฉพาะร้านของท่านเพียงเจ้าเดียว คนงานของเราก็คงจะอดตาย”
นายท่านฉินครวญคราง “สาวน้อย หอจุ้ยเซียนของเราแค่ยังมิได้เปิดในเมืองหลวงเท่านั้น เจ้าอย่าเพิ่งคิดว่ามีเพียงหนึ่งหรือสองร้านเท่านั้น ข้าเกรงว่าถึงตอนนั้นเจ้าจะทำส่งไม่ทันเสียมากกว่า และมันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของหอจุ้ยเซียน”
หอจุ้ยเซียนไม่เป็นที่รู้จักในเมืองหลวง แต่หากไปที่เจียงจั่วล่ะก็ นั่นคือโลกของเขา นายท่านฉิน!!
………………………………
[1] เจิ้งหมิง正名 เรียกว่า การทำนามให้เที่ยง หมายถึง การทำหน้าที่ทางสังคมตามสถานะทางสังคมของตน (Rectification of the name)
[2] ชั่ง 斤(จิน) คือ หน่วยน้ำหนักที่เท่ากับ 500 กรัม