ตอนที่ 262-1 แม่ลูกคู่หนึ่ง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ตั้งแต่กลับมาจากเรือนอาจารย์ซู เสิ่นเวยก็คิดถึงคำพูดของอาจารย์ซู ไตร่ตรองครู่หนึ่งก็เรียกเย่ว์กุ้ยเข้ามา ออกคำสั่งเสียงต่ำกับนางหลายประโยค เย่ว์กุ้ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “จวิ้นจู่วางใจ บ่าวทราบแล้ว”

 

 

เสิ่นเวยสั่งอีกหนึ่งประโยค “เรื่องนี้ต้องจัดการเงียบๆ อย่าให้คนอื่นเห็นเสียล่ะ”

 

 

เย่ว์กุ้ยกลัวในใจ รู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ในใจแอบเตือนตัวเองว่าต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น

 

 

เสิ่นเวยให้เย่ว์กุ้ยไปบอกกล่าวจางสยงกับชวีไห่ เพื่อความปลอดภัย นางจะต้องจับจ้องคนทั้งหมดในจวนเสนาบดีฉิน นอกจากทหารลับแล้ว เพิ่มจางสยงกับชวีไห่สองกลุ่มนี้ นางไม่เชื่อว่าคนของจวนเสนาบดีฉินจะไม่ทิ้งร่องรอยเหมือนท่านเสนาบดีฉินจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นทั้งหมด ขอเพียงแค่เผยเบาะแสเงื่อนงำเพียงเล็กน้อย นางก็สามารถสืบตามปมลงไปได้

 

 

เสิ่นเซ่าจวิ้นที่เดิมควรจะถึงนานแล้ว กระทั่งการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูจบลงก็เพิ่งจะย่างกรายมาถึง เสิ่นเวยฟังหู่โถวที่ไปรับคนบอกว่าเขาพาแม่ลูกคู่หนึ่งเข้าเมืองหลวงมาด้วย มือที่ถือแก้วชาอยู่ก็หยุดชะงัก

 

 

“แม่ลูกคู่หนึ่งงั้นหรือ” เสิ่นเวยอดขึ้นเสียงสูงไม่ได้ สีหน้าก็นิ่งขรึมลง

 

 

สีหน้าของหู่โถวเองก็ไม่ดีอย่างยิ่ง “ขอรับ ฟู่กุ้ยข้างกายท่านอาเซ่าจวิ้นบอกว่าช่วยไว้ระหว่างทาง คนอยู่หน้าประตูใหญ่แล้ว ท่านอาเซ่ากุ้ยขอให้ท่านอาช่วยจัดแจงให้”

 

 

ไม่นึกว่านางเฝ้ารอเขามาเมืองหลวงทุกวัน แต่เขากลับเสียเวลาเดินทางเพราะคนที่ไม่มีความสำคัญ เสิ่นเวยรู้ตัวดีว่าทุ่มเทกายใจให้เขามากที่สุด แต่เขากลับตอบแทนนางเช่นนี้งั้นหรือ หากนางยกย่องคนที่แยกแยะความสำคัญไม่ได้เช่นนี้ เช่นนั้นนางยอมที่จะตัดหนทางสู่ยศตำแหน่งของเขาด้วยมือตัวเอง ดวงตาของเสิ่นเวยมีความเหยียดหยันแวบผ่าน

 

 

เห็นเสิ่นเวยโมโห ในใจหู่โถวก็ไม่พอใจเสิ่นเซ่าจวิ้นอย่างถึงที่สุด ท่านอาเซ่าจวิ้นผู้นี้เลอะเลือนเกินไปแล้ว ช่วยคนเป็นเรื่องดี แต่เหตุใดยังต้องพาเข้าเมืองหลวง ไม่รู้หรือว่าตัวเองมาเมืองหลวงเพื่อทำอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาแต่งงานมีบุตรนานแล้ว มีสตรีเยาว์วัยติดตามอยู่ข้างกายหมายความว่าอย่างไร

 

 

แม้ว่าไม่พอใจ แต่หู่โถวก็ยังคงพูดเข้าข้างเสิ่นเซ่าจวิ้นหลายประโยค อย่างไรเสียก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน ท่านอาเซ่าจวิ้นมีอนาคตก็ถือเป็นเกียรติสูงสุดของสกุลเสิ่นทั้งตระกูล

 

 

“ท่านอา ท่านอาเซ่าจวิ้นไม่ใช่คนไม่มีแผนการเช่นนั้น คงจะมีความลำบากใจอะไรกระมัง หรือว่าหลานไปเรียกฟู่กุ้ยมา แล้วท่านอาลองถามดูดีหรือไม่” หู่โถวกล่าวอย่างกังวลเล็กน้อย

 

 

เดิมเสิ่นเวยโมโหเดือดดาล ได้ยินหู่โถวพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าแต่ไหนแต่ไรเสิ่นเซ่าจวิ้นเป็นคนประพฤติตนตามกฎระเบียบจริงๆ น่าจะไม่มีลับลมคมนัยอะไร จึงพยักหน้ากล่าว “ไปเรียกฟู่กุ้ยเข้ามา!” เรื่องนี้ถามให้แน่ชัดจึงจะถูก

 

 

หู่โถวเห็นเสวิ่นเวยยอมพบฟู่กุ้ย ก็รู้ว่านี่หมายความว่าท่านอายังยอมให้โอกาสท่านอาเซ่าจวิ้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่ได้ รีบไปเรียกฟู่กุ้ยทันที

 

 

ฟู่กุ้ยคือเด็กรับใช้ของเสิ่นเซ่าจวิ้น สามปีก่อนเขาสอบเป็นบัณฑิตระดับมณฑลได้ก็ตามอยู่ข้างกายเขาแล้ว หากอยู่ในชนบท กลับยังพูดได้ว่าปราดเปรื่อง แต่มาถึงเมืองหลวงดินแดนศิวิไลซ์แห่งนี้ก็เทียบไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขานั่งอยู่ในห้องยามประตูใหญ่ของจวนจวิ้นอ๋อง แม้ว่าจะพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นของตนเองไว้ แต่เหงื่อบนหน้าผากนั้นก็ไหลไม่หยุด ในใจพะว้าพะวงอย่างยิ่ง

 

 

แม่จ๋า นี่คือจวนจวิ้นอ๋อง เพียงแค่ห้องยามประตูใหญ่ก็กว้างโล่งสะอาดถ่ายเทยิ่งกว่าห้องหลักที่นายท่านผู้เฒ่าหัวหน้าตระกูลอยู่แล้ว ฟังว่ากูไหน่ไนผู้นี้ของตระกูลเสิ่นเป็นจวิ้นจู่เหนียงเหนียง เช่นนั้นจะต่างอะไรจากเทพยดาบนสวรรค์

 

 

สองแม่ลูกคู่นั้นอีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ได้ต่างกันมาก เก็บมือเก็บเท้า ดวงตาต่างก็นิ่งงัน อยากไต่ถามสถานการณ์เล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้า

 

 

ตอนที่หู่โถวมาหาคนก็มองเห็นภาพๆ นี้ เขากลับไม่ดูถูก หากเขาไม่ได้ฝึกฝนในเมืองหลวงกับท่านอามาในช่วงปีนี้ เขาก็คงไม่ได้ดีไปกว่าฟู่กุ้ยเลย เขากวาดตามองแม่ลูกคู่นั้นปราดหนึ่งก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กล่าวกับฟู่กุ้ย “ไปเถิด จวิ้นจู่อยากพบเจ้า”

 

 

ฟู่กุ้ยลนลานในชั่วขณะ “คุณชายหู่โถว จวิ้น…จวิ้นจู่…” เขากลัวจนพูดไม่ออกแล้ว

 

 

หู่โถวเห็นท่าทางกระวนกระวายนั่นของเขา ทั้งโมโหทั้งขบขันจริงๆ “อย่างไรเสียเจ้าเองก็ติดตามท่านอาเซ่าจวิ้นอยู่ที่วิทยาลัยชิงซานสามปีแล้ว เหตุใดถึงยังมีท่าทางเช่นนี้อยู่เล่า เจ้าวางใจ จวิ้นจู่ของพวกเราใจดี ถามอะไรเจ้าเจ้าก็ตอบไปตามตรงก็พอแล้ว” เขากล่าวเตือน

 

 

ฟู่กุ้ยพยักหน้าไม่หยุด เดินตัวปลิวแล้ว ยังจมดิ่งอยู่ในความตื่นตะลึงที่จวิ้นจู่เรียกพบเขา

 

 

“พี่ชายน้อยฟู่กุ้ย พวกเราเล่า” แม่ลูกคู่นั้นเห็นคนรู้จักเพียงคนเดียวถูกเรียกไปแล้ว ชั่วขณะก็ลนลาน ไม่สนใจความกลัวแล้ว

 

 

ฟู่กุ้ยละสายตามองแม่ลูกคู่นั้น บนใบหน้าลำบากใจอย่างถึงที่สุด มองหู่โถวข้างๆ อย่างอดไม่ได้ “คุณชายหู่โถว คุณชายใหญ่ให้ผู้น้อยพาพวกนางแม่ลูกมาด้วย”

 

 

คิ้วของหู่โถวขมวดมุ่นทันที ทิ้งท้ายหนึ่งประโยค “รอก่อน” เขาไม่มีความรู้สึกดีต่อสองแม่ลูกคู่นี้เลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

ฟู่กุ้ยเห็นหู่โถวเดินไปแล้ว ก็รีบกำชับหนึ่งประโยค “พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน” จากนั้นก็รีบตามไป

 

 

สองแม่ลูกคู่นั้นก็คิดจะตามไป แต่เห็นเด็กรับใช้ในห้องยามประตูใหญ่จ้องมองพวกนาง ก็ไม่กล้าแล้ว ทำได้เพียงหดตัวรออยู่ที่เดิมอย่างอกสั่นขวัญแขวน ในใจแอบเสียดายว่าไม่ควรตามฟู่กุ้ยมาจวนจวิ้นอ๋องอะไรนี่เลย น่าจะตามคุณชายเซ่าจวิ้นไปดีกว่า

 

 

เสิ่นเวยเองก็ไม่ทำให้ฟู่กุ้ยลำบากใจ ถามเขาว่าแม่ลูกคู่นั้นเป็นมาอย่างไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน

 

 

นี่ทำให้ฟู่กุ้ยที่กังวลใจมาตลอดทางถอนหายใจอย่างโล่งอกเงียบๆ แม้จะเป็นเช่นนี้เขาก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอยู่ดี เพียงแค่ก้มหน้ามองพื้นหน้าเท้าตัวเอง คิดถึงคำพูดของคุณชายหู่โถว แล้วกล่าวตามความจริง “จวิ้นจู่เหนียงเหนียง แม่ลูกคู่นั้นเป็นคนที่คุณชายใหญ่ช่วยไว้ตอนที่ผ่านเมืองอินหู แม่นางผู้นั้นแซ่หวัง พ่อนางจากไปเมื่อสามปีก่อน ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันกับแม่ของนาง ในตระกูลอยากได้มรดกของครอบครัวนาง จึงคิดจะแต่งพวกนางสองแม่ลูกออกไป หาพ่อหม้ายอายุสี่สิบกว่าปีให้แม่นาง ในครอบครัวมีลูกห้าคน ในครอบครัวยากจนจนเหลือเพียงเตียงแค่หลังเดียว คนในตระกูลเห็นแม่นางหวังหน้าตาดี จึงแนะนำนางให้เป็นอนุภรรยาของตระกูลเศรษฐีท้องที่ สองแม่ลูกตระกูลหวังสาบานว่าให้ตายก็ไม่ยอม ระหว่างที่ฉุดรั้งกันแม่นางหวังก็คิดสั้น ชั่วขณะชนลงตรงหน้าคุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่เป็นคนใจอ่อน เห็นแม่ลูกคู่นี้น่าสงสารจริงๆ จึงช่วยพูดให้ความเป็นธรรมหลายประโยค ซ้ำยังเปิดเผยฐานะจวี่เหริสั่นสะเทือนคนในตระกูลหวัง ท้ายที่สุดยังไปพูดกับผู้ปกครองเมืองอินหู”

 

 

“เช่นนั้นเหตุใดพวกนางถึงได้เข้าเมืองหลวงพร้อมคุณชายของพวกเจ้าเล่า” ฟังฟู่กุ้ยเล่าแล้ว ไฟโกรธของเสิ่นเวยก็ลดลงเล็กน้อย ช่วยคนเป็นเรื่องดี แม้ว่านางจะเจอเรื่องเช่นนี้ก็ต้องช่วยด้วยเช่นกัน

 

 

“ทูลจวิ้นจู่เหนียงเหนียง คุณชายของพวกข้าเองก็ไม่ได้คิดจะพาพวกนางเข้าเมืองหลวง คุณชายพูดชัดเจนแล้ว เขาเป็นจวี่จื่อที่เข้าเมืองหลวงเพื่อมาสอบ ตนยังมีภาระอยู่ สองแม่ลูกคู่นั้นก็ร้องไห้อ้อนวอน ทั้งยังยอมเป็นบ่าวรับใช้ คุณชายของพวกข้าล้วนไม่รับปาก” ฟู่กุ้ยพูดเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง “เป็นสองแม่ลูกคู่นี้ที่แอบตามพวกข้ามา กว่าพวกข้าจะสังเกตเห็นก็เดินทางมาได้ร้อยลี้แล้ว คุณชายก็ใจแข็งปล่อยพวกนางไปเผชิญความเป็นความตายด้วยตัวเองไม่ได้ หมดหนทางจึงพาพวกนางมาด้วย”

 

 

อ้อ ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้เองหรือ เสิ่นเวยพยักหน้า ขอเพียงแค่ไม่ใช่เสิ่นเซ่าจวิ้นหลงใหลมัวเมาก็พอแล้ว หากรู้ว่ายังสอบไม่ผ่านก็ลุ่มหลงในตัณหา คนเช่นนี้ต่อให้ช่วยยกเขาขึ้นไป เขาก็เดินไปได้ไม่ไกลหรอก

 

 

“ตลอดทางนี้คุณชายของเจ้าพูดคุยกับแม่นางหวังผู้นั้นเยอะหรือไม่” เสิ่นเวยยังไม่วางใจถามต่อ

 

 

ฟู่กุ้ยส่ายหน้า “ไม่เยอะขอรับ แม่นางหวังผู้นั้นกลับอยากหาโอกาสมาคุยกับคุณชาย ทั้งยังทำรองเท้าให้คุณชาย ล้วนแต่ถูกคุณชายปฏิเสธ คุณชายบอกว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัว ไม่อาจทำลายชื่อเสียงอันดีของบุตรสาวผู้อื่นได้ แม่ลูกตระกูลหวังล้วนแต่เป็นผู้น้อยที่ออกหน้าดูแล”

 

 

เสิ่นเวยได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ดีขึ้นอีกเล็กน้อย แม้แต่หู่โถวก็คลายกำปั้นที่กำแน่นช้าๆ แท้จริงแล้วท่านอาเซ่าจวิ้นก็ไม่ได้เลอะเลือน

 

 

“เช่นนั้นคุณชายเจ้าสั่งเจ้าไว้ว่าอย่างไร” ท่าทีของเสิ่นเวยอ่อนโยนยิ่งขึ้น ขอเพียงแค่เสิ่นเซ่าจวิ้นแน่วแน่มีเหตุมีผล นางก็ไม่ถือสาจะช่วยเขาจัดการธุระปะปัง

 

 

ฟู่กุ้ยตอบต่อ “คุณชายบอกว่า เขาไปเยี่ยมผู้อาวุโสที่จวนจงอู่โหว ไม่ควรพาแม่ลูกคู่นี้ไปด้วย อีกทั้งเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการพวกนางอย่างไร จึงให้ผู้น้อยพาพวกนางมาขอให้จวิ้นจู่ช่วย ทั่วทั้งเมืองหลวงเขาเองก็รู้จักแค่เพียงจวิ้นจู่ผู้เดียว หากไม่มีวิธีจริงๆ ก็ไม่อาจเพิ่มภาระให้จวิ้นจู่ได้เช่นกัน” ฟู่กุ้ยพูดตามคำพูดของคุณชายของเขารอบหนึ่ง

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าอีกครั้ง กล่าว “ได้ เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว แม่ลูกคู่นั้นข้าจะรับต่อไว้เอง เจ้ากลับไปปรนนิบัติคุณชายของเจ้าเถอะ บอกเขาว่ามีเวลาว่างก็มาที่จวนผิงจวิ้นอ๋องสักเที่ยวหนึ่ง ข้ายังมีเรื่องอยากหารือกับเขา”

 

 

ฟู่กุ้ยดีใจอย่างคาดไม่ถึง หมอบลงกับพื้นโขกศีรษะ “ผู้น้อยขอบคุณจวิ้นจู่เหนียงเหนียงแทนคุณชายเป็นอย่างยิ่ง” ขอเพียงแค่จวิ้นจู่ยอมช่วยเรื่องนี้ คุณชายก็ไม่ต้องลำบากใจอีกต่อไปแล้ว

 

 

“จวิ้นจู่ แม่ลูกคู่นั้นจะจัดการอย่างไร” หลีฮวาก้าวขึ้นไปข้างหน้ากล่าวถาม

 

 

เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะคิดก็กล่าว “โยนให้เถาจือก็ได้แล้ว ให้นางหางานเย็บปักถักร้อยให้ทำ คอยดูสักหน่อย อย่าให้พวกนางออกจากเรือนไปเดินมั่วซั่ว”

 

 

“จวิ้นจู่ ท่านไม่ไปพบพวกนางหรือ” เหอหวาที่ปากไวก็เอ่ยปากกล่าว ในสายตาจวิ้นจู่ของนางเป็นคนดีที่เห็นใจคนจนสงสารคนอ่อนแอที่สุด แม่ลูกคู่นั้นน่าสงสารเพียงนั้น จวิ้นจู่จะต้องไปพบพวกนางหน่อยมิใช่หรือ

 

 

“น้องเหอฮวาเจ้าพูดอะไรโง่ๆ!” เถาจือตำหนิทันที “พวกนางเป็นใครกัน ควรค่าให้จวิ้นจู่ไปพบพวกนางหรือ หลังจากนี้คำพูดเช่นนี้ก็อย่าได้พูดอีก”

 

 

จากนั้นก็แสดงท่าทีต่อเสิ่นเวย “จวิ้นจู่วางใจ บ่าวจะดูพวกนางอย่างดี”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างพอใจ “อืม เจ้าจัดการข้ายังคงวางใจยิ่งนัก สืบหาที่มาของพวกนางให้ดี สืบดูว่าแท้จริงแล้วพวกนางมีเจตนาความคิดเช่นไร” จากนั้นก็ชี้เหอฮวาแล้วกล่าว “เจ้าน่ะ ไม่ค่อยยอมใช้สมอง เรียนรู้จากพี่หลีฮวากับพี่เถาจือของเจ้าหน่อย หากพวกนางสองคนแต่งออกไปก็ถึงตาเจ้าเป็นผู้นำแล้ว หากเจ้าเป็นเช่นนี้จะรอดหรือ”

 

 

“จวิ้นจู่ บ่าวไม่แต่งงาน” หลีฮวากับเถาจือกล่าวพร้อมกัน

 

 

เสิ่นเวยโบกมือ “ชายเติบใหญ่พึงแต่งงานหญิงเติบโตพึงสมรส ไม่แต่งงานไม่สมรสดังออกไปจะเป็นเรื่องน่าขัน คนที่มาขอพวกเจ้าหมั้นหมายล้วนแต่มาพูดกับข้านับครั้งไม่ถ้วนแล้ว พวกเจ้าสองคนอย่ามัวเขินอาย เบิกตาโตเลือกเอาเสีย ชอบคนไหนก็บอกนายของพวกเจ้ามาเลย ไม่อาจทำพวกเจ้าผิดหวังแน่นอน” แต่ไหนแต่ไรเสิ่นเวยใจกว้างกับสาวใช้ในเรือนของนางอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนเหล่านี้ที่ติดตามนางมาจากหมู่บ้านตระกูลเสิ่น

 

 

พูดจนหลีฮวากับเถาจือต่างก็แก้มแดงระเรื่อ ใจเต้นรัว

 

 

หัวหน้าไปมองเห็นเหอฮวายังคงมีท่าทางมึนงงทั้งใบหน้า กล่าว “เถาจือ เจ้าอธิบายให้เหอฮวาฟังหน่อย เลี่ยงไม่ให้วันไหนนางถูกคนขายแล้วยังไปนับเงินให้เขา เห็นชัดๆ ว่านิสัยโหดเ**้ยม เหตุใดถึงใจอ่อนเพียงนี้เล่า” น่ากลุ้มใจจริงๆ

 

 

เถาจือดึงเหอฮวาไปข้างๆ เริ่มอธิบาย “เจ้าน่ะ คิดแค่ว่าแม่ลูกคู่นั้นน่าสงสาร แต่สำหรับพวกเราแล้วพวกนางก็คือคนแปลกหน้าสองคน ใครจะรู้ว่าพวกนางน่าสงารจริงหรือน่าสงสารปลอม บุ่มบ่ามพามาอยู่ต่อหน้าจวิ้นจู่เช่นนี้ หากเป็นคนไม่ดีจะทำเช่นไร”

 

 

“เป็นไปไม่ได้กระมัง เมื่อครู่ฟู่กุ้ยก็บอกแล้วมิใช่หรือ พวกนางถูกคนในตระกูลบีบบังคับจนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว” ดวงตาเหอฮวามีความสงสัย

 

 

เถาจือโมโหจนคิดจะตบหน้านางสักสองฉาก เด็กผู้หญิงคนนี้ปกติก็ดูน่าเชื่อถือ เหตุใดพอเจอเรื่องสมองถึงได้เลอะเลือนเล่า หรือว่าที่แยกเขี้ยวยิงฟันเมื่อก่อนล้วนเป็นการวางมาดตบตาคน

 

 

“ฟู่กุ้ยบอก ฟู่กุ้ยบอกก็เป็นเรื่องจริงแล้วหรือ บางทีพวกนางอาจจะหลอกแม้แต่เขากับคุณชายเซ่าจวิ้นก็เป็นได้ แม้จะเป็นเรื่องจริงแล้วอย่างไร นายท่านของพวกเราเป็นใคร แล้วพวกนางเป็นใคร ฮูหยินที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ขั้นสี่พบจวิ้นจู่ของพวกเรายังยากเลย หญิงชาวบ้านธรรมดายังหวังจะพบจวิ้นจู่ ทะนงตนเกินไปหน่อยหรือไม่” เถาจือเหยียดหยามอย่างยิ่ง

 

 

หลีฮวาเองก็ช่วยพูด “เหอฮวา ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้ว เจ้าเองก็ไม่ใช่หลี่เสี่ยวหม่านผู้นั้นแล้ว หากเจ้าไม่เปลี่ยนนิสัยใจอ่อนอีก ไม่แน่ว่าวันไหนอาจจะนำปัญหามาให้จวิ้นจู่ได้”

 

 

เมื่อเหอฮวาได้ยินว่าอาจจะนำปัญหามาให้จวิ้นจู่ได้ ชั่วขณะก็จริงจังขึ้นมา “จวิ้นจู่ ท่านวางใจ บ่าวจะเปลี่ยนแน่นอน บ่าวทำตรงไหนไม่ถูก ท่านเห็นว่าจะลงโทษเช่นไรก็ลงโทษเช่นนั้น บ่าวไม่อาจเป็นภาระของท่านเด็ดขาด”

 

 

เสิ่นเวยยิ้มปลอบ “หลีฮวาเถาจือก็อย่าขู่นางไปเลย ไหนเลยจะต้องจริงจังเพียงนั้น ปกติเหอฮวาก็ทำงานได้ไม่เลวอย่างยิ่งแล้ว นางอายุยังน้อย พวกเจ้าสองคนโตกว่าก็ค่อยๆ สอนนางก็พอ”

 

 

ทั้งสามตอบรับพร้อมกัน