ตอนที่ 1712 สังเวียนร้อยศึก

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ชายแก่ยังคงดื่มชาอย่างใจเย็นและบอกต่อ “หึ การทำให้ผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิเช่นเจ้าคิดหนี้เฒ่าคนนี้มันก็ไม่เลว เฒ่าคนนี้ย่อมอยากลงมือทำให้ แต่เสียดายที่เฒ่าคนนี้ยังมือไม่ถึงขั้นที่จะทำอะไรแบบนั้นได้!”

เย่หยวนนั้นมีท่าทางสิ้นหวังมาก เขาไม่อยากเชื่อว่าสุดท้ายผลมันก็จะออกมาเป็นเช่นนี้

“ท่านเจ้าศาลา หรือว่ามัน…จะไม่มีทางอื่นใดแล้ว?” เย่หยวนถามอย่างกังวล

ชายแก่ยื่นถ้วยน้ำชาให้มาอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “ค่อยๆ ดื่ม อย่าได้รีบร้อนไป”

เย่หยวนหรี่ตาลงทันที ตอนนี้เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองอารมณ์ร้อนจนเกินไปหน่อย

“ขอบพระคุณท่านเจ้าศาลา!”

เขารับชามาและค่อยๆ ดื่มมันลงไป ความขมอันรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วช่องปากของเขาในทันที

แต่ไม่นานนักความหวานอ่อนๆ ก็เริ่มปรากฏออกมาท่ามกลางความขมนั้น และพุ่งไหลลงไปในช่องท้อง ก่อนจะค่อยๆ ไหลออกไปตามแขนขาและกระดูกของเขา

ตอนนี้เหมือนว่าปราณเทวะของเขาจะเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย

เย่หยวนเบิกตากว้างทันที “ชาดี! ยอดชา! ข้าน้อยนั้นรีบร้อนเกินไปจนไม่ได้สังเกต ขอท่านผู้อาวุโสโปรดอภัย!”

เพราะอึกแรกที่เขาดื่มลงไปนั้น เย่หยวนไม่สามารถจะรับรสชาติสุดเลิศล้ำของยอดชานี้ได้เลย

เมื่อตอนนี้เริ่มใจเย็นลง เขาก็สามารถสัมผัสถึงความเยี่ยมยอดของชานี้ได้ทันที

ดวงตาของชายแก่เปี่ยมไปด้วยความดีใจ เขาคิดในใจว่าสมแล้วจริงๆ ที่เป็นถึงผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิ สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลงได้อย่างง่ายดาย

ชายแก่ยิ้มออกมา “ชานี้มีนามว่าชาน้ำค้างจักจั่นเปล่า แค่ถ้วยเดียวมันก็พอเทียบกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่คุณภาพสูงได้แล้ว แต่เจ้ากลับดื่มไปถึงสองถ้วย! หากเป็นคนอื่นพวกเขาคงต้องเข้าเก็บตัวบ่มเพาะหลอมมันไปแล้ว แต่เจ้ากลับไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมาเลย สมเป็นผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิจริงๆ!”

เย่หยวนนั้นตื่นตกใจไม่น้อยเช่นกัน เพราะเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชานี้จะเป็นของล้ำค่าแบบนั้น

เพราะสำหรับนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวนั้นการดื่มกินโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ลงไปมันก็ต้องใช้เวลาในการดูดซึมซับมันหลายวันทีเดียว

หากดื่มไปถึงสองถ้วย เส้นชีพจรทั่วร่างของพวกเขาคงปูดปวมจนทนทานไม่ไหว มันต้องมีความรู้สึกอึดอัดเกิดขึ้นในร่างกายบ้าง

แต่เย่หยวนที่ดื่มไปถึงสองถ้วยนี้กลับดูท่าทางสบายดี ไม่แปลกที่เจ้าศาลามายาล้ำจะประหลาดใจ

เพราะเขาไม่ได้รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเย่หยวนกินโอสถศักดิ์สิทธิ์เหมือนเป็นขนมกินเล่น แค่พวกมันไม่กี่เม็ดไม่มีทางช่วยอะไรเย่หยวนได้มากมายนัก

เพราะเย่หยวนต้องใช้โอสถศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้กี่เม็ดต่อกี่เม็ดกว่าจะขึ้นระดับมาได้สักดาว ตอนนี้ร่างกายของเขามันเหมือนเป็นหลุมที่ไร้ก้นดีๆ นี่เอง

อย่าว่าแต่ชาวิญญาณสองถ้วยใดๆ ต่อให้ดื่มเป็นสิบเขาก็คงไม่รู้สึกใดๆ แน่

แม้ชาทั้งสองจะเข้าท้องเขาไป เย่หยวนก็ไม่ได้รู้สึกว่าปราณเทวะโลกาหลของเขาจะพัฒนาขึ้นไปมากมายใดๆ

เย่หยวนกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ “กลายเป็นว่านี่คือชาน้ำค้างจักจั่นเปล่า ไม่แปลกใจเลย! ไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย! มันแค่…น่าเสียดายไปหน่อย!”

ชายแก่จึงถามขึ้นอย่างสงสัย “โอ้? น่าเสียดาย?”

เพราะเจ้าชาน้ำค้างจักจั่นเปล่านี้เขาปลูกดูแลมันมาอย่างดี เขาต้องทุ่มแรงกายแรงใจไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ได้ยินคำของเย่หยวน เขาจึงเข้าใจทันทีว่ามันยังขาดอะไรไป!

เย่หยวนบอก “ชาน้ำค้างจักจั่นเปล่านั้นคือชาวิญญาณระดับห้า แต่ท่านเจ้าศาลากลับมาต้มได้แค่ระดับสี่ มันไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ?”

ชายแก่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ชาน้ำค้างจักจั่นเปล่ามันเป็นสิ่งที่บอบบางและหลอมได้ยากเย็น แค่ทำให้มันมาถึงยอดของระดับสี่ก็นับว่ายากมากแล้ว เฒ่าคนนี้ต้องใช้จ่ายไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่กว่าจะได้มาแค่นี้”

เย่หยวนยิ้ม “นั่นเพราะวิธีที่ท่านหลอมมันผิดยังไงล่ะ! ชาน้ำค้างจักจั่นเปล่านั้นยากเย็นที่สุดก็คือการทำให้มันคงพลังวิญญาณไว้ได้ แค่พลาดนิดเดียวพลังวิญญาณมันก็จะไหลออกทำให้ชาเสียคุณภาพลงทันที”

ชายแก่ตัวสั่นไปทั้งร่าง “เจ้ามีวิธีหลอมชาน้ำค้างจักจั่นเปล่าหรือ? น้ำค้างจักจั่นเปล่านั้นเป็นของหายาก การดูแลปลูกรักษามันก็ไม่ค่อยจะมีใครรู้นัก เฒ่าคนนี้พยายามมาอย่างมากมายแต่ก็ไม่สามารถหาวิธีการหลอมต้มที่ถูกต้องเสียที”

เพราะความแตกต่างระหว่างยอดระดับสี่กับระดับห้านั้น มันแตกต่างกันมากสำหรับชายแก่

ชาระดับสี่นั้นมันเป็นได้แค่น้ำชาดื่มเล่นเท่านั้นสำหรับเขา เป็นได้แค่เครื่องดื่ม

แต่ชาระดับห้านั้นมันจะช่วยในการบ่มเพาะของเขาได้ด้วย!

ที่สำคัญคุณประโยชน์ของชาวิญญาณนั้นมันยังไม่ได้ช่วยแค่การบ่มเพาะพลัง แต่รวมไปถึงการบำรุงร่างกายส่วนต่างๆ ด้วย

นั่นทำให้เขาพยายามเค้นสมองหาวิธีปลูกและหลอมต้มมันให้ได้

น่าเสียดายที่สุดท้ายมันกลับไม่ส่งผลใดๆ

เย่หยวนพยักหน้า “การปลูกดูแลน้ำค้างจักจั่นเปล่านั้นมันอยู่ที่คำว่า ‘น้ำค้าง’ นั่นแหละ! ทุกๆ เช้ามืดมันจะเป็นเวลาที่ชาวิญญาณนี้ดูดกลืนพลังวิญญาณไปมากที่สุด ช่วงเวลานี้เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำการใส่ปุ๋ยบำรุงใดๆ ส่วนเวลาอื่นก็ต้องลดหลั่นไปตามสมควร ที่สำคัญในฤดูทั้งสี่นั้นมันยังต้องใช้ปุ๋ยในจำนวนที่ไม่เท่ากันด้วย มันเป็นสิ่งที่ปลูกเลี้ยงดูยากจริงๆ การที่ท่านผู้อาวุโสทำให้มันมาถึงยอดระดับสี่ได้แบบนี้มันก็นับว่าสุดยอดมากๆ แล้ว”

เมื่อชายแก่ได้ยินคำบอกของเย่หยวน เขาก็รู้ถึงความจริงทันทีถามขึ้น “ไม่แปลกใจเลย! ไม่แปลกเลยจริงๆ! แบบนี้นี่เอง! สหายหนุ่มเย่หยวน นี่…วิธีดูแลน้ำค้างจักจั่นเปล่านี้จะขอ…เฒ่าคนนี้รับไว้ได้หรือไม่?”

ชาวิญญาณเองมันก็เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง การดูแลปลูกมันขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ยุ่งยากไม่น้อย

เย่หยวนรู้ถึงมันได้เพราะว่าจอมเทพนิรันดร์นั้นสนใจในพิธีชงชา เขาเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องการปลูกชาวิญญาณเหล่านี้ไว้ไม่น้อย

ชาน้ำค้างจักจั่นเปล่านี่เองก็เช่นกัน

เจ้าศาลามายาล้ำนั้นตื่นเต้นดีใจอย่างถึงที่สุด ตอนนี้ใบหน้าผู้ทรงปัญญาของเขาหายไปจนสิ้น เหลือเพียงใบหน้าที่มองมาทางเย่หยวนอย่างตื่นเต้น

เย่หยวนยิ้ม “เรื่องนั้นย่อมได้!”

พูดไปเย่หยวนก็ยื่นแผ่นหยกที่บันทึกวิธีดูแลชาน้ำค้างจักจั่นเปล่าไปให้แก่เจ้าศาลามายาล้ำ

เจ้าศาลามายาล้ำส่งจิตศักดิ์สิทธิ์เข้าไปตรวจดูทันทีและเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าตัวเขาได้รับสมบัติแสนล้ำค่ามาไว้ในมือ

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้! ที่แท้ก็ต้องทำแบบนั้น! ทำไมข้าคิดไม่ได้กันนะ?” ชายแก่เริ่มไม่คิดรักษาภาพลักษณ์และอยากลองวิชาใหม่อย่างถึงที่สุด

เย่หยวนเองก็ไม่ได้เร่งรีบนัก จึงนั่งรอไป

ด้วยสภาพเช่นนี้ เวลาก็ผ่านไปกว่าชั่วโมง

ชายแก่เก็บแผ่นหยกลงราวกับว่าเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาและกล่าวด้วยท่าทางเขินอาย “ฮะๆ เหมือนว่าข้าจะทำให้สหายหนุ่มเย่หยวนต้องรอคอยแล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่าเฒ่าคนนี้ทุ่มเทกับชาน้ำค้างจักจั่นเปล่าไปมากแค่ไหน ตอนนี้ข้าจึงอยากรู้อยากลองวิธีใหม่ๆ จนลืมตัว สุดท้ายก็ง่วงอยู่กับมันจนลืมเวลาไปเสียจนได้”

เย่หยวนยิ้ม “ผู้น้อยเองก็เป็นนักหลอมโอสถ ย่อมเข้าใจอารมณ์นี้ของท่านเจ้าศาลาดี”

ชายแก่หัวเราะลั่น “พูดคุยเรื่องชากันมากว่าครึ่งวันแล้ว เกือบลืมไปเลยว่าเรามีธุระสำคัญ! สหายหนุ่มเย่หยวน เจ้านั้นมีรัศมีผ่าจักรพรรดิ การจะทำนายชะตาให้เจ้านั้นข้าคงต้องใช้อายุขัยไปไม่น้อยแน่! เฒ่าคนนี้จึงไม่สะดวกที่จะทำการเช่นนั้นบ่อยๆ นัก ฉะนั้นเฒ่าคนนี้จึงได้กำหนดไว้ว่าจะลงมือแค่ทุกสามร้อยปีครั้ง!”

เย่หยวนนั้นถอนหายใจยาวในใจ เขาไม่นึกว่าดวงชะตาที่แข็งแกร่งของเขาจะกลายมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นตัวเขากับพวกลี่เอ๋อแทน

“ผู้อาวุโส ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเมื่อไหร่จึงจะครบรอบสามร้อยปีที่ว่า?” เย่หยวนถาม

ชายแก่บอก “รอบสามร้อยปีนี้จะมาถึงในอีกเจ็ดปีข้างหน้า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็เกิดดีใจขึ้นทันที “ผู้อาวุโส ข้าอยากให้ท่านช่วยทำนายเมื่อถึงเวลานั้น! ข้าพร้อมที่จะจ่ายทุกอย่างที่ท่านต้องการเลย!”

แต่ชายแก่กลับส่ายหัวออกมา “โอกาสนี้เจ้าต้องสู้เอามันมาเอง”

เย่หยวนถามขึ้นอย่างสงสัย “สู้เอามันมาเอง?”

เจ้าศาลามายาล้ำพยักหน้ารับ “หลังจากเจ็ดปีนี้ เมืองจักรพรรดิเลิศประกายจะจัดสังเวียนร้อยศึกขึ้น! ถึงตอนนั้นเหล่ายอดอัจฉริยะจากที่ต่างๆ ย่อมจะมารวมตัวกันเพื่อให้เฒ่าคนนี้ช่วยดูรัศมีและดวงชะตาให้ หากเจ้าอยากให้เฒ่าคนนี้ช่วยจริงๆ เจ้าก็ต้องไปชนะสังเวียนร้อยศึกมาให้ได้ก่อน!”

เย่หยวนสีหน้าแย่ลงทันที “นี่มัน…หากผู้น้อยไปเจอกับราชันพระเจ้าชั้นปลายเข้ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะแล้ว?”

ก็จริงที่ว่าเย่หยวนนั้นแข็งแกร่ง แต่การจะไปปะทะราชันพระเจ้าชั้นปลายในตอนนี้มันยังไกลเกินเอื้อม

เจ้าศาลามายาล้ำยิ้มตอบ “เจ้าอย่าได้กังวลเรื่องนั้นไป กฎการเข้าร่วมนั้นคือต้องเป็นผู้มีอายุขัยต่ำกว่าสองพันปีจึงจะสามารถร่วมสังเวียนร้อยศึกได้ เพราะฉะนั้นคู่ต่อสู้ย่อมเป็นคนรุ่นเดียวกันกับเจ้าทั้งสิ้น!”

…………………………