ตอนที่ 730 ทัศนคติ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 730 ทัศนคติ

เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของฟู่เสี่ยวกวน ก้อนหินที่หนักอึ้งในใจของจัวตงหลายก็ราวกับถูกยกออกไปแล้ว

เขามิได้เก็บเอาคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนไปคิดหาความหมายที่แฝงอยู่ลึก ๆ ในนั้น แต่เขาก็ได้เข้าใจในเรื่องหนึ่งซึ่งก็คือเรื่องที่องค์ชายจะกลับไปยังราชวงศ์อู๋ภายในระยะเวลาสองถึงสามปีนี้อย่างแน่นอน

ตอนนี้พระองค์ได้เตรียมการสิ่งใดไว้ที่ราชวงศ์อู๋แล้วบ้างเล่า ?

……

ณ สำนักศึกษาซีซาน

บัดนี้ฉินปิ่งจงกำลังนั่งอยู่ในห้องพักอาจารย์ และในมือก็มีจดหมายหนึ่งฉบับ

นี่เป็นจดหมายจากเหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู๋

ในจดหมายฉบับนี้ เหวินสิงโจวได้กล่าวว่า ตำราหลี่เสวียได้รับความเห็นชอบจากจักรพรรดิอู๋แล้ว บัดนี้กำลังผลักดันให้มีการสอนในสำนักศึกษาแต่ละแห่งภายในราชอาณาจักรอู๋

นี่ถือเป็นความโชคดีของเหวินสิงโจว เนื่องจากสายพระเนตรของจักรพรรดิอู๋ช่างปราดเปรื่องยิ่ง

ฉินปิ่งจงได้ศึกษาตำราหลี่เสวียอย่างละเอียดลึกซึ้ง เขารู้ดีว่าเมื่อใดที่ตำราหลี่เสวียถูกผลักดันขึ้นมา เมื่อนั้นย่อมส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบอบสังคมที่ถูกปลูกฝังโดยแนวคิดของขงจื้อดั้งเดิมอย่างแน่นอน

หรืออาจจะสามารถทำลายล้างระบอบที่ถูกสร้างโดยแนวคิดขงจื้อดั้งเดิมไปเลยก็เป็นได้

ผู้คนที่ได้ศึกษาเล่าเรียนบนผืนปฐพีนี้ ล้วนถูกปลูกฝังด้วยคำสอนของขงจื้อกันทั้งสิ้น แต่ทว่าโชคดีที่ราชวงศ์อู๋มิได้รับการปลูกฝังอย่างลึกซึ้งเฉกเช่นที่ราชวงศ์หยู

แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะรู้ถึงการมีอยู่ของตำราหลี่เสวีย แต่เขาก็มิเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อพระพักตร์ของฮ่องเต้เลยสักครา… ขนาดเขาเป็นถึงติ้งอันป๋อผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังมิกล้ากระทำเรื่องที่ผู้คนในใต้หล้าเห็นว่าเสี่ยงต่อการสังเวยชีวี

ฉินปิ่งจงถอนหายใจออกมาเบา ๆ เดิมทีเคยคิดว่าแนวคิดของขงจื้อดั้งเดิมแสนจะทรงเกียรติ แต่ทว่าวันนี้กลับกลายเป็นดั่งเชือกที่คอยพันธนาการราชวงศ์เอาไว้ บางทีอาจจะเป็นดั่งกรงนกเหมือนที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวเอาไว้ก็เป็นได้

‘ตำราหลี่เสวียเล่มนี้ข้าได้ปรับปรุงทั้งสิ้น 8 ครา เรื่องแนวคิดของหลี่เสวียและใจความหลักของตำราในปัจจุบันนี้ล้วนนำความเห็นขององค์ชายเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะกล่าวว่าตำราเล่มนี้เป็นตำราที่ข้าประพันธ์ขึ้นมาก็ขอให้กล่าวว่าข้าได้นำแก่นสำคัญของแนวคิดองค์ชายมาแก้ไขอีกทีดีกว่า

ความสามารถขององค์ชายนั้น เจ้าผู้เป็นสหายที่รักของข้าย่อมรู้ดีมากกว่าตัวข้าเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่องค์ชายทรงทำเพื่อราชวงศ์หยูทั้งหมด พวกเราชาวอู๋ย่อมรู้ดี บัดนี้ ณ บ้านเกิดเมืองนอนของข้ามิว่าจะเป็นในสังคมชาวบ้านหรือในท้องพระโรง ชื่อเสียงขององค์ชายนั้นโชติช่วงดั่งดวงสุริยา

ข้าขอเอ่ยตามตรงไว้ ณ ที่นี้เลยว่าองค์ชายย่อมหวนคืนสู่ผืนปฐพีของพระองค์ เรื่องนี้ฮ่องเต้ก็ทรงทราบอย่างชัดแจ้ง สหายเอ๋ย…หนทางการหวนคืนขององค์ชายยังคาดเดามิได้ เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีต่อพระองค์ ดังนั้น…ข้าจึงอยากให้เจ้ามาเยือนราชวงศ์อู๋เสียตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้หรือไม่ ?

ชีวิตนี้ของข้ามีมิตรสหายมิมากนัก อีกทั้งทุกวันนี้เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าควรเปิดใจยอมรับทุกสรรพสิ่งเสียยังดีกว่า ส่วนข้าจะเฝ้ารอการมาเยือนของเจ้า…”

ฉินปิ่งจงพับเก็บจดหมายฉบับนี้อย่างเชื่องช้า ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็จุดไม้ขีดไฟเพื่อเผาจดหมายจนมอดไหม้

เขาเดินออกจากห้องพัก จากนั้นก็เดินออกจากสำนักศึกษา

เขาเงยหน้าขึ้นมองสถานศึกษาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหวังแห่งนี้ ยืนฟังเสียงนักเรียนอ่านหนังสือที่ดังแว่วออกมา และยืนครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน

สิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเสี้ยชุนนั้น ใหญ่โตเกินกว่าจะสามารถปิดบังผู้ใดได้

การก่อสร้างที่หมู่บ้านเสี้ยชุนคึกคักดุจไฟที่โหมกระพือ และจุดที่เด่นชัดที่สุดก็คือกำแพงเมือง !

ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ฟู่เสี่ยวกวนวิตกกังวล

เพราะยังมีผู้สืบสกุลหลงเหลืออยู่ในจวนฟู่ ณ เมืองหลินเจียง

อีกทั้งในตอนนี้ก็มีบรรดาช่างต่อเรือจากราชวงศ์อู๋นับร้อยคนมาเยือนเขตเหยาและกำลังต่อเรืออย่างขะมักเขม้น ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเขากำลังเตรียมตัวที่จะจากไป

เพียงแต่การเตรียมงานครานี้ฮ่องเต้ก็ทรงทราบดีเช่นกัน หากพระองค์มีบัญชาให้เขาอยู่ต่อ…ฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถขัดขืนได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ในฐานะองค์เหนือหัว หากว่าปล่อยฟู่เสี่ยวกวนหลุดลอยไป ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าย่อมรู้ดีว่าราชวงศ์อู๋จะผงาดขึ้นมาเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ด้วยน้ำมือของฟู่เสี่ยวกวน ทุกวันนี้ทั้งสองราชวงศ์จึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ แต่ถ้าหากเป็นร้อยปีหลังจากนี้เล่า ?

การที่ราชวงศ์อู๋แข็งแกร่งย่อมมิเป็นผลดีต่อราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน

แล้วถ้าหากฮ่องเต้ทรงกังวลพระทัยด้วยสาเหตุนี้ และยืนกรานที่จะให้ฟู่เสี่ยวกวนอาศัยอยู่บนผืนปฐพีของพระองค์ต่อเล่า ?

เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉินปิ่งจงก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เหวินสิงโจววิตกกังวลนั้นสมเหตุสมผลแล้ว

ฉินปิ่งจงหยั่งรู้แล้วว่าตนเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกประทับตราโดยฟู่เสี่ยวกวน หากฮ่องเต้มีพระราชประสงค์จะเก็บฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้ ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับฟู่เสี่ยวกวนทุกคนก็จำต้อง…

รวมทั้งตระกูลเยี่ยน ตระกูลต่ง ขุนนางกรมการค้า และยังรวมไปถึงขุนนางที่ว่อเฟิงเต้าทั้งหมดอีกด้วย อีกทั้งทุกคนที่สำนักศึกษาซีซาน หมู่บ้านเสี้ยชุน…เกรงว่าจะประสบกับจุดจบอันน่าเวทนา !

ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งร่องรอยไว้ในราชอาณาจักรหยูมากมายเหลือเกิน และฝ่าบาทย่อมประสงค์จะลบร่องรอยเหล่านี้ทิ้งเสียจนสิ้น

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาแล้วถอนหายใจออกมา สรุปว่านี่คือโชคดีหรือโชคร้ายของราชวงศ์หยูกันแน่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนได้มอบความหวังให้ชาวหยูและยังทำให้ราชวงศ์นี้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น หากว่าราชอาณาจักรหยูต้องร่วงหล่นลงอีกครา ราษฎรทั้งหลายจะลุกขึ้นยืนแล้วเงยหน้าเย้ยฟ้าอีกคราได้อยู่อีกหรือ

ถ้าหากฝ่าบาทได้ลบล้างร่องรอยทุกอย่าง ความหวังของราษฎรคงมอดดับอีกครา และฟู่เสี่ยวกวนก็คงมิอาจหยิบยื่นความช่วยเหลือใด ๆ มาให้อีก แน่นอนว่าไฟสงครามจะปะทุขึ้นอีกคราอย่างแน่นอน

เพื่อต้อนรับองค์ชายกลับพระราชวัง ทางราชวงศ์อู๋ย่อมส่งกองทัพมาทางภูเขาฉีซานโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้

หากว่าฟู่เสี่ยวกวนมีอันเป็นไปแล้วล่ะก็…คงเกิดศึกประชันแสนยานุภาพระหว่างสองราชอาณาจักรขึ้นมาอย่างแน่นอน และทุกสิ่งที่ราชวงศ์หยูมีอยู่ในทุกวันนี้ก็คงจะเป็นดั่งบุปผาในกระจกหรือจันทราที่สะท้อนผืนน้ำที่มิอาจจับต้องได้อีกต่อไป !

นี่อาจจะเป็นความต้องการของฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเสนอสองทางเลือกให้แก่ฮ่องเต้ หนึ่งคือให้เขากลับไปยังราชวงศ์อู๋เสียแต่โดยดีเพราะอย่างน้อยทั้งสองราชวงศ์ก็จะสงบสุขในระยะหลายสิบปีข้างหน้า

หรือสอง ให้เขาอยู่ในราชวงศ์หยูต่อไป แต่ผู้คนทั้งราชอาณาจักรหยูจะต้องถูกฝังพร้อมกันกับศพของเขา

ย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่าฮ่องเต้จะทรงเลือกทางใด และความกังวลของเหวินสิงโจวก็มิได้เด่นชัดมากนัก

ควรเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสรรพสิ่ง

ฉินปิ่งจงเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าฮ่องเต้จะทรงเลือกทางที่เหมาะสมที่สุด ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง จากนั้นก็เดินไปที่ศูนย์วิจัยซีซาน

พลางคิดไปว่าควรเตรียมการไว้ล่วงหน้าสักหน่อยก็ดีเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นคือฉินเฉิงเย่ผู้เป็นหลานชายก็เชื่อใจและยอมรับในตัวฟู่เสี่ยวกวนจนแทบจะตายแทนได้อยู่แล้ว แต่ทว่าสิ่งที่หลานชายเชื่อมั่นคือ ฟู่เสี่ยวกวน มิใช่ราชวงศ์หยูแห่งนี้ !

ฉินปิ่งจงได้ร่วมสนทนากับฉินเฉิงเย่ที่ด้านนอกศูนย์วิจัยซีซานกว่าหนึ่งชั่วยาม

หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับมายังสำนักศึกษาเพื่อจรดพู่กันเขียนจดหมายตอบกลับเหวินสิงโจว เช้าตรู่วันถัดมาฉินเฉิงเย่และฉินรั่วเสวียก็ได้เดินทางออกจากซีซานอย่างเงียบ ๆ เพื่อไปยังราชวงศ์อู๋

สายลับจากหอซี่หยู่และฝูงมดล้วนจับตามองอย่างมิคลาดสายตา

ทางหอซี่หยู่ได้ส่งรายงานด่วนไปยังเมืองหลวงแล้ว ส่วนฝูงมดก็ได้ส่งรายงานด่วนไปยังเมืองกวนหยุนแล้วเช่นกัน

แต่ทว่ารายงานด่วนที่ส่งไปยังเมืองหลวงกลับเงียบหายดุจก้อนหินที่จมดิ่งสู่ก้นทะเล ในขณะที่รายงานด่วนของเมืองกวนหยุนกลับได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว…ใจความคือให้ส่งคนไปนำทางสองพี่น้องเข้าสู่เมืองกวนหยุนโดยเร็ว !

ณ วังเตี๋ยอี๋ ยามพลบค่ำของปลายฤดูใบไม้ร่วงท้องนภาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีของยามรัตติกาล

องค์หญิงใหญ่ประทับอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฮองเฮาซั่ง พระองค์ทรงมีสีพระพักตร์ที่สง่าผ่าเผย “เรื่องนี้พระองค์จะมิทรงทูลฝ่าบาทสักหน่อยหรือเพคะ ? ”

ฮองเฮาซั่งทรงทอดพระเนตรสุริยาที่กำลังจะลาลับขอบนภา “คราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยไว้ว่า… หลังจากราตรีอันมืดมิดได้ผ่านพ้นไป สุริยาย่อมกลับมาฉายแสงดังเดิม ผู้ที่มีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะสามารถมองเห็นสุริยาสาดแสงและได้อาบความรุ่งโรจน์ของแสงสุริยานั้น”

ฮองเฮาได้เบนสายพระเนตรมาที่พระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ นางค่อย ๆ แย้มพระโอษฐ์ขึ้นแล้วตรัส “ราชวงศ์หยูเพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นความหวัง แสงสุริยาเพิ่งสาดส่องเข้ามาแท้ ๆ ข้ามิปรารถนาให้ความมืดมิดกลบเร็วจนเกินไป และยิ่งมิปรารถนาให้แสงสุริยาสาดส่องมากจนเกินไป”

องค์หญิงใหญ่ขมวดพระขนงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงตรัสออกมาว่า “ทั้งสี่ทิศของราชอาณาจักรหยูล้วนมีกองทัพประจำการทั้งสิ้น มีปืนคาบศิลาหลายหมื่นกระบอกและปืนใหญ่นับพัน ! ”

“กองกำลังทหารดาบเทวะ…แม้ว่าพวกเขาจะเป็นชาวหยู แต่เมื่อถึงเวลานั้นปลายกระบอกปืนของพวกเขาจะหันไปทางฟู่เสี่ยวกวนหรือหันมาทางพวกเราล่ะเพคะ ? ”

“ยิ่งไปกว่านั้นการกดดันฟู่ต้ากวนมิใช่เรื่องดี พระองค์คงมิอาจคาดเดาได้ว่าเมื่อใดที่ฟู่ต้ากวนบ้าระห่ำขึ้นมา สงครามจะมีสภาพเป็นเยี่ยงไร ! ”