ตอนที่ 157 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 157 ด้านของพ่อแม่ (3)
รอจนกระทั่งอี้เป่ยเฉินกลับมาแล้ว ทั้งสามคนก็กินข้าวที่คุณแม่อี้ทำเป็นมื้อสุดท้ายอย่างอิ่มหนำสำราญ จากนั้นก็ร่ำลากันสักพัก แล้วนั่งรถไปส่งคุณแม่อี้ที่สนามบินด้วยกัน
“แม่คะ” อี้เป่ยซีมองแม่ของตัวเอง ดวงตายังคงแดงเล็กน้อย คุณแม่อี้กอดลูกสาวตัวเองแน่น “หนูจะคิดถึงแม่ค่ะ”
“ถ้าลูกคิดถึงแม่ก็กลับบ้าน อย่าเป็นเหมือนเป่ยเฉิน พอมีเรื่องแล้วก็ทิ้งบ้าน”
อี้เป่ยเฉินที่ถูกกล่าวถึงพูดครับๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในดวงตาก็มีความอาลัยอาวรณ์หนักอึ้ง
“เอาล่ะ พวกลูกสองคนต้องรักกันนะ อย่าทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อย เป่ยเฉินลูกเป็นพี่ชาย มีอะไรก็ยอมน้องสาว แม่จะพูดกับลูกอีกรอบ ลูกต้องจำไว้ให้ดีเข้าใจหรือเปล่า?” เธอมองไปยังอี้เป่ยเฉิน ในดวงตาราวกับว่ามีความหมายที่ต่างออกไป อี้เป่ยซีก้มหน้าต่ำ ไม่ได้คิดอะไร สีหน้าของอี้เป่ยเฉินจมอยู่ในความคิด
คุณแม่อี้ตบไหล่ของลูกๆ ตัวเองเบาๆ รับกระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วขึ้นเครื่องไป เมื่ออี้เป่ยซีมองไม่เห็นเงาของแม่แล้วจึงดึงๆ แขนเสื้อของอี้เป่ยเฉิน “พี่ พวกเรากลับกันเถอะ”
อี้เป่ยซีตอบว่าอืม แววตาที่มองอี้เป่ยซีนั้นครุ่นคิด
“แม่ยายกลับไปแล้วเหรอ?” เพิ่งจะกลับถึงบ้าน อี้เป่ยซีก็ได้รับสายของลั่วจื่อหาน
เธอวางของในมือลง “ใช่ กลับไปแล้ว คราวนี้ไม่มีใครช่วยฉันแล้ว นายอย่ารังแกฉันล่ะ”
“ฉันเคยรังแกเธอตอนไหน?”
จู่ๆ ฉากที่เหนือคำบรรยายเหล่านั้นวูบผ่านในหัวของอี้เป่ยซี เธอหน้าแดง “นาย นายนั่นแหละรังแกฉัน”
ลั่วจื่อหานได้ยินน้ำเสียงของเธอแล้ว หัวเราะเสียงดัง “เป่ยซีหมายความว่า ฉัน รังแกเธอ?”
รู้ว่าลั่วจื่อหานคิดทะลึ่ง อี้เป่ยซีแทบจะฝังหน้าเข้าไปในหมอน “ลั่วจื่อหาน นายรังแกฉันอีกแล้ว”
“ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ตรงหน้าฉันนี่นา ฉันต้องการจริงๆ”
“ชิ นายมันหน้าไม่อาย”
“เป่ยซี”
“หืม?”
“ฉันเคยพูดหรือเปล่า ว่าฉันชอบเธอชอบเธอมากๆ”
อี้เป่ยซีหัวเราะ “นายพูดแบบนี้ทุกวัน อัยยา ก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว อย่าทำอะไรที่พวกข้าวใหม่ปลามันเขาทำกันเลย”
“อืม คุณนายลั่วพูดได้ถูกต้องที่สุด”
เธออึ้งไปครู่หนึ่ง “อืม คุณชายอี้ก็พูดถูก”
หลังจากคุณแม่อี้ขึ้นเครื่องแล้วก็เจอกับเด็กสาวที่หน้าตาสะสวยมากคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมเธอมีความรู้สึกชอบเด็กสาวคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า เด็กสาวก็สังเกตเห็นสายตาของเธอและยิ้มให้
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโรยของเธอ คุณแม่อี้หยุดเดินทันใด ในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เด็กคนนี้เป็นอะไรไป เธอเดินต่อไปข้างหน้า หาที่นั่งของตัวเองแล้วนั่งลง มองไปยังนอกหน้าต่าง ที่สนามบินมีเพียงไม่กี่คน มันดูเหงาหงอยอย่างเห็นได้ชัด เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงลูกชายและลูกสาวของตัวเอง นึกถึงเด็กสาวคนนั้นที่เพิ่งเจอเมื่อครู่
เธอน่าจะอายุไล่เลี่ยกับพวกเป่ยซีล่ะมั้ง และดูเหมือนเป็นเด็กดีคนหนึ่ง
คุณแม่อี้หยิบนิตยสารออกมาจากกระเป๋า อ่านด้วยความสนอกสนใจ จนเมื่ออ่านจบแล้ว จึงพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือเด็กสาวคนนั้น กำลังถือหนังสือเล่มใหญ่ บางทีก็ขมวดคิ้วบางทีก็ผ่านคลาย อ่านด้วยความจริงจังมาก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าใจตรงกันหรือเปล่า ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ ก็เห็นสายตาของคุณแม่อี้ที่กำลังมองเธอด้วยความเอ็นดูพอดี ดวงตาของเยี่ยฉินขยับเขยื้อน วางหนังสือลงแล้วยิ้มให้เธอ
“คุณน้า ตอนนี้ดึกแล้ว ทำไมคุณน้ายังไม่นอนล่ะคะ”
“ยังไม่ง่วงเลย”
“คุณน้ามาหาลูกที่เมือง B เหรอคะ?”
คุณน้าพยักหน้า “ใช่แล้ว แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครอยากกลับบ้านกับน้าเลย อยากอยู่เมืองนอกกันทั้งนั้น น้าก็เลยได้แต่กลับไปมือเปล่า แล้วเธอไปหาพ่อกับแม่ที่ประเทศ U เหรอ?”
เมื่อพูดถึงพ่อแม่ของตัวเอง เยี่ยฉินก็ขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน เผยรอยยิ้มจนใจออกมา “เปล่าค่ะ ฉันแค่อยากไปเที่ยว”
คุณแม่อี้เห็นความเศร้าโศกในแววตาของเธอเมื่อเอ่ยถึงพ่อแม่ของตัวเอง ในใจก็เจ็บปวดด้วย น่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับแม่หนูคนนี้สินะ ความรู้สึกของคนเป็นแม่ท่วมท้นขึ้นมาอีกครั้ง
“คนเดียว?”
เธอพยักหน้า
“ก็ดีนะ ไม่เหมือนลูกของน้า ลากให้เขาออกมาข้างนอกก็ไม่ยอม นับประสาอะไรกับไปเที่ยวข้างนอกคนเดียว ต่อให้ปล่อยเขาออกไปเดี๋ยวก็ทิ้งนั่นลืมนี่ น้าล่ะปวดหัวแทบตาย”
เยี่ยฉินหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไมคำอธิบายแบบนี้ทำให้เธอนึกถึงเพื่อนซุ่มซ่ามข้างกายของตัวเองคนหนึ่ง “ฉันก็มีเพื่อนคนนึง เขาก็ชอบอยู่คนเดียว ออกไปข้างนอกก็ลืมนั่นลืมนี่”
“งั้นต้องแนะนำเขาให้รู้จักกับลูกสาวของน้า ให้เขาได้เห็นตัวเองซะบ้าง”
“อืม คุณน้าพูดถูกค่ะ”
คุณแม่อี้คุยกับเยี่ยฉินอยู่นาน คุณแม่อี้รู้ว่าเยี่ยฉินเรียนหนังสือที่ประเทศ U กลับประเทศมาฝึกสอนอยู่หลายเดือน ตอนนี้อยากกลับไปเที่ยวที่ประเทศ U เธอยังรู้ว่าเยี่ยฉินเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน พ่อแม่รักเธอมาก เธอมองดูเยี่ยฉิน เหมือนกับแม่ที่มองดูลูกสาว ยิ่งมองก็ยิ่งสวย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ ไม่อยากแม้แต่จะละสายตาไปจากเธอ
“คุณน้าคะ ที่หน้าฉันมีอะไรเหรอคะ?” เยี่ยฉินลูบคลำใบหน้าของตัวเอง เห็นว่ามือของตัวเองสะอาดมาก “ไม่มีอะไรนี่คะ”
“หนูนี่น่ารักจริงๆ”
“คุณน้าก็น่ารักมากค่ะ ตอนนี้ดึกมากแล้วจริงๆ คุณน้าพักผ่อนเถอะค่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็น่าจะถึงแล้ว”
“ยังไม่รู้เลยว่าหนูจะไปไหน”
เยี่ยฉินครุ่นคิด “ฉันลงรถที่ปานซื่อ แล้วกะว่าจะไปเที่ยวหนิ่วเจิ้นที่อยู่ข้างๆ”
คุณแม่ตื่นเต้นฉับพลัน “บ้านของน้าก็อยู่ตรงนั้น ถ้าหนูไม่รังเกียจล่ะก็ หนูจะพักที่บ้านน้าสองสามคืนก็ได้ แล้วค่อยไปเจอเพื่อนของหนู”
แม้เยี่ยฉินจะรู้สึกว่าคุณน้าที่อยู่ตรงหน้าใจดีมาก อีกทั้งยังคุยกับเธอถูกคอ แต่ว่าจะถือวิสาสะรบกวนคนอื่นแบบนี้เห็นทีจะไม่เหมาะสักเท่าไร จึงปฏิเสธคำเชิญของคุณแม่อี้ไปอย่างสุภาพแล้ว คุณแม่อี้ผิดหวังเล็กน้อย เยี่ยฉินสัญญาว่าคราวหน้าหากมีเวลาจะไปอย่างแน่นอน
เมื่อฟ้าสว่าง เครื่องบินลงจอดตรงเวลา คุณแม่อี้กล่าวลากับเยี่ยฉินอย่างเสียมิได้ แล้วเข้าไปนั่งในรถ
“คุณรู้จักเด็กคนนั้นเหรอ? ดูนิสัยดีนะ”
คุณแม่อี้พยักหน้า “นั่นสิ อายุห่างจากเป่ยเฉินไม่เท่าไร เป็นเด็กดีเลยล่ะ”
“คุณคงไม่ได้กะตือรือร้นจนคนเขากลัวแล้วหนีไปหรอกนะ”
“ดูคุณพูดสิ จะเป็นไปได้ยังไง”
“ไม่แน่ยัยหนูอาจคิดในใจว่าวันนี้ดันเจอคุณน้าแปลกๆ คนนึง”
คุณแม่อี้มองค้อนเขาโกรธๆ “คุณน่ะอิจฉาที่ฉันกลับไปหาลูกๆ ได้แต่คุณกลับไปไม่ได้ ฉันได้เจอเด็กน้อยที่ฉันชอบแต่คุณไม่ได้เจอก็เลยพูดอะไรพวกนี้ยั่วโมโหฉันสินะ”
คนที่ขับรถหัวเราะ ส่ายหน้า “เปล่านะ ผมมีคุณแล้ว ไม่มีอะไรแบบนี้ซะหน่อย แล้วก็ไม่มีอะไรน่าโมโหด้วย”
คุณแม่อี้เผยยิ้มมีความสุข
————