ตอนที่ 515 วิวัฒนาการของหัวบิน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 515 วิวัฒนาการของหัวบิน โดย Ink Stone_Fantasy

พริบตาเดียวก็ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว

วันนี้ มีพายุเย็นพัดกระหน่ำอยู่เหนือถ้ำจันทรา และแผดร้องอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็มีปราณหยินพวยพุ่งใต้ชั้นจำกัดบนหลังคาถ้ำ และเกาะตัวเป็นเมฆหมอกสีเทา

ครู่ต่อมา มีเสียงดังโครมครามออกจากภูเขา มังกรหมอกดำที่ดูราวกับมีชีวิตและพยัคฆ์หมอกดำพุ่งขึ้นด้านบน และเริ่มหมุนวนสลับกันไปมา เสียงแผดร้องของมังกรพยัคฆ์ดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย

ด้านบนถ้ำที่หลิ่วหมิงอยู่ พลันมีลวดลายจิตวิญญาณสีเทาแปลกประหลาดปรากฏออกมา มันเปล่งประกายไม่กี่ทีก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ไอเย็นจำนวนมากรวมตัวเข้าด้วยกันบริเวณนี้ และค่อยๆ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นยักษ์อยู่บนเพดานถ้ำ

อากาศบริเวณรอบๆ ระลอกคลื่นดูบิดเบี้ยวขึ้นมา จากนั้นแรงกดดันจิตวิญญาณที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึกก็พุ่งขึ้นด้านบนตามติดมังกรพยัคฆ์มาติดๆ และหายไปในระลอกคลื่น

“โครมคราม!”

ระลอกคลื่นที่เกิดจากปราณหยินหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็สลายไป และปรานหยินก็ม้วนตัวไปทั่วทิศ

หลังจากเหตุการณ์ดำเนินไปได้ราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

แม้ว่าถ้ำแต่ละแห่งจะมีชั้นจำกัดปิดกั้นไว้ แต่ศิษย์ที่ฝึกฝนอยู่ในถ้ำบริเวณนั้นยังคงรับรู้ได้ถึงปราณหยินในถ้ำที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ขณะเดียวกัน ห้องหินภายในถ้ำจันทรา ผู้อาวุโสชุดเหลืองที่นั่งอยู่ตรงหน้าค่ายกลค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

“แค่ทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายเท่านั้น ทำไมถึงมีการเคลื่อนไหวรุนแรงเช่นนี้ แม้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้จะดุดันเล็กน้อย วิธีการฝึกฝนก็ไม่เข้าตาใครบางคน แต่ก็ไม่เสียทีที่เป็นวิชาระดับสูงของนิกาย ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ปีแล้วที่ไม่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้” ผู้อาวุโสพูดพึมพำออกมา จากนั้นก็หลับตาลงด้วยสีหน้าสงบ

หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ในฉับพลัน มือทั้งสองทำท่ามือขึ้นมา หมอกดำรอบตัวที่กลายเป็นมังกรพยัคฆ์ได้รวมกันเป็นหนึ่ง และกลายเป็นไอดำอันเข้มข้น จากนั้นก็หมุนหนึ่งรอบก่อนหายไปในศีรษะของเขา

“ยินดี…นายท่าน…ทะ…ทะลวง…ของเหลวขั้นปลาย” ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงติดอ่างของเด็กสาวดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงยิ้มให้แมงป่องกระดูกเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นมา และยื่นแขนทั้งสองออกไป ทันใดนั้น กระดูกทั่วร่างก็ส่งเสียงดังราวกับจุดประทัด

พอเขากำหมัด แขนก็ขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัว ลวดลายสีดำปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่บนผิวหนัง จากนั้นก็หันไปทุบก้อนหินยักษ์โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“ตู๊ม!”

ก้อนหินยักษ์แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษหินกระเด็นไปทั่วทิศ

หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และเผยสีหน้าพอใจออกมา การโจมตีนี้ใช้พลังแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

เขาชี้มือข้างหนึ่งไปยังผนังหินที่อยู่ห่างออกไปสองสามจั้งเบาๆ หมอกดำเกาะตัวบนปลายนิ้วทันที จากนั้นก็พุ่งยิงใส่ผนังหิน

ครู่ต่อมา อากาศตรงหน้าผนังหินก็สั่นสะเทือน เกิดโพรงขนาดใหญ่ฉื่อกว่าๆ บนผิวผนัง ฝุ่นหินสีเทาร่วงหล่นลงพื้น

หลิ่วหมิงชี้ไปยังผนังหินติดต่อกันอีกสองสามครั้ง หลังจากนั้นถึงหยุดลงด้วยสีหน้าพอใจ

ขณะนี้ แม้ว่ายันต์ทะลวงเส้นลมปราณจะสูญเสียประสิทธิภาพไปแล้ว แต่เส้นลมปราณภายในร่าง ก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย พอกระตุ้นเบาๆ พลังเวทในเส้นลมปราณทั่วร่าง ก็ไหลพุ่งราวกับกระแสน้ำ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้อานุภาพของเคล็ดวิชาที่กระตุ้น ก็เพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง

และพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณของเขา ก็ดูเหมือนจะหนียวเหมือนกาว ความหนาแน่นของพลังเวทคงเข้าใกล้ระดับผลึกขั้นต้นแล้ว และพลังเวทก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่ากว่าๆ คงเพียงพอที่จะรับมือกับการดูดกลืนพลังเวทของฟองอากาศลี้ลับในครั้งหน้า

และพลังเวทที่เพิ่มทวีอย่างดุเดือด ภายใต้การกระทำของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นถึงสามส่วน

ด้วยเหตุนี้ กายเนื้อของเขาไม่เพียงแต่จะเทียบได้กับผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไป เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกร่างระดับผลึกเลยแม้แต่น้อย

และระยะเวลาในตอนนี้ ก็อยู่ห่างจากตอนที่เข้าถ้ำแค่ยี่สิบกว่าวันเท่านั้น เขายังมีเวลาสิบกว่าวันในการทำเขตแดนให้มั่นคงได้อย่างสบายใจ

เขาโยนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงสองใบกับถุงหนังอีกใบลงพื้น และทำท่ามือชี้ออกไปเบาๆ ลวดลายบนถุงทั้งสามใบเปล่งประกายเล็กน้อย และทำการดูดซับปราณหยินบริเวณนั้นอยู่ไม่หยุด

ตอนนี้ได้ทะลวงเข้าสู่เขตแดนของเหลวขั้นปลายแล้ว ย่อมให้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณดูดซับปรานหยินอันเข้มข้นได้อย่างสบายใจ

เขาสื่อสารกับแมงป่องกระดูกอย่างง่ายๆ สองสามประโยค จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิเข้าฌาน เพื่อเตรียมทำเขตแดนให้มั่นคง

หลังจากเขาหลับตาทั้งคู่ลง ก็มีแสงเปล่งประกายในทะเลจิตรับรู้ คัมภีร์สีดำที่มีไอดำลอยวนปรากฏออกมา มันคือเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั่นเอง!

หลายวันมานี้ เขาศึกษาขั้นที่สามของวิชานี้อย่างละเอียด ตามที่บรรยายไว้ในนั้น หลังจากทะลวงของเหลวขั้นปลายแล้ว ก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรทมิฬขั้นที่สามได้

แต่ว่าขั้นที่สามค่อนข้างลึกล้ำจนยากที่จะเข้าใจได้ เขาก็เพิ่งจะเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดูท่าหากจะทำความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน

พอนึกถึงจุดนี้ คัมภีร์ในทะเลจิตรับรู้ก็เริ่มพลิกไปทีละหน้า

แวบเดียวก็ผ่านไปสองสามวันแล้ว

วันนี้หลิ่วหมิงกำลังใช้ความสามารถหนึ่งจิตสองพลังอยู่ ด้านหนึ่งปรับสภาพพลังเวท ทำให้ระดับการฝึกฝนมั่นคง อีกด้านหนึ่งใช้พลังจิตทำความเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามอย่างละเอียด

ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกจากถุงหนังใบหนึ่งที่อยู่บนพื้น!

หลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมาด้วยความแปลกใจ! และหยุดการฝึกฝนลง จากนั้นก็กวาดสายตามองไปยังถุงหนัง

ดูเหมือนว่าถุงหนังใบนี้ จะเป็นใบที่มีหัวบินอยู่!

และตั้งแต่หัวบินกลืนกินร่างผลึกกับกระดูกของหัวปีศาจยักษ์ไปไม่น้อย มันก็หลับอยู่ในถุงหนังมาจนถึงวันนี้ โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย

หลังจากแมงป่องกระดูกฟื้นขึ้นมาในก่อนหน้านั้น พลังของมันก็เพิ่มขึ้นมามาก ทั้งยังมีความสามารถใหม่ๆ เกิดขึ้นไม่น้อย สิ่งนี้ทำให้หลิวหมิงยิ่งคาดหวังถึงความก้าวหน้าของหัวปีศาจมากยิ่งขึ้น

หลังจากเขาคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้ว ก็ปล่อยพลังลงบนถุงหนัง

ไอดำราวกับหมึกพุ่งออกจากถุงหนัง มีเสียงร้องแปลกประหลาดท่ามกลางไอดำอันพวยพุ่ง และหลังจากไอดำหมุนตัวติ้วๆ แล้ว ก็เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของหัวบิน

หลับลึกอยู่ในถุงหนังมานานขนาดนี้ ผมสีเขียวเต็มศีรษะของหัวบินดูสวยสดงดงามเป็นอย่างมาก หัวเล็กๆ ทั้งสองที่อยู่ด้านข้างก็โตขึ้นเล็กน้อย และมีชั้นสีเทาดำปรากฏอยู่ลางๆ ไอดำบนตัวก็หนาแน่นกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย

แต่ที่หลิ่วหมิงรู้สึกผิดหวังไปหน่อยก็คือ กลิ่นไอของหัวบินกลับเพิ่มขึ้นมาไม่เท่าไหร่ ดูเหมือนว่าจะยังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง

เขาเชื่อมจิตกับหัวบินทันที

ใครจะรู้เล่าว่า หัวบินไม่สนใจจิตของหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นดวงตาสีแดงเพลิงก็เผยแววละโมบออกมา มันเริ่มอ้าปากดูดกลืนปราณหยินบริเวณรอบๆ อย่างละโมบ

หัวสีขาวที่มีขนาดเล็กสองใบ ก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดด้วยความตื่นเต้น และอ้าปากทำเช่นเดียวกัน

ผ่านไปสองสามอึดใจ รอบๆ ตัวมันก็กลายเป็นระลอกคลื่น ปราณหยินในถ้ำพากันทะลักเข้าไปในปากของมัน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกายเล็กน้อย และไม่ได้ทำท่าทางห้ามปรามแต่อย่างใด เพียงแค่มองดูอย่างเงียบๆ เท่านั้น

“แกว๊กๆ!……” มีเสียงร้องแหลมแปลกประหลาด และไม่รู้ว่าแมงป่องกระดูกมาหมอบอยู่ข้างเท้าเขาตั้งแต่เมื่อใด

“นายท่าน……เกิด…….เกิดอะไรขึ้น……” แมงป่องกระดูกชูก้ามยักษ์ขึ้นมา และส่งเสียงร้องไปทางระลอกคลื่นปราณหยิน ดูเหมือนว่ามันจะไม่พอใจที่ถูกแย่งปราณหยินในถ้ำไป

“ไม่เป็นไร หัวบินกำลังดูดซับปราณหยินอยู่” หลิ่วหมิงลูบตัวแมงป่องกระดูกแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไม่ว่าจะเป็นแมงป่องกระดูกหรือว่าหัวบิน สำหรับพวกมันแล้ว ปราณหยินบริสุทธิ์ของที่นี่ล้วนส่งผลดีต่อพวกมันมาก

หลิ่วหมิงสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากหัวบินดูดกลืนปราณหยินในนี้เข้าไปแล้ว กลิ่นไอบนตัวก็จะแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ครึ่งชั่วยามต่อมา หัวบินถึงหยุดการกลืนกินลงราวกับไม่เต็มใจมากนัก

ขณะนี้ ปราณหยินหนาแน่นภายในถ้ำ ก็ดูเบาบางลงเล็กน้อย พื้นที่ภายในถ้ำที่มีไอดำปกคลุมอยู่ ก็ดูแจ่มชัดขึ้นมา เผยให้เห็นผนังหินขนาดใหญ่

หินสีดำเหล่านี้เป็นหินพลังหยิน มันมีพลังในการดูดรับปราณหยินจากใต้พิภพ และทำให้เกิดเป็นปราณหยินบริสุทธิ์ แต่ว่าปราณหยินในที่นี่ถูกกวาดไปเกือบหมด เกรงว่าต้องรออีกหลายเดือน ถ้ำแห่งนี้ถึงจะกลับคืนสู่สภาพเดิม

ขณะนี้ ไอดำที่พวยพุ่งรอบตัวหัวบินหนาแน่นกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย กลิ่นไอก็แข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย ดูเหมือนว่าจะเข้าถึงระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว

“แคล็กๆ!”

เสียงกระดูกเสียดสีกันดังออกมาจากไอหมอกดำ หัวบินส่งเสียงร้องแหลมแปลกประหลาดอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

แมงป่องกระดูกที่อยู่ข้างๆ ก็ขยับตัวอย่างกระวนกระวาย และส่งเสียงร้องแกว๊กๆ อยู่ครู่หนึ่ง

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และปล่อยจิตออกไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาสามารถสื่อสารกับหัวบินได้แล้ว จากการตอบกลับของมันทำให้ทราบว่า ก่อนหน้านั้นมันกลืนกินเลือดและกระดูกของหัวปีซาจยักษ์ไปมาก แต่กลับขาดปราณหยินในการบ่มเพาะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่บรรลุขั้น

หลังจากฟื้นขึ้นมาในครั้งนี้ จึงดูดซับปราณหยินไปจำนวนมาก ในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา

ขณะที่ไอดำที่ลอยวนรอบตัวหัวบินพวยพุ่งอย่างรุนแรง ก็พลันมีแสงสีม่วงพุ่งออกจากไอดำ

เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องกันราวๆ ครึ่งชั่วยาม ภายใต้การประสานกันของแสงสีม่วง มันก็ก่อตัวเป็นม่านแสงสีม่วงปกคลุมหัวบินไว้ด้านใน

ท่ามกลางม่านแสง ไอดำพวยพุ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นมันก็หมุนวนขึ้นมา และถูกหัวบินดูดเข้าไปในทีเดียว

ขณะนี้ หัวบินได้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว!

หัวเล็กๆ ทั้งสองข้างสั่นไหวอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง อักขระสีเขียวบนผิวกระพริบผ่านไป จากนั้นมันก็ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ และภายในเบ้าตาสีดำ ก็มีแสงสีเขียวแวววาว

จากนั้นหัวทั้งสามก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาพร้อมกัน ผิวหนังของหัวเล็กทั้งสองสั่นไหว และต่างก็มีก้อนเนื้อนูนออกมาสามก้อน ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังลอกคราบออกมา ทำให้หัวบินดูอัปลักษณ์ยิ่งนัก

แต่ก้อนเนื้อเหล่านี้เพียงแค่ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าปากถ้วย จากนั้นก็หยุดลง

หัวทั้งสามของหัวบินหันไปสังเกตตัวเองสองสามที จากนั้นถึงแสดงสีหน้าพอใจออกมาพร้อมกัน หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ลอยมาอยู่ห่างจากตรงหน้าหลิ่วหมิงเพียงแค่ลัดมือเดียว และส่งเสียงร้องประจบหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และยื่นมือข้างหนึ่งไปลูบหัวที่อยู่ตรงกลาง พริบตานั้น ในใจเขาก็นึกถึงคัมภีร์ในนิกายปีศาจ ที่เขาเคยอ่านเจอตำนานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเป็นหัวเก้าทารกของหัวบิน

หัวบินในตอนนี้ได้กลายเป็นหัวปีศาจระดับหกแล้ว กลิ่นไอก็บรรลุถึงระดับของเหลวขึ้นปลาย รูปร่างของมันก็กลายเป็นหัวเก้าทารกตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์แล้ว

…………………………………