บทที่ 138 หวั่นหวั่นผู้หน้าเนื้อใจเสือ โดย Ink Stone_Romance
ในวันที่เจ็ด สุดท้ายนายท่านฉินก็ทนไม่ไหวและไปพบกับอวี๋หวั่นอีกครั้ง
แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้ลุงใหญ่ได้รับชัยชนะเหนือพ่อครัวเทพเป้า พ่อครัวเทพเป้าเป็นเทพเจ้าแห่งการปรุงอาหารที่แท้จริง และแม้แต่พ่อครัวของฮ่องเต้ก็มิอาจเอาชนะเขาได้ ลุงใหญ่ไม่เคยเรียนวิชาจากพ่อครัวชื่อดัง อาศัยเพียงทักษะการทำอาหารที่เขาค้นพบด้วยตัวเองเท่านั้น มิอาจเทียบพ่อครัวเทพเป้าได้เลย
แต่เดิมคิดว่าแม้ว่าจะไม่มีลุงใหญ่ หอจุ้ยเซียนก็มีโอกาสชนะหอเทียนเซียง ตอนนี้ไม่มีโอกาสที่จะชนะได้แล้ว นายท่านฉินต้องหาวิธีอื่น อย่างการทำอาหารจานเด่นทั้งห้าที่เป็นต้นตำรับดั้งเดิมมากกว่าหอเทียนเซียงในการแข่งขันครั้งใหญ่ การลอกเลียนแบบหอเทียนเซียงยังไม่ผ่านพ้นไปและตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นจุดสนใจ
ดังนั้นอาหารทั้งห้านี้ก็จะเอาออกจากสูตรอาหารของหอจุ้ยเซียนไม่ได้แล้ว
นายท่านฉินไม่ได้เต็มใจจะทอดของเหลือจากหอเทียนเซียง แต่สถานการณ์บังคับให้เขาต้องเลือก
ครานี้ นายท่านฉินมิได้เล่นแง่กับอวี๋หวั่นและสารภาพกับอวี๋หวั่นอย่างจริงใจ
อวี๋หวั่นไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นการฉวยโอกาสที่ไร้ยางอายเช่นนี้ในสมัยโบราณ หากเป็นยุคปัจจุบันนายท่านฉินคงเป็นนายหน้าผู้ยอดเยี่ยมไปแล้ว
“แม่นางอวี๋ เจ้าคิดว่าอย่างไร?” นายท่านฉินไม่ถามความคิดเห็นของลุงใหญ่และอวี๋เฟิงอีกแล้ว เขาเข้าใจว่าคนที่รับผิดชอบจริงๆ คือสตรีตัวเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนหน้านี้เขาเคยดูถูกนาง คิดว่านางรับผิดชอบได้เพราะความเอ็นดูจากครอบครัว แต่ดูจากตอนนี้ แม้ว่านางยังเด็กแต่กลับฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบมากกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด!
“ฉินเป็นคนจริงใจและตรงไปตรงมา ดังนั้นแม่นางอวี๋โปรดอย่าอ้อมค้อมอีกเลย แม่นางอวี๋มีเงื่อนไขใด ต้องการเท่าไหร่ก็ว่ามา”
นายท่านฉินจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่านางมิใช่ว่าไม่สนใจทำธุรกิจใหญ่จริงๆ แต่ศึกครั้งนี้ใครที่เป็นฝ่ายใจเย็นกว่าก็จะชนะ และผลคือเขาแพ้ หากยินดีเดิมพันก็ต้องยอมรับ ถึงคราวที่ดรุณีผู้นี้จะเรียกราคาที่สูงลิ่วแล้ว
นายท่านฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาใช้ชีวิตมาครึ่งคนแล้ว อยู่กับผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในกำมือของสาวน้อยตัวเล็กๆ คนนี้
อวี๋หวั่นนับนิ้วแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการสามหุ้นในผลกำไรของหอจุ้ยเซียนที่อยู่ในเมืองหลวง”
นายท่านฉินสูดหายใจ หนึ่งหอมีสิบสามหุ้น เจ้าของครอบครองสิบหุ้น ส่วนที่เหลืออีกสามหุ้นเป็นของผู้จัดการและลูกจ้าง ผลกำไรของผู้จัดการและลูกจ้างไม่สามารถขยับได้ แล้วจะเอามาจากไหนอีกสามหุ้น? ก็คงต้องเป็นกระเป๋าของเขาแล้ว
นอกจากนี้สตรีผู้นี้พูดอะไรอีก? หอจุ้ยเซียนในเมืองหลวง? หมายความว่าถ้าเขาเปิดสาขาในเมืองหลวงเขาต้องให้ผลกำไรสามหุ้นกับนาง?
“แม่นางอวี๋ นี่มันเกินไปแล้ว” นายท่านฉินยิ้มบางๆ
อวี๋หวั่นยิ้มและกล่าวว่า “นายท่านฉิน หากหอจุ้ยเซียนไม่สามารถเริ่มต้นในเมืองหลวงได้ กำไรเพียงส่วนเดียวก็อาจไม่มีเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันให้ท่านได้กำไรแปดหรือเก้าส่วน ข้าเพียงสามส่วนเท่านั้น คิดดูแล้วก็นับว่าท่านยังได้กำไร”
ถูกต้อง แต่ใครกันเล่าที่จะยอมควักเงินออกจากกระเป๋า?
“ถ้าหากขาดทุนล่ะ?” นายท่านฉินถาม
“ก็เรื่องของท่านแล้ว” อวี๋หวั่นกล่าว
นายท่านฉินแทบสำลักตาย!
ผ่านไปนานกว่าจิตใจของนายท่านฉินจะสงบลง “สาวน้อย ข้าจะให้ผลกำไรสามหุ้นกับเจ้า แต่ข้ามีเงื่อนไขสองข้อ ข้อแรกต้องทำอาหารจานเด่นทั้งห้าในการแข่งขันครั้งใหญ่ซึ่งต้องดีกว่าของหอเทียนเซียง”
“ข้อสองเล่า?” อวี๋หวั่นถามด้วยท่าทีใจเย็น
นายท่านฉินยิ้มและกล่าวว่า “พวกเจ้าต้องชนะหอเทียนเซียง หากพวกเจ้าแพ้ ไม่เพียงแต่จะไม่มีกำไรสักหุ้น แต่ราคาซื้อเต้าหู้เหม็นจะต้องลดลงให้ข้าครึ่งหนึ่งด้วย”
“อาหวั่น!” อวี๋เฟิงที่ได้ฟังอยู่ อดจะเข้าไปในห้องไม่ได้
อวี๋หวั่นตอบโดยที่ไม่รอให้เขาได้ปฏิเสธ “ได้ ตกลงตามนั้น”
นายท่านฉินจากไปด้วยความพึงใจ
สาวน้อยเจ้ายังอ่อนเกินไป พวกเจ้าจะเอาชนะได้อย่างไรกัน?
คนที่ชนะจะมีเพียงข้า นายท่านฉินผู้นี้เท่านั้น
“ดี ดีมาก!” นายท่านฉินขึ้นรถม้าไปด้วยใบหน้าสีแดงมีเลือดฝาด
“เกิดอะไรขึ้นขอรับนายท่าน” สารถีถามอย่างสงสัย
นายท่านฉินตอบด้วยท่าทางที่พอใจ “เดิมทีข้าแค่วางแผนจะให้อวี๋ไคหยางทำอาหารจานเด่นทั้งห้าในการแข่งขันเพื่อให้คนทั้งเมืองรู้ว่าอาหารทั้งห้านั้นเป็นของหอจุ้ยเซียน แต่ตอนนี้ราคาซื้อเต้าหู้เหม็นก็กลับลดลงครึ่งหนึ่งด้วย”
รถม้าออกจากหมู่บ้านเหลียนฮวาไป
อวี๋เฟิงกล่าวอย่างดุดันเพื่อให้อวี๋หวั่นเข้าใจ “อาหวั่น เจ้าไปตกลงกับเขาได้อย่างไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อครัวเทพเป้าคือใคร? เขาเป็นถึงปรมาจารย์ของแม่นางตู้! พ่อครัวของฮ่องเต้ในวังก็ยังต้องเรียนรู้ฝีมือจากเขา! พ่อของข้าจะเอาชนะได้อย่างไร?”
อวี๋หวั่นตอบ “ลุงใหญ่เคยแข่งกับเขามาก่อนรึ?”
อวี๋เฟิงถอนใจ “ก็ยังไม่เคยหรอก เมื่อสามปีก่อน เขา…”
“เขาทำไม?” อวี๋หวั่นมองไปยังอวี๋เฟิง
อวี๋เฟิงได้ข่าวมาอีกทีแต่ก็ไม่แน่ใจนัก “เขาไปตามหาบุตรชายที่หายไปนานหลายปี พ่อของข้าก็ไปตามหาเจ้า ทั้งคู่จึงพลาดการแข่งขันครั้งใหญ่”
“ทำไมบุตรชายของเขาถึงหายไปเล่า?” อวี๋หวั่นถาม
อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว “ว่ากันว่าพลัดพรากกันตั้งแต่แรกเกิด หลายสิบปีผ่านไปก็ยังหาไม่พบ แต่จู่ๆ ก่อนการแข่งขันใหญ่เขาก็ได้ข่าวลูกชาย เขาจึงทิ้งหอเทียนเซียงและออกตามหา ทำให้หอเทียนเซียงเกือบจะพ่ายแพ้”
“อ๋อ” อวี๋หวั่นมิได้สนใจเรื่องครอบครัวของพ่อครัวเทพเป้า อีกอย่างก็ไม่ใช่ปู่ของเธอ จริงไหมเล่า?
อวี๋หวั่นกะพริบตา “ทั้งที่ลุงใหญ่กับเขายังไม่เคยศึกษาซึ่งกันและกัน พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าเขาจะเป็นผู้ชนะ มิใช่ลุงใหญ่? พี่ใหญ่ ท่านจงอย่าปล่อยให้คนอื่นมาทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง”
“ถูกต้องแล้ว! เด็กน้อยอย่างเจ้าอย่าปล่อยให้คนอื่นมาทำลายศักดิ์ศรีของเจ้า!” ลุงใหญ่ยันไม้เท้าเข้ามาในห้องโถงด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เป็นเพียงชายแก่ไร้น้ำยาหรือ? เจ้ากลัวว่าพ่อของเจ้าจะไม่ประสบความสำเร็จงั้นรึ?”
อวี๋เฟิงปล่อยให้บิดาดุ เขาหน้าหงอยน้ำตาคลอ
อวี๋หวั่นยิ้มและเดินไปช่วยป้าสะใภ้ใหญ่ทำงาน
ในห้องโถงไม่มีอวี๋หวั่นแล้ว จู่ๆ ลุงใหญ่ก็ยื่นมือไปหาลูกชาย “ประคองข้าที”
อวี๋เฟิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงเขา “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป?”
ขาของลุงใหญ่อ่อนแรงและพูดเสียงสั่นว่า “พ่อครัวเทพเป้าจะมาจริงๆ รึ?”
“…” อวี๋เฟิงมุมปากกระตุก แล้วที่บอกว่าไม่กลัวเล่า?
………………………………