ตอนที่ 641 สำนักพิณอิน

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 641

สำนักพิณอิน

“…………”หลังจากผ่านทะเลทรายมา ทั้งฟงเป่าและหนี่หลิงหนานก็ต้องเดินทางผ่านเมืองอีกหลายเมืองจนไปถึงเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือที่อยู่ติดภูเขาสูงที่กั้นระหว่างอาณาจักรซานและอาณาจักรไป๋เอาไว้ ที่นี่ไม่ใช่เมืองที่หลินเฟยใช้ผ่านทางแต่เป็นสุดมุมของภูเขาสูงทางตะวันตกนั่นเอง ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กลางวงล้อมของภูเขา ทั้งทางเหนือ ตะวันตกล้วนแล้วโดนภูเขาปิดล้อมทั้งหมด หากเป็นช่วงบ่ายเมืองทั้งเมืองคงโดนเงาภูเขาบังแสงอาทิตย์จนกระทั่งเช้าอีกวันเป็นแน่

“ยอดเลย ข้าพึ่งเคยเห็นเมืองแบบนี้เป็นครั้งแรก”หนี่หลิงหนานเบิกตากว้างด้วยท่าทีตกใจ เพราะอยู่ใกล้ภูเขาสูงทำให้บ้านเรือนต่างๆสร้างสูงขึ้นไปเรื่อยๆตามเนินเขาทำให้สภาพที่เห็นจากนอกเมืองเหมือนเมืองถูกสร้างขึ้นบนขั้นบันไดขนาดยักษ์ 3 ขั้นเลย

“บันไดพวกนั้นเห็นได้จากนอกเมืองเลย ถ้าเข้าไปใกล้ต้องใหญ่มากแน่ๆ”จุดเด่นที่สุดของเมืองที่ฟงเป่าเห็นคงหนีไม่พ้นบันไดขนาดใหญ่ที่มีทั้งทางซ้ายและขวาของเมือง เพราะเมืองถูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้นใหญ่ๆ ทำให้มีการสร้างบันไดสำหรับเดินทางระหว่างชั้นเกิดขึ้น และเหมือนเมืองแห่งนี้จะพยายามเน้นบันไดพวกนั้นเป็นพิเศษมันเลยดูสวยงามและอลังการอย่างกับยกบันไดของวังหลวงมาตั้งพาดทั้งเมืองเลย

“ไปกันเถอะ”หลังจากชื่นชมความงามของเมืองจากภายนอก หนี่หลิงหนานก็ชวนให้ฟงเป่าเข้าไปในเมืองสักที ความจริงการเดินทางครั้งนี้ได้พบเห็นสิ่งแปลกตามากมาย ทั้งทะเลทรายที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก ทั้งภูเขาสูงชันทางเหนือที่ว่ากันว่าเป็นที่กั้นระหว่างโลกของมนุษย์กับโลกของเหล่าเซียน ไหนจะเมืองที่แปลกตาเหล่านี้อีก ทำให้ทั้งสองเดินทางช้ากว่ากำหนดมากแล้ว หากไม่รีบคงไม่ได้กลับไปพบอาจารย์เสียที

“พวกเจ้ามาจากไหน ต้องการมาทำอะไร”ทันทีที่เข้าไปใกล้เมือง ทหารเฝ้าหน้าประตูเมืองก็เดินเข้ามาหาพวกหนี่หลิงหนานตามหน้าที่ทันที แม้พวกหนี่หลิงหนานจะแต่งกายด้วยเครื่องแบบของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายอันเป็นสัญลักษณ์แสดงตนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ทุกเมืองที่ต้องรู้จักสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเสียหน่อย

“พวกข้าเป็นคนของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายขอรับ ข้ามาเพื่อติดต่อสำนักพิณอิน”ฟงเป่าขยับม้าเข้าไปใกล้ๆทหารคนนั้นก่อนจะยื่นป้ายแสดงตนของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายให้ทหารคนนั้นดู

“สำนักเหยี่ยวทะเลทราย….มันตั้งอยู่ที่ไหนนะ”ทหารคนนั้นถามพลางเลิกคิ้วด้วยท่าทีงงๆ

“เมืองหลวงขอรับ”ฟงเป่าตอบด้วยท่าทีงุนงงไม่แพ้กัน หรือว่าเมืองนี้จะอยู่ห่างเกินไปก็เลยไม่ค่อยได้รับข่าวสารจากเมืองหลวงกัน

“อ่อ แล้วสำนักพวกเจ้าเป็นสำนักอันดับเท่าไหร่ล่ะ”นายทหารพยักหน้าช้าๆ หากถามเช่นนี้แสดงว่าไม่เคยทราบข่าวของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายจริงๆสินะ

“ปัจจุบันอันดับ 9 ขอรับ”ฟงเป่าตอบตามความจริง แม้จะโดนเพิกถอนสิทธิ์เข้าร่วมงานวิจารณ์กระบี่ และคงกลายเป็นสำนักไร้ตำแหน่ง 1 ปีเต็ม แต่ตอนนี้ยังไม่เริ่มงานวิจารณ์กระบี่ตำแหน่งปัจจุบันของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายยังเป็นอันดับ 9 อยู่

“ดีๆ ท่าทางพวกเจ้าคงเป็นสำนักที่ดี สำนักพิณอินอยู่ที่ชั้นแรกสุดฝั่งตะวันออก”นายทหารยิ้มด้วยท่าทีเฉยๆ ก่อนจะบอกทางพวกฟงเป่าอย่างใจดีทำให้พวกฟงเป่ากล่าวขอบคุณและเดินทางเข้าไปในเมืองช้าๆแม้จะรู้สึกแปลกๆกับท่าทีของทหารเฝ้าประตูก็ตาม

“เป็นเมืองที่ดีนะ สงบร่มรื่นดี”หนี่หลิงหนานพูดพลางมองไปรอบๆ เพราะอยู่บนภูเขาอากาศเลยเย็นสบาย ผู้คนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสดูไม่เร่งรีบอะไรเท่าไหร่

“หลีกทาง”แม้จะพึ่งคิดไปว่าผู้คนดูไม่เร่งรีบ แต่ยังไม่ทันไรที่ด้านหลังของพวกฟงเป่าก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมรถม้าที่แล่นเข้ามากลางถนน เมื่อเห็นเช่นนั้นฟงเป่าและหนี่หลิงหนานก็บังคับม้าให้เดินไปข้างทางเพื่อหลีกทางให้รถม้าตามมารยาท ทำให้รถม้าคันนั้นผ่านกลางเมืองไปได้อย่างง่ายดาย

“หลีกไป ท่านเจ้าสำนักภูผากำลังผ่านทาง”เสียงของคนขับรถม้าดังอย่างต่อเนื่องขณะบังคับรถม้าผ่านไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่เวลาคนมีตำแหน่งจะผ่านทางแล้วคนขับจะร้องตะโกนแบบนั้นเพื่อให้ผู้คนหลีกทางให้ แต่เพราะแบบนั้นฟงเป่าถึงได้ทราบว่าคนในรถม้านั้นคือเจ้าสำนักของสำนักอื่นนี่เอง

“พวกเจ้า ลงมาจากม้าซะ เจ้าสำนักภูผากำลังจะผ่านอย่าทำตัวเสียมารยาทสิ”ชายวัยกลางคนที่หลบทางอยู่ข้างๆพวกฟงเป่าพูดพลางสะกิดฟงเป่าให้ลงมาจากหลังม้าเสีย

“เอ๊ะ?…..”ฟงเป่ามองตาหนี่หลิงหนานด้วยท่าทีประหลาดใจ แต่เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามทำให้ทั้งฟงเป่าทั้งหนี่หลิงหนานลงจากม้าอย่างช่วยไม่ได้

“ท่านป้า คนในรถม้าเป็นใครหรือเจ้าคะ ข้าพึ่งมาจากนอกเมืองไม่ทราบเรื่อง”หนี่หลิงหนานอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ หากเป็นองค์จักรพรรดิเดินทางผ่านก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นเจ้าสำนักธรรมดาไม่ใช่หรือ แถมสำนักภูผาที่ว่ายังไม่ได้อยู่ในลำดับสูงๆเสียด้วย

“เจ้านี่แปลก เจ้าสำนักภูผายิ่งใหญ่โด่งดังทั่วทั้งอาณาจักรซานไม่รู้จักจริงๆงั้นหรือ”คุณป้าที่อยู่ข้างๆหนี่หลิงหนานตอบด้วยท่าทีงุนงงราวกับมองเห็นคนมาจากภพภูมิอื่นไม่มีผิด

“ทั่วอาณาจักรซาน…….”หนี่หลิงหนานและฟงเป่าได้ยินก็อึ้งไปตามๆกัน โด่งดังงั้นหรือ พวกตนแม้จะอาศัยในเมืองหลวงได้ไม่กี่เดือนแต่ก็ได้รู้เห็นเรื่องราวต่างๆมาไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยได้ยินเรื่องสำนักภูผาที่ว่าเลย

“พวกเจ้ามาจากที่ไหนกันถึงไม่รู้จักสำนักอันดับ 1 ของอาณาจักรซาน เหลวไหลจริงๆ”ชายวัยกลางคนที่อยู่ไม่ไกลพอได้ยินเข้าก็พากันส่ายหน้า แต่คำถามของมันกลับทำให้พวกฟงเป่างงหนักเข้าไปอีก สำนักอันดับ 1 !! เรื่องตลกอะไรกัน สำนักอันดับ 1 ของอาณาจักรซานคือสำนักวิถีเซียนไม่ใช่หรือ แล้วสำนักภูผาที่ว่านี่มาจากไหนกัน แล้วเจ้าคนที่อยู่ในรถม้าที่บอกว่าเป็นเจ้าสำนักนั่นก็มีพลังอยู่ระดับเสินเซียนขั้นที่ 3 เอง พลังระดับนี้หากเป็นอาทู้ก่อนโดนสลายวรยุทธอาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ

“ท่านป้า สำนักอันดับ 1……”ฟงเป่ากำลังจะเอ่ยปากแก้ข่าว หนี่หลิงหนานก็พลันเอามือปิดปากฟงเป้าเอาไว้เสียก่อน

“สำนักอันดับ 1 นี่เองพวกข้าไม่ค่อยได้ออกจากเมืองนักเลยไม่ทราบข่าว น่ายินดีจริงๆที่ได้เห็นกับตา”หนี่หลิงหนานตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา พวกตนมาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อเปิดโปงความจริงใครเสียหน่อย คนในเมืองท่าทางจะเชื่อสำนักที่ว่านี่เหลือเกิน หากพูดอะไรผิดหูไปมีหวังได้ถกเถียงกันยาวแน่ๆ

“แบบนี้ดีแล้วหรือขอรับ”ฟงเป่าถามขณะเดินลากม้าเดินเท้าต่อไปยังสำนักพิณอินที่อยู่ไม่ไกลนัก

“เจ้าลืมแล้วหรือว่าเราต้องรีบเดินทางกลับอีก ถึงสำนักเราจะไม่ได้เข้าร่วมงานวิจารณ์กระบี่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่เข้าไปศึกษาวิชาของสำนักอื่นนี่นาพวกเราต้องพาหานซินปิงบุตรสาวของเจ้าสำนักกิ่งจันทร์กลับไปด้วยอีกนะ กว่าจะถึงเมืองหลวงคงเกือบจะเริ่มการประลองพอดี”หนี่หลิงหนานตอบพลางมองไปทางฟงเป่าเหมือนจะบอกว่าพวกตนไม่มีเวลามาทะเลาะกับชาวบ้านเพราะเรื่องนี้แล้ว

“นั่นสินะขอรับ ข้าขอโทษด้วย”ฟงเป่าได้ฟังเหตุผลก็เข้าใจความตั้งใจของหนี่หลิงหนานเสียที ก็จริงพวกตนไม่มีเวลาขนาดนั้นแล้ว

“………….”แม้จะพูดแบบนั้น แต่เมื่อเดินทางมาถึงสำนักพิณอินตามเป้าหมาย ทั้งหนี่หลิงหนานทั้งฟงเป่าต่างก็กะพริบตาปริบๆพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นรถม้าที่พึ่งผ่านทางไปเมื่อครู่จอดอยู่หน้าสำนักพิณอินพอดี

“ฮ้าๆ เข้าใจก็ดีแล้ว พรุ่งนี้สำนักข้าจะจัดงานฉลอง อย่าลืมเอาศิษย์ของเจ้าไปช่วยงานด้วยล่ะ”พวกฟงเป่ากำลังจะเข้าประตูสำนักพิณอินก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน สำนักพิณอินเป็นสำนักสตรี เสียงผู้ชายแบบนี้ท่าทางจะเป็นเสียงของเจ้าสำนักภูผาอะไรนั่นแน่ๆ

“แต่…สำนักเราไม่ได้…”เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังพยายามจะปฏิเสธชายคนนั้นด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ

“หา หรือว่าเจ้าไม่ให้เกียรติสำนักภูผา เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักพิณอินอยู่ได้เพราะใคร หากไม่ใช่เพราะสำนักอันดับ 1 อย่างพวกเราให้งานพวกเจ้า สำนักพวกเจ้าจะอยู่ได้ถึงตอนนี้หรือไง”เจ้าสำนักภูผาต่อว่าพลางรำลึกบุญคุณเป็นชุดๆ

“จะ..เจ้าค่ะ”แม้จะโดนต่อว่าไปไม่น้อย แต่เสียงของหญิงสาวอีกคนก็ตอบรับด้วยท่าทีฝืนๆ

“ดี ให้ศิษย์ของเจ้าฝึกซ้อมฟ้อนรำให้พร้อม อย่าให้แขกของข้าเสียอารมณ์”เสียงนั้นจบลง ร่างของชายวัยกลางคนในชุดสีทองอร่ามก็เดินออกมาจากสำนักด้วยท่าทีหยิ่งยโสก่อนจะขึ้นรถม้าที่หน้าสำนักจากไป ทำเอาฟงเป่าและหนี่หลิงหนานไม่ทราบจะเข้าสำนักไปตอนนี้ดีหรือไม่

“ไปกันเถอะ”หนี่หลิงหนานว่าพลางนำม้าไปผูกเอาไว้ที่หน้าสำนักก่อนจะเดินเข้าไปในสำนักพิณอินช้าๆ

“ท่านเจ้าสำนัก อย่าโทษตัวเองเลยนะเจ้าคะ พวกเราจะไปงานของสำนักภูผาเอง”ทันทีที่เดินเข้ามาในสำนัก หนี่หลิงหนานและฟงเป่าก็ได้ดูละครโศกอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ยามนี้หญิงสาวที่ดูโตที่สุดกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่หญิงสาวนางอื่นๆยืนห้อมล้อมเอาไว้พยายามปลอบใจนาง

“ข้าขอโทษ หากข้ามีกำลังมากกว่านี้คงไม่ต้องให้พวกเจ้าไปทำอะไรไร้สาระแบบนั้น พวกเราเป็นสำนักฝึกฝนพลังวิญญาณแท้ๆ”เจ้าสำนักพิณอินตอบพลางถอนหายใจออกมา หากฟังจากที่ได้ยินเมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าสำนักภูผาจะมาจ้างให้สำนักพิณอินส่งศิษย์ของตนเองไปเต้นรำในงานฉลองอย่างกับจากคณะแสดงเสียอย่างนั้น และด้วยเหตุผลบางอย่างสำนักพิณอินก็ไม่สามารถปฏิเสธสำนักภูผาได้

“ท่านเจ้าสำนัก”หนี่หลิงหนานเห็นพวกนางปลอบใจกันสักพักก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาพวกนางก่อนจะประสานมือคารวะเจ้าสำนักพิณอินอย่างนอบน้อม

“เอ๊ะ…..พวกเจ้าเป็นใคร”เจ้าสำนักพิณอินเห็นหนี่หลิงหนานและฟงเป่าเข้าก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะรีบลุกขึ้นเช็ดน้ำตาตนเองอย่างเร่งรีบ

“ข้าคือหนี่หลิงหนานจำสำนักเหยี่ยวทะเลทราย ข้ามาในฐานะตัวแทนของท่านเจ้าสำนักเจ้าค่ะ”หนี่หลิงหนานตอบโดยยังไม่ก้มหัวขึ้นมา สำนักพิณอินเป็นเพียงสำนักเล็กๆเจ้าสำนักไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ทำเอานางมีท่าทีงงๆไปเลย

“ข้าเหรอ…..”เจ้าสำนักพิณอินสะดุ้งโหยงก่อนจะมองไปทางซ้ายทีขวาที นี่ท่านลืมตำแหน่งตัวเองหรืออย่างไรกัน….