ตอนที่ 159 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 159 ด้านของพ่อแม่ (5)

             “เรื่องนี้ผมคงทำได้แค่ประมาณการ ยังยืนยันไม่ได้ ผมคิดว่าพาคุณหนูท่านนี้ไปตรวจที่โรงพยาบาลจะดีกว่านะครับ แต่ว่าคุณนาย สถานการณ์สุ่มเสี่ยงมากและอาการก็ไม่สู้ดีด้วย”

            ทันใดนั้นคุณแม่อี้ก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมเด็กสาวคนนี้จึงมักจะมีลมหายใจที่ชวนให้คนสงสาร ทำไมถึงมักจะให้ความรู้สึกเหมือนคนป่วย ที่แท้เธอเพราะว่าป่วยหนักงั้นเหรอ? แล้วพ่อแม่ของเธอรู้หรือเปล่า?

            แน่นอนว่าไม่รู้อยู่แล้ว ถ้าหากรู้ล่ะก็ ใครจะปล่อยให้ลูกของตัวเองจากบ้านมาไกลแบบนี้ และนี่ก็คือเหตุผลที่ใบหน้าของเด็กคนนี้เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดเวลาเอ่ยถึงพ่อแม่

            คงจะรู้สึกว่าตัวเองเพิ่มภาระให้กับที่บ้านสินะ คุณแม่อี้ซ่อนเร้นริมฝีปากและอยากจะร้องไห้โฮออกมาทันใด ร้องไห้ให้กับความรู้เดียงสาของเธอ ร้องไห้ให้กับเด็กน่าสงสารคนนี้ที่ต้องทนทุกข์กับเรื่องพวกนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย

            ริมฝีปากของคุณแม่อี้ขยับเขยื้อน อี้เฉิงรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร “คุณไปสั่งยาก่อนเถอะ” คุณหมอพยักหน้า ตามอี้เฉิงออกไปจากห้องด้วยกัน

            “ทำไมถึงไม่พาเธอไปโรงพยาบาล?”

            “คุณเคยคิดหรือเปล่าว่าเด็กคนนี้ไม่อยากให้คนอื่นรู้อาการป่วยของเธอ คุณพาเธอไปโรงพยาบาล พอเธอตื่นขึ้นมาจะคิดยังไง จะคิดหรือเปล่าว่าที่คุณดีกับเธอก็เพราะสงสารเธอ?”

            “แต่ว่าจะยื้อไปแบบนี้เหรอ?”

            อี้เฉิงขมวดคิ้ว เขามองดูลักษณะของเด็กสาวคนนี้แล้วน่าจะป่วยหนักมาก ราวกับเป็นโรคที่หมดทางรักษาอย่างไรอย่างนั้น “ผมจะติดต่อกับคนที่เมืองจีน ดูว่าจะหาพ่อแม่ของเธอเจอหรือเปล่า ให้พวกเขามาจัดการเรื่องนี้เถอะ ถึงคุณจะชอบเด็กคนนี้ ถึงยังไงคุณก็เป็นคนนอกสู้พ่อแม่ของเธอไม่ได้หรอก”

            คุณแม่อี้พยักหน้า เช็ดน้ำตาที่ขอบตาของตัวเอง “เด็กคนนี้น่าสงสารมาก”

            พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ทุกอย่างสงบเรียบร้อย มีเพียงหลิงจื่อเซี่ยที่หาเรื่องสนุกให้อี้เป่ยซีเป็นครั้งคราว แต่สุดท้ายเธอก็ได้แก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดไปทีละเรื่อง หลังจากอี้เป่ยซีย้ายมาคณะวรรณกรรมแล้วก็เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ทุกคนต่างเห็นความโดดเด่นในตัวเธอและเปลี่ยนไปทีละน้อยกับทัศนคติของเธอ

            อี้เป่ยซียินดีกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก แต่ว่าลั่วจื่อหานกลับไม่ชอบเลยสักนิด

            หลังจากที่ได้รู้จักกับอี้เป่ยซี หลายคนต่างรู้สึกว่าอี้เป่ยซีนั้นไม่เหมือนกับที่ตัวเองคิด แม้ว่าจะดูสูงส่งแต่ว่าไม่มีอารณ์โมโหร้ายเลยแม้แต่น้อย กลับมีความมิตรและความไร้เดียงสาของเด็กสาว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่กระตุ้นความสนใจของเด็กหนุ่มบางคน เมื่อลั่วจื่อหานได้ยินข่าวที่รายงานโดยสายของเขาก็ไม่พอใจมาก

            หลังเลิกเรียนอี้เป่ยซีเห็นท่านประธานลั่วสีหน้าตึงเครียด ก็รู้ว่าท่านประธานโมโหเพราะเรื่องเมื่อเช้านี้ รีบโอบไหล่ของเขาอย่างเอาอกเอาใจ “อย่าโมโหไปเลย เมื่อเช้าฉันก็ไม่ได้ตั้งใจนี่นา”

            “เธอยังรู้จักขอโทษฉันเรื่องเมื่อเช้าด้วยเหรอ”

            “เพราะว่าฉันลืมเอาหนังสือไปจริงๆ ก็เลยดูเล่มเดียวกันกับเขา ตอนแรกฉันก็อยากดูหนังสือของเพื่อนผู้หญิง แต่ว่าคาบนั้นคนเต็มเกินไปแล้ว มีแค่ข้างเขาที่ว่าง” อี้เป่ยซียังคงกระพริบตาถี่ ร่างกายราวกับกำลังบอกว่า ‘ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นายจะต้องเชื่อฉันนะ’

            ลั่วจื่อหานแอบจำเอาไว้ในใจแล้ว “เธอใช้หนังสือเล่มเดียวกันกับคนอื่นเหรอ?”

            อะไรนะ? เธอขอโทษผิดเรื่องเหรอ งั้นเขาโมโหเรื่องอะไรล่ะ

            “ทำไมถึงรับจดหมายรักของพวกเขา?” สีหน้าของประธานลั่วบอกว่า ‘ฉันกำลังโมโหมาก เธอให้คำตอบที่ทำให้ฉันพอใจจะดีที่สุด’ อี้เป่ยซีรีบยอมแพ้

            “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันยอมแพ้แล้วฉันยอมรับผิด ใช่ว่าฉันอยากจะรับสักหน่อย ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเอกสารที่อาจารย์แจกจะมีของที่คนอื่นเขียนอยู่ข้างใน พอฉันเจอก็รีบคืนให้เขาแล้วไม่ใช่เหรอไง ถ้าฉันจะรับจดหมายรักก็กล้ารับแต่ของนายเท่านั้นแหละ จะรับของคนอื่นได้ยังไง”

            “กล้า?”

            “ไม่ๆๆ เต็มใจรับ เต็มใจ เต็มใจรับของประธานใหญ่ลั่วเท่านั้น ต่อไปฉันจะไปชายตาแลของคนอื่นเลย”

            “แต่เธอก็ยังอ่านแล้ว”

            ไม่ต้องการเล่นเกมส์ใบ้คำพวกนี้แล้ว อี้เป่ยซีไม่มีทางเลือก ดึงเนกไทของลั่วจื่อหานแล้วจูบที่ริมฝีปากของเขาโดยตรง แม้ว่าประธานลั่วจะเพลิดเพลินมาก แต่ว่าในใจกลับค่อยๆ มีแผนน้อยๆ ของตัวเอง

            งั้นฉันจะทำให้กระต่ายน้อยอย่างพวกนายรู้ถึงความลำบากแล้วถอยกลับไป ให้รู้ซะบ้างว่าอะไรในโลกนี้ที่พวกนายคิดได้ อะไรที่พวกนายไม่แม้แต่จะจินตนาการได้

            ดังนั้นวันรุ่งขึ้นอี้เป่ยซีจึงลูบคลำเอวที่ปวดเมื่อยของตัวเองพร้อมเห็นดอกไม้ช่อใหญ่ในห้องเรียน ด้วยหลักการที่ว่าจะไม่มองหากไม่ใช่ของของลั่วจื่อหาน อี้เป่ยซีจึงไม่ใส่ใจกับหนุ่มน้อยที่ส่งดอกไม้มา เดินกลับไปยังที่นั่งทันที

            “คุณคืออี้เป่ยซีหรือเปล่า?”

            “เอากลับไปเถอะ ฉันไม่เอา”

            “แต่คุณลั่วบอกว่าถ้าคุณไม่รับเขาจะไล่ผมออก แถมยังจะทำให้ผมหางานในเมือง A ไม่ได้อีก” อี้เป่ยซีได้ยินคำพูดที่เอาแต่ใจเช่นนี้แล้วช่างเหมือนคำพูดของลั่วจื่อหานเสียจริง พยักหน้า รับดอกกุหลาบช่อใหญ่เอาไว้ แล้ววางไว้บนเก้าอี้ นักศึกษาสาวที่อยู่ข้างๆ ต่างอิจฉาตาร้อน เด็กผู้ชายบางคนก็รู้สึกใจเสียมากเช่นกัน

            ปกติแล้วไม่ว่าจะส่งอะไรให้อี้เป่ยซี ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เธอก็ไม่รับ แต่เธอก็ไม่รังเกียจที่จะรับดอกกุหลาบช่อใหญ่แบบนี้ มันหมายความว่าอะไรก็ชัดเจนมากแล้วไม่ใช่เหรอ นางฟ้ามีเจ้าของหัวใจแล้ว

            อี้เป่ยซีหยิบการ์ดในดอกไม้ขึ้นมา เมื่อเห็นตัวอักษรที่งามสะดุดตาก็อดไม่ได้ที่จะกุมปากยิ้ม ทุกคนเห็นอี้เป่ยซีเหมือนกับเด็กสาวที่กำลังมีความรัก บางคนก็หัวใจแตกสลาย บางคนก็อิจฉาและเกลียดชัง

            ขณะที่กำลังเรียน อี้เป่ยซีทำอย่างไรก็ไม่สามารถเอาสมาธิทั้งหมดไว้ที่ห้องเรียนได้ ต้องมองดอกไม้ที่อยู่ข้างตัวเองเป็นครั้งคราว กลัวว่ามันจะบอบช้ำ กลัวว่ามันจะเหี่ยวเพราะว่าแห้งเกินไป บางทีก็เงยหน้ามองดูเวลา พลางคิดว่าทำไมถึงยังไม่เลิกเรียนสักที เธอทนจนถึงเวลาเลิกเรียนอย่างยากลำบาก เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็อุ้มดอกไม้เตรียมตัวกลับ ลั่วจื่อหานโทรมาได้เวลาพอดี

            “ชอบหรือเปล่า?”

            “ทำให้นายสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว”

            “สิ้นเปลืองเพื่อผู้หญิงของตัวเองก็คุ้มค่า ทำให้เด็กๆ พวกนั้นได้เห็นว่าอี้เป่ยซีมีเจ้าของแล้ว”

            “เอาล่ะ เจ้าของผู้ยิ่งใหญ่ของอี้เป่ยซี วันนี้ท่านมีความสุขแล้วสินะ”

            ลั่วจื่อหานพ่น ‘หึ’ ออกมา “ก็ไม่เลว”

            “ที่แท้นายก็ยังเป็นเด็กน้อย”

            “อืม มีเป็นเด็กกว่านี้อีก ฉันอยู่ด้านล่างตึกพวกเธอน่ะ”

            อี้เป่ยซีรีบเดินออกไปจากอาคารเรียน เพราะว่าช่อดอกไม้ใหญ่เกินไปจึงบดบังวิสัยทัศน์ของเธอ จนกระทั่งใกล้จะถึงตัวลั่วจื่อหานแล้วอี้เป่ยซีจึงมองเห็นเขาอย่างชัดเจน เขาแต่งตัวสบายๆ เหมือนเด็กหนุ่ม และอุ้มตุ๊กตาที่น่ารักมากๆ คู่หนึ่งในมือ ตัวหนึ่งเหมือนเขา อีกตัวหนึ่งเหมือนเธอ

            “ชอบหรือเปล่า” สองมือของอี้เป่ยซีหอบของพะรุงพะรังจึงไม่สามารถสวมกอดเขาได้ ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ลั่วจื่อหานวางดอกไม้ไว้ที่เบาะหลังรถ ยัดตุ๊กตาสองตัวใส่อ้อมอกของอี้เป่ยซี อี้เป่ยซีกลับเร่งให้เขารีบออกรถ ลั่วจื่อหานไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก

            “ฉันกลัวว่าดอกไม้ที่นายให้จะเหี่ยว พวกเรารีบกลับบ้านเถอะ” มองดูดวงตาที่สุกใสของอี้เป่ยซี คำอธิบายก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ลั่วจื่อหานจึงพยักหน้า ออกไปจากบริเวณมหาวิทยาลัยท่ามกลางสายตาอิจฉาของคนกลุ่มหนึ่ง

        มันเป็นเช่นนี้มาตลอด มีทั้งคนอิจฉาและคนริษยา

————