SB:ตอนที่ 46 ผู้เฒ่าเฟิง
“ขอรับ! ขี้ข้าผู้นี้เข้าใจแล้ว!” ปีศาจมืดตอบรับทันที
พวกมันทำงานให้ชายวัยกลางคนนี้มาหลายปีแต่พวกมันไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน มันกลัวจนหัวหดแล้วตอนนี้ มันไม่กล้าโต้แย้งแม้แต่น้อย
ขณะที่พวกมันกำลังจะลุกขึ้น มันรู้สึกถึงความเจ็บปวดมหาศาลออกมาจากร่างกายของมัน มันล้มลงกลับไปนอนราบกับพื้นอีกครา
“หืมม?” ชายกลางคนพ่นลมหายใจและกล่าวด้วยโทสะ “หลอหยุนชาน เจ้าเหี้ยมจริงๆ เจ้าทำลูกน้องข้าสาหัสขนาดนี้!”
แม้ว่ากรงเล็บนั้นที่พวกมันโดนก่อนจะหนีมาได้อยู่ห่างออกไปร้อยเมตร ทว่าหลอหยุนชานไม่ออมมือแม้แต่น้อย เขาใช้พลังทั้งหมดและเกือบที่จะทำเอาพวกมันทั้งสองพิการ หลังจากได้รับกระบวนท่านั้นพวกมันทั้งสองไม่รีรออีกพวกมันหนีสุดกำลังด้วยชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกมันหนีด้วยสภาพสาหัสยิ่งทำให้บาดแผลภายในของมันสาหัสยิ่งขึ้น บัดนี้ขาข้างนึงของพวกมันก้าวเข้าไปในนรกแล้ว
พวกมันไม่กล้าขัดคำสั่งนายเหนือหัว มันทนต่อบาดแผลและต้องการจะลุกขึ้นมา ชายวัยกลางคนร่างอ้วนมองไปที่พวกมันและกล่าว “เดิมทีแล้ว หากเจ้าทำภารกิจล้มเหลว ข้าต้องลงโทษเจ้าสักหน่อย ทว่าสถานการณ์ตอนนี้เร่งรีบ ข้าจะอนุโลมให้ ข้าจะให้เม็ดยาปีศาจพวกเจ้าคนละเม็ด นี่จะทำให้พวกเจ้าฟื้นฟูพลังกลับคืนมาและแม้กระทั่งเสริมโอกาสให้พวกเจ้าทะลวงขั้นพลังสู่ระดับที่สูงขึ้นอีก”
เมื่อพวกมันได้ยิน พวกมันรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณขอรับท่านนายเหนือหัว”
“อย่าพึ่งด่วนดีใจไป เมื่อพวกเจ้าได้รางวัลจากจักรพรรดิผู้นี้แล้ว จงทำงานให้สมกับที่ข้าคาดหวังล่ะ! หากเจ้าล้มเหลวอีกล่ะก็ เตรียมหัวของเจ้าไว้ได้เลย!”
เมื่อพูดจบเขาวาดมือ เม็ดยาสองเม็ดพุ่งไปหาพวกมันทั้งสอง เมื่อพวกมันเห็นว่าเป็นเม็ดยาปีศาจ ดวงตาของพวกมันแทบจะถลนออกมา พวกมันรีบเอื้อมไปหยิบเม็ดยาใส่ปากโดยไม่สนใจบาดแผลของพวกมัน
เมื่อเม็ดยาเข้าปากพวกมัน บาดแผลพวกมันฟื้นฟูในพริบตา กว่าครึ่งของบาดแผลมันหายไปทันที
สีหน้ามันกลับมาปกติ พวกมันรีบคำนับต่อชายวัยกลางคนและกล่าวอย่างนอบน้อม “ขอบคุณขอรับนายเหนือ ข้าจะต้องทำภารกิจของท่านให้สำเร็จอย่างแน่นอน!”
ชายวัยกลางคนกล่าว “จำไว้ พวกเจ้ามีเจ็ดวันเท่านั้น ภายในเจ็ดวันข้าจะต้องเห็นการเคลื่อนไหวในหุบเขาเทวะร่วงหล่น หากไม่เช่นนั้นแล้วจักรพรรดิ์ผู้นี้จะไม่อภัยให้เจ้า!”
“พวกเราจะทำตามบัญชา!”
ภายในแคว้นเซียงหยาง ลู่หยางไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขาเทวะร่วงหล่น เขาได้สัญญากับตำหนักเมฆาม่วงว่าจะไปทำหน้าที่ผู้จารึก เขากระทั่งเชิญผู้ดูแลร้านมาทานอาหารมื้อใหญ่ที่โรงเตี๊ยมสุราแทนคำขอโทษ ในตอนบ่าย เขาเข้าตำหนักเมฆาม่วงเพื่อเริ่มงานของเขา
“น้องชาย นี่คือยอดฝีมือเฟิงแห่งตำหนักเมฆาม่วง เขาเป็นผู้จารึกระดับแปดดาว!
“จากนี้ไป เจ้าจะคอยตามยอดฝีมือเฟิงและเรียนรู้จากเขา นี่จะช่วยเจ้าได้มาก”
เมื่อเขาได้เป็นหัวหน้าผู้ดูแลร้าน สถานะฟ่างตงเทียบเท่ากับผู้จารึกชั้นกลางแล้ว มันทำให้เขามั่นใจขึ้นมาก เขาแค่พูดประโยคเดียวก็มอบหมายให้ลู่หยางเป็นลูกน้องของชายชราวัยราวๆห้าสิบปี
เฒ่าเฟิง ที่สวมชุดสีเขียวและไพล่มือข้างหลัง ดูราวกับเถ้าแก่เมื่อเขาเดินมาหาลู่หยาง เขาเห็นว่าลู่หยางยังไม่ยี่สิบปีเลย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอวดโอ่ “เด็กน้อย จากนี้ไปข้าจะเป็นหัวหน้าเจ้า”
สีหน้าลู่หยางเรียบเฉย ทว่าในใจเขาก่นด่าเฒ่าผู้นี้ เขากล่าวเรียบเฉยว่า “ผู้น้อยพึ่งมาถึง ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามีอะไรให้ข้ารับใช้?”
“ฮึ่ม” เฒ่าเฟิงกล่าวเย็นชา เขายิ่งไม่พอใจกับลู่หยางมากเข้าไปอีก “เด็กน้อยเจ้ายังไม่ยี่สิบเลย การที่เจ้าเป้นผู้จารึกได้นั้นแสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์เจ้านั้นไม่เลว เห็นฟ่างตงบอกว่าเจ้าเป็นผู้จารึกระดับห้าดาวแล้วรึ ถือว่าไม่เลว แต่เส้นทางของผู้จารึกนั้นเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก!”
น้องลู่หยางจากนี้ไปเจ้าควรเรียนรู้จากยอดฝีมือเฟิงนะ ตั้งใจเรียนล่ะ ฟ่างตงเห็นด้วย
“เรียนรู้จากเขารึ ช่างน่าขำสิ้นดี ข้ามีระบบฝึกอสูร และนั่นคืออาจารย์ที่ดีที่สุดในโลก นั่นคือพรสวรรค์สูงสุด และข้ายังจำเป็นต้องเรียนรู้จากเฒ่าประหลาดผู้นี้ด้วยรึ!?” ลู่หยางกล่าวในใจ
ทว่า เขาอยากรู้นักว่าเฒ่าเฟิงผู้นี้จะมีอะไรดี เขากล่าว “เช่นนั้นข้าต้องขอคำชี้แนะจากท่านยอดฝีมือเฟิงด้วย”
“ไม่จำเป็นต้องชี้แนะ ข้าเหนื่อยแล้ว และยังมีตำราฝึกอสูรที่ข้าต้องจารึกอีก เจ้าเอาพวกนั้นไปจารึกแล้วกันหากเจ้าทำงานดี ข้าจะมีงานให้เจ้าทำอีก”
เขาหัวโบราณจริงๆด้วย เขาทำราวกับลู่หยางเป็นเด็กน้อย เมื่อฟ่างตงมอบหมายให้เฒ่าเฟิง เฒ่าผู้นี้ให้งานไร้สาระแก่ลู่หยางทันที
ลู่หยางขำ เขาเข้าใจเฒ่าผู้นี้มากขึ้นแล้ว เมื่อเขาพึ่งมาใหม่ เขาจะยังไม่เถียงอะไรนัก เขาตามเฒ่าเฟิงลงไปชั้นใต้ดินของตำหนักเมฆาม่วง
ชั้นใต้ดินนี้กว้างขวางมากอย่างเห็นได้ชัด มันแบ่งเป็นสามระดับ ผู้จารึกทำงานที่ชั้นบน ทั้งหมดเป็นห้องเรียงกันหนาแน่น เมื่อลู่หยางมา เขาได้รับห้องหนึ่งห้อง เมื่อมันเป็นห้องฝึกฝนงานทุกอย่างถูกทำในห้องเล็กนี้
เมื่อลู่หยางเข้าในห้องตนเอง มีคนนำอุปกรณ์มาให้เขาทันที ไม่ต้องสงสัยนี่เป็นงานที่เฒ่าเฟิงให้ลู่หยาง พวกเขาพึ่งแยกกันแต่เฒ่าผู้นั้นรีบนำงานมาให้เขาทำเลย
ลู่หยางเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว เมื่อได้รับอุปกรณ์เขาเริ่มงานทันที
สิ่งที่เฒ่าเฟิงนำมาให้เขาจารึกนั้นมิใช่กระดาษธรรมดา แต่เป็นตำราสวยงามเล่มเล็ก
มองดูพลังงานฉีม่วงที่พวยพุ่งออกมา พร้อมๆกับกลิ่นอายบนตำรานี้ ลู่หยางคิด “พระเจ้า หรือนี่จะเป็นตำราผ้าม่วงในตำนาน”
ลู่หยางไม่คิดว่าด้วยงานง่ายๆๆ เฒ่าเฟิงจะให้คนนำตำราผ้าม่วงที่เขาไฝ่หามาตลอดมาให้ ในความคิดลู่หยาง วิชาคุมอสูรห้าดาวไม่ควรต้องใช้ตำราผ้าม่วง
นี่เป็นเพราะวิชาจารึกที่จริงแล้วนั้นไม่ง่ายอย่างที่ลู่หยางทำ ผู้จารึกต้องใช้พลังงานมากกว่าเขา และยังมีโอกาสผิดพลาดอีก บางคนต้องทุ่มเทแรงกายมาก และเมื่อพวกเขาหยุดพัก งานทุกอย่างจะพังลง สิ่งที่ได้จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป
เมื่อใช้ตำราผ้าม่วง จะทำให้พวกมันทำงานได้ง่ายกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง โอกาสสำเร็จจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตำราผ้าม่วงถึงเป็นที่นิยมนักในหมู่ผู้จารึก
“สหายเฒ่านี่ใจดีจริงๆ ตำราผ้าม่วงนั้นล้ำค่ามาก ไม่มีทางที่เขาจะให้โดยไม่จำกัดใช่ไหมละ หรือว่าเฒ่าคนนี้ให้ตำราผ้าม่วงในส่วนของเขาที่ได้รับมา?”
แต่เมื่อเฒ่าเฟิงให้ตำราผ้าม่วงแก่เขา เขาจะไม่ใช้มันกับวิชาควบคุมอสูรห้าดาวแน่ๆ มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่เขาจะเก็บไว้และใช้มันเมื่อเขาต้องการในอนาคต ด้วยระบบฝึกอสูรลู่หยางสามารถจารึกวิชาห้าดาวได้อย่างง่ายดาย เขาไม่ต้องห่วงอะไรนอกจากการป้อนผลึกให้ระบบ เพียงครึ่งชั่วโมง วิชาควบคุมอสูรห้าดาวก็สำเร็จในมือลู่หยาง
ในเวลาเพียงไม่นาน เขาได้รับตำราผ้าม่วงถึงห้าเล่ม และในมือลู่หยางใครก็ไม่อาจรู้ว่าเขาสามารถสร้างสิ่งล้ำค่าอะไรขึ้นได้ในอนาคต ลู่หยางกำลังอารมณ์ดี เขาเคาะประตูเฒ่าเฟิง
“ยอดฝีมือเฟิงอยู่หรือไม่?”
“ฮึ่ม เจ้ามีธุระอะไรกับข้า?” เสียงเฒ่เฟิงมาจากภายในประตู
ลู่หยางกล่าวตอบ “ยอดฝีมือเฟิง เรื่องงานของท่าน” ขณะที่ลู่หยางยังพูดไม่จบ เฒ่าเฟิงออกมาและกล่าวอย่างเคร่งเครียด
“ข้าให้ตำราผ้าม่วงไปแล้วไม่ใช่รึ ยังมีปัญหาอะไรอีก?”
เฒ่าผู้นี้พ่นลมหายใจและกล่าว “หากเจ้ามีตำราผ้าม่วงและยังทำงานไม่สำเร็จละก็ ข้าว่าเจ้าคงมีปัญหาเรื่องศักยภาพของเจ้าแล้วหละ ข้าไม่หวังให้เจ้าสำเร็จทั้งหมด เพียงแค่สี่เล่มก็พอ เข้าใจไหม?”
เฒ่าเฟิงคิดว่าลู่หยางมาหาเขาเพราะงานที่มอบให้นั้นยากเกินไป ใครจะรู้ว่าลู่หยางนั้นทำสำเร็จแล้ว
เพราะตำรานี้เฒ่าเฟิงจารึกไปแล้วห้ารอบ และสำเร็จเพียงสี่ ดังนั้นข้อกำหนดของเฒ่าเฟิงไม่ถือว่ายาก ลู่หยางยิ้มขึ้นและนำตำราออกมาจากอกเสื้อ เมื่อเฒ่าเฟิงเห็นตำราเหล่านี้ ดวงตาเขาแทบถลนออกมา “เด็กน้อย นี่เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว อย่าบอกข้าว่าเจ้าทำงานให้ข้าเสร็จแล้วนะ!”
แม้จะมีตำราผ้าม่วงที่ช่วยประหยัดเวลาผู้จารึกได้มากก็ตามที แต่แม้เฒ่าเฟิงผู้นี้เป็นคนลงมือเอง มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เฒ่าผู้นี้จะจารึกสำเร็จภายในครึ่งชั่วโมง แต่ลู่หยางกลับทำงานสำเร็จภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไป
เขารับวิชาฝึกอสูรมาจากลู่หยางและตรวจสอบมัน ทั้งห้าเล่มนั้นได้คุณภาพหมด ทำให้เฒ่าคนนี้มองลู่หยางด้วยความยำเกรงมากขึ้น ทว่าเฒ่าเฟิงผู้นี้กลับกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดต่อ “เด็กดี เจ้ามีพรสวรรค์จริงๆ ผู้เฒ่าอย่างข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ”
“เมื่อเจ้าทำงานข้าสำเร็จแล้ว นั่นแปลว่าวิชาควบคุมอสูรห้าดาวไม่ถือว่าท้าทายสำหรับเจ้าอีกต่อไป เจ้ากล้ารับงานที่ท้าทายขึ้นหรือไม่ล่ะ?”
ลู่หยางยิ้มและกล่าว “นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังรอคอยเลยหล่ะ!”
“ดีมาก!” เฒ่าเฟิงผสานมือและกล่าวอย่างดัง เขานำถุงผลึกออกมาจากอกเสื้อและโยนไปที่มือลู่หยาง “เด็กน้อย นี่คือรางวัลสำหรับงานนี้ ต่อไป ข้าจะให้เจ้าลองวิชาคุมอสูรแปดดาว ถ้าเจ้ายังทำให้ข้าประหลาดใจได้อีกล่ะก็ ไม่เพียงข้าจะให้รางวัลของตำหนักเมฆาม่วงทั้งหมด ข้าจะยังให้บางอย่างเพิ่มแก่เจ้าด้วย!”