ตอนที่ 212 การค้นพบโดยบังเอิญ

ลำนำสตรียอดเซียน

โม่เทียนเกอนั่งอยู่ที่มุมและฟื้นตัวอยู่เงียบๆ

 

 

ผ่านมาสามวันแล้วตั้งแต่พวกเขาหนีเข้ามาในเจดีย์ เว่ยเฮ่าหลานตื่นขึ้นแล้วแต่อาการบาดเจ็บของนางรุนแรงมากเกินไป นางจึงยังหมดสติอยู่บ่อยครั้ง อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสทั้งสองคนก็ยังไม่ดีขึ้นเช่นกัน ตอนนี้พวกนางกำลังใช้ช่วงเวลานี้ให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อต่อต้านไม่ให้พลังมรณะรุกล้ำเข้ามาในร่างกาย ซย่าชิงกำลังคอยดูแลเว่ยเฮ่าหลาน ส่วนสำหรับถังเซิ่นนั้น เขากำลังห่อตัวอยู่ในอีกมุมหนึ่งดูเซื่องซึมไร้ชีวิตชีวา

 

 

ภายนอกนั้น เริ่นอวี่เฟิงพยายามแทบทุกวิธี แต่ก็เป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้ เขายังไม่สามารถฝ่ากำแพงอาคมของเจดีย์บรรลุเต๋าผ่านเข้ามาได้ ในตอนแรกเขายังคงตะโกนเรียกผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวเพื่อให้ออกมา บางครั้งเขาถึงขั้นจับศิษย์สภาปี้เซวียนหนึ่งหรือสองคนมาทรมานเพื่อยั่วโทสะคนในเจดีย์อีกด้วย

 

 

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจะทำอะไรหุนหันได้อย่างไร พวกนางเป็นผู้ฝึกตนที่มีประสบการณ์ รู้ว่าความรุนแรงของอาการบาดเจ็บพวกนางไม่เพียงแต่จะขัดขวางไม่ให้พวกนางช่วยเหลือศิษย์พวกนั้นได้แล้ว แต่พวกนางยังอาจจะทำให้ทุกคนภายในเจดีย์ลำบากไปด้วย เพราะเหตุนั้น พวกนางจึงทำใจแข็งและแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไร

 

 

ผลก็คือเริ่นอวี่เฟิงเองก็รู้สึกเบื่อเช่นกันและไม่อยากพยายามยั่วยุพวกเขาต่อไปอีก หลังจากพักหนึ่ง เขาก็หายตัวไปและไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน

 

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงอยู่ในเงื้อมมือของเริ่นอวี่เฟิงและไม่กล้าจะออกจากเจดีย์ ใครจะไปรู้ เริ่นอวี่เฟิงอาจจะแค่ซ่อนตัวและรอคอยพวกเขาอยู่ข้างนอกก็เป็นได้

 

 

โม่เทียนเกอลืมตาขึ้น รอยย่นลึกเกิดขึ้นที่คิ้วนางอย่างไม่ได้ตั้งใจขณะที่นางมองพลังมรณะที่ยังค้างอยู่บนร่างกายของนาง

 

 

ถึงแม้อาการบาดเจ็บของโม่เทียนเกอจะไม่ได้เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้หนักมากขนาดนั้นเช่นกัน เส้นลมปราณของนางได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จึงเปลี่ยนร่างกายของนางเป็นร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ และม่านพลังสัตว์จตุรเทพร้อยบุปผาและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวช่วยสกัดกั้นการโจมตีเอาไว้ คาดว่าอาการบาดเจ็บของนางน่าจะดีขึ้นภายในครึ่งเดือน

 

 

มีแค่พลังมรณะนั้นที่ทำให้นางรู้สึกอับจนหนทาง ไม่เพียงแต่นางจะไม่สามารถทำให้มันเป็นกลางเข้ากับพลังวิญญาณของนางได้แล้ว แต่มันยังคงรุกล้ำเส้นลมปราณของนางอย่างต่อเนื่องอีกด้วย! นางรู้สึกว่าครึ่งแขนของนางชาไปเรียบร้อยแล้ว แต่นางก็ไม่มีวิธีใดๆ ที่จะกำจัดมันออกไปได้

 

 

“สหายน้อยเยี่ย”

 

 

โม่เทียนเกอเงยหน้ามองเมื่อนางได้ยินเช่นนั้นและพบว่าผู้อาวุโสชิงอี้หยุดฟื้นตัวและกำลังจ้องมาที่นาง

 

 

“ศิษย์พี่”

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้กล่าว “ข้าเดาว่ามารผู้ฝึกตนคนนั้นคือศัตรูที่สหายน้อยเยี่ยเคยพูดถึงมาก่อนใช่ไหม ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ถามเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียด เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าช่วยพูดถึงมันให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ คนคนนั้นมาจากไหน มีความเกลียดชังแบบใดกับเจ้า”

 

 

โม่เทียนเกอใช้เวลาสั้นๆ เพื่อคิดคำตอบของนาง จากนั้นนางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ในเมื่อศิษย์พี่ถาม ข้าจะอธิบายตั้งแต่เริ่มต้น ประมาณหลายเดือนก่อน ข้าเดินทางไปที่เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดและเหมือนโชคเข้าข้าง ข้าบังเอิญเจอกับสหายเก่าที่นั่น สหายเก่าคนนั้นของข้าตอนนี้เป็นศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า เขาเชิญชวนให้ข้าเดินทางออกสำรวจไปที่สถานที่ลับแห่งหนึ่ง…”

 

 

นอกเหนือจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและวิธีช่วยชีวิตลับๆ อย่างอื่น โม่เทียนเกอเล่าเรื่องราวทั้งหมด ส่วนบางเรื่องที่ไม่เหมาะจะพูดกับคนอื่นอย่างเช่นความลับในแดนแห่งมังกรซ่อนลาย นางเพียงแค่พูดถึงมันอย่างกว้างๆ เท่านั้น และนางยังไม่ได้พูดถึงว่ามีสมบัติประเภทไหนอยู่ภายในตำหนักใต้บาดาลอย่างละเอียดอีกด้วย

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้มีประสบการณ์โชกโชน พอเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้พูดถึงรายละเอียดหรือเรื่องเล็กน้อยอื่นๆ นางจึงไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเช่นกัน

 

 

“… ตำหนักใต้บาดาลแห่งนั้นจู่ๆ ก็พังทลายลง แต่เดิมข้าคิดว่าข้าคงจะสิ้นชีวิตน้อยๆ ของข้าไปแล้วแต่โดยไม่คาดคิด เมื่อข้าตื่นขึ้นข้าก็มาอยู่ในหลินไห่” โม่เทียนเกอส่ายหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น “ศิษย์พี่ถามว่าระหว่างเรามีความเกลียดชังกันแบบไหน แต่ที่จริงแล้วจะมีความเกลียดชังอะไรได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็แค่เขามีเจตนาชั่วร้ายซึ่งข้าหนีมาได้อย่างโชคดีและตอนนี้เขาก็ต้องการฆ่าข้าเพื่อปิดปาก”

 

 

“งั้นนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น…” ผู้อาวุโสชิงอี้พูดพร้อมกับผงกหัวเล็กน้อย “หรือพูดอีกอย่างก็คือสหายน้อยเยี่ยไม่อาจถูกกล่าวโทษสำหรับเรื่องนี้ได้”

 

 

โม่เทียนเกอรู้ว่าก่อนที่นางจะอธิบายทุกสิ่งอย่างชัดเจน ผู้อาวุโสทั้งสองคนคงจะต้องรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งรบกวนจิตใจพวกนางอยู่ สงสัยว่านางเป็นต้นเหตุให้คนชั่วช้าเช่นนั้นบุกรุกเข้ามาในบ้านของพวกนาง เพราะอย่างนั้นนางจึงอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียด รวมถึงชื่อคน ชื่อสถานที่ ทุกๆ อย่าง โดยลงรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งสองคนจะได้เข้าใจว่าเริ่นอวี่เฟิงไม่ได้มาที่สภาปี้เซวียนเพราะเขาต้องการฆ่านาง เหตุผลว่าทำไมสภาปี้เซวียนถึงต้องเจอหายนะที่ทำลายล้างกลุ่มเช่นนั้นก็เพราะสภาปี้เซวียนโชคร้ายอย่างแรง พวกเขาโชคร้ายที่บังเอิญเจอเข้ากับเริ่นอวี่เฟิง ส่งผลให้เกิดหายนะครั้งนี้ขึ้น

 

 

ตอนนี้เมื่อผู้อาวุโสชิงอี้พูดเช่นนั้น โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอกเช่นกัน ดีแล้วที่ผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้ไม่โทษนาง ตอนนี้เริ่นอวี่เฟิงอยู่ข้างนอก คงจะอันตรายสำหรับนางแน่หากนางทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองนี้โกรธเคืองเข้า

 

 

“ข้าไม่เคยคาดคิดว่าคนผู้นี้จะเป็นศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าจริงๆ เขาเป็นศิษย์ที่มีศักดิ์ศรีของสำนักอันทรงเกียรติ แต่เขากลับเข้าสู่เส้นทางของมารผู้ฝึกตน” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวหยุดการพักฟื้นของนางเช่นกันและลืมตาขึ้น

 

 

โม่เทียนเกอพูด “เขาเข้าสู่เขตมารตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถกลายไปเป็นมารผู้ฝึกตนได้อย่างง่ายดาย ก้าวหน้าจากดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังโดยตรง… มันจะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไรในโลกใบนี้ จากที่ข้าเห็นมาจนถึงตอนนี้ มันต้องมีข้อบกพร่องสักอย่างในวิชาลับเทพมังกรที่ว่านั้นของเขาแน่”

 

 

“จริงด้วย” ผู้อาวุโสชิงอี้พยักหน้า “ข้าพอจะรู้มาเล็กน้อยเกี่ยวกับวิชาการฝึกตนของฝ่ายอธรรม ถึงแม้วิชาการฝึกตนของฝ่ายอธรรมจะอนุญาตให้ผู้ฝึกตนทำการบรรลุผ่านดินแดนได้เร็วกว่าของพวกเรา แต่ไม่มีผลลัพธ์ปุบปับเช่นนั้นอย่างแน่นอน คนคนนั้นจะต้องฝึกตนด้วยวิชาชั่วร้ายบางอย่าง แต่แค่ตอนนี้เรายังไม่รู้ผลข้างเคียงของมันเท่านั้น”

 

 

“ที่จริงแล้วผลข้างเคียงอย่างหนึ่งก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านก็เห็นเหมือนกัน ภายใต้การกัดกร่อนของพลังมรณะ เขาเหือดแห้งไปจนหมดแล้ว เขาไม่ได้ดูเหมือนมนุษย์อีกต่อไป”

 

 

“…” หลังจากพึมพำกับตัวเองอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดผู้อาวุโสชิงอี้ก็พยักหน้า “เจ้าพูดถูก ตอนเราสู้กับเขา ข้ามองเห็นผ่านพลังมรณะทั้งหมดนั้นคร่าวๆ มันไม่ใช่ใบหน้าของคนมีชีวิต ข้าเกรงว่าตอนนี้เขาได้กลายเป็นผีดิบไปเรียบร้อยแล้ว”

 

 

โม่เทียนเกอครุ่นคิดเรื่องนั้นแล้วจึงถามว่า “ศิษย์พี่ เราควรทำอะไรต่อไปดี”

 

 

คำถามของนางทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองจมอยู่กับการใคร่ครวญ

 

 

พวกเขาควรจะทำอะไรต่อไป แน่นอนว่าพวกเขาต้องคิดหาวิธีที่จะฆ่าเริ่นอวี่เฟิง ออกจากเจดีย์และสร้างสภาปี้เซวียนขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตาม ในหมู่คนทั้งหกที่อยู่ในเจดีย์ มีเพียงแค่สองคนที่เป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดอแก่นขุมพลัง และพวกนางทั้งคู่ต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่ามกลางคนในกลุ่มที่เหลือ เว่ยเฮ่าหลานกำลังจะตายจากอาการบาดเจ็บรุนแรงที่นางได้รับมา และตามการคาดคะเนของโม่เทียนเกอ ต่อให้นางได้รับการรักษาหาย ระดับการฝึกตนของนางก็อาจจะถดถอยลง ซย่าชิงและถังเซิ่นล้วนอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งคู่ และยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของพวกเขาก็ธรรมดามาก สำหรับตัวนางเอง ถึงแม้อาการบาดเจ็บของนางจะไม่หนักหนา แต่นางก็ยังถูกพลังมรณะคุกคามอยู่ อย่าว่าแต่บรรลุผ่านดินแดนเลย แม้แต่ยับยั้งไม่ให้พลังมรณะนี้รุกล้ำเข้ามาก็ยากเหลือเกินแล้ว

 

 

การคิดถึงเรื่องนี้ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างสิ้นหวัง เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาต้องรอจนกระทั่งเริ่นอวี่เฟิงประสบอุบัติเหตุในการฝึกตนของเขาเองจึงจะหนีได้ กี่เดือนหรือกี่ปีกันที่พวกเขาต้องรอ

 

 

เป็นเวลานานหลังจากนั้น ในที่สุดผู้อาวุโสชิงอี้จึงพูดขึ้น “ไปที่ชั้นเจ็ดกันเถอะ”

 

 

สิ่งที่นางพูดทำให้ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวตกใจสุดขีด “ศิษย์พี่…”

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้โบกมือเพื่อให้นางหยุดพูด ความเหนื่อยล้าฝังลึกอยู่ทั่วทั้งใบหน้านาง “ไม่มีอะไรที่เราทำได้อีกแล้ว ตอนนี้สภาปี้เซวียนเทียบเท่ากับกลุ่มที่ล่มสลาย นอกเหนือจากการไปที่ชั้นเจ็ด เรายังมีทางออกอะไรอีก

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวไม่สามารถพูดอะไรได้ ตอนนี้อารมณ์ของนางหดหู่อย่างมาก

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้เหลือบสายตาขึ้นและกวาดตามองทั่วศิษย์ผู้น้อยหลายคนที่อยู่ต่อหน้านาง นางพูดว่า “ซย่าชิง ดูแลเฮ่าหลานด้วย เซิ่นเอ๋อร์ สหายน้อยเยี่ย ตามเราขึ้นไปข้างบน”

 

 

ถังเซิ่นยังคงนั่งอยู่ที่มุมอย่างเหม่อลอย เขามองขึ้นเมื่อเขาได้ยินผู้อาวุโสชิงอี้ แต่เขายังคงดูเหมือนสูญจิตวิญญาณไปเสียสิ้นแล้ว

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวนิ่วหน้าแล้วจึงตะโกนว่า “เซิ่นเอ๋อร์! ท่านทวดของเจ้าตายไปแล้ว เจ้าจะทำให้นางตายอย่างไม่เป็นสุขด้วยการดูน่าสมเพชเช่นนี้น่ะหรือ!”

 

 

ถังเซิ่นตัวซีดเผือด อย่างไรก็ตาม เขากัดฟันแล้วจึงพูดด้วยเสียงกระซิบ “ข้าเข้าใจ ท่านผู้อาวุโส”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพยักหน้าจากนั้นพร้อมกับผู้อาวุโสชิงอี้ นางนำทางศิษย์ผู้น้อยทั้งสองคนไปยังม่านพลังเคลื่อนย้าย

 

 

ชั้นสี่และชั้นห้าไม่ได้แตกต่างจากชั้นสามมากนัก แต่ละชั้นมีแค่ของที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตน คาดว่าผู้อาวุโสทั้งสามโดยปกติแล้วต่างก็อยู่กันคนละชั้น อย่างไรก็ตาม บนชั้นหก โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่ามันว่างเปล่า เว้นแต่มีม่านพลังเคลื่อนย้ายใหญ่ยักษ์ซึ่งวางอยู่ในรูปแบบที่ดูเหมือนกับกลุ่มดาวกระบวยใหญ่

 

 

หลังจากผ่านม่านพลังเคลื่อนย้ายอันสุดท้าย ในที่สุดพวกเขาก็ขึ้นมาถึงชั้นเจ็ด

 

 

ชั้นนี้เล็กกว่าชั้นอื่นๆ ตู้หนังสือจำนวนมากที่ประกอบไปด้วยหยกบันทึกทุกประเภท หนังสือ เครื่องมือเวท อาวุธเวทและของอื่นๆ ถูกจัดเรียงรวมไว้ใกล้ๆ กันอยู่ทั่วทั้งชั้น

 

 

ตรงกลางมีโต๊ะหยกพร้อมด้วยกระถางธูปที่อุทิศให้กับการบูชารูปปั้นหยกขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาถึงสองเท่า

 

 

โม่เทียนเกอเงยหน้าเพื่อแหงนมองที่ใบหน้าของรูปปั้นหยก เสี้ยววินาทีต่อมา สีหน้านางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

“ชั้นเจ็ดคือที่ซึ่งเราเก็บรวบรวมของสะสมอายุหลายพันปีของสภาปี้เซวียน มันยังเป็นที่ซึ่งเราบูชาผู้ก่อตั้งของกลุ่มเรา ปี้สุ่ยหยวนจวินอีกด้วย… สหายน้อยเยี่ย เป็นอะไรหรือ” ผู้อาวุโสชิงอี้พูดพร้อมขมวดคิ้ว นางแค่อธิบายถึงสถานที่นี้ให้พวกเขาฟังแต่หลังจากนั้นนางเห็นว่าสหายน้อยเยี่ยดูราวกับนางเพิ่งถูกสายฟ้าฟาดใส่ นางยืนงุนงงพร้อมกับสายตาที่จับจ้องอยู่บนรูปปั้นของปี้สุ่ยหยวนจวิน

 

 

หากไม่ใช่เพราะสภาปี้เซวียนถูกทำลายล้างจนพวกเขาทั้งหมดล้วนอับจนหนทาง พวกเขาไม่มีทางอนุญาตให้ใครที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกลุ่มเข้ามาที่ชั้นเจ็ดแน่ แต่ปฏิกิริยาของสหายน้อยเยี่ยนี่มันอะไรกัน

 

 

เมื่อในที่สุดโม่เทียนเกอได้สตินึกคิดอีกครั้ง นางถามอย่างกระตือรือร้น “ท่านผู้อาวุโส ข้าขอถามได้ไหมว่าผู้ก่อตั้งกลุ่มของท่านชื่ออะไร”

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวเหลือบมองกัน สายตาของพวกนางตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย “สหายน้องเยี่ย เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

 

 

โม่เทียนเกอกัดปากและเงยหน้าจ้องที่รูปปั้นอีกครั้ง ใบหน้านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่นางเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสามสิบปีก่อน สิ่งที่ไม่อาจลืมได้ สิ่งที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจนาง ภาพของโม่เหยาชิง!

 

 

นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าปี้สุ่ยหยวนจวินอาจจะเป็นโม่เหยาชิง เพราะจากข่าวที่นางรวบรวมมาได้ สภาปี้เซวียนก่อตั้งมาราวๆ หนึ่งหมื่นปีก่อน นักเดินทางจื้อเวยบอกว่าเขาและจงมู่หลิงเป็นผู้ฝึกตนจากยุคเดียวกัน และเขาตายจากไปเมื่อประมาณห้าพันปีก่อน เมื่อพิจารณาถึงอายุขัยของเขา เขาเป็นผู้ฝึกตนจากเมื่อเจ็ดพันปีก่อนเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้วโม่เหยาชิงเป็นผู้ฝึกตนจากยุคเดียวกับพวกเขา ดังนั้นลำดับเวลานี้จึงไม่พอดีกัน

 

 

แต่รูปปั้นนี้… เห็นได้ชัดว่านี่คือภาพของโม่เหยาชิง! ย้อนไปตอนนั้นเมื่อนางเปิดผนึกกำแพงอาคมที่โม่เหยาชิงทิ้งไว้ นอกเหนือจากศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ โม่เหยาชิงยังได้ประทับประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของนางเข้าไว้ในทะเลแห่งความรู้ของโม่เทียนเกออีกด้วย ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้เห็นรูปปั้นนี้ผิดเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน

 

 

ทั้งคู่ต่างเป็นผู้ฝึกตนหญิงและต่างอยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่… ผู้ฝึกตนหญิงระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้ที่ดูเหมือนโม่เหยาชิงอย่างกับแกะแต่มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณหมื่นปีก่อน… โม่เทียนเกอไม่เชื่อแน่นอนว่าจะมีเรื่องบังเอญเช่นนั้นในโลกใบนี้!

 

 

“ท่านผู้อาวุโส กลุ่มของท่านไม่ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นปีที่แล้วใช่ไหม เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ก่อตั้งของกลุ่มท่านมีแซ่ ‘โม่’ และชื่อของนางคือเหยาชิง”

 

 

สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด พวกนางต่างมองกันและกันอีกครั้งจากนั้นผู้อาวุโสชิงอี้จึงพูดว่า “เจ้าพูดถูก สภาปี้เซวียนของเราก่อตั้งขึ้นประมาณหกหันปีที่แล้ว ผู้คนมีแนวโน้มว่าจะพูดว่าหนึ่งหมื่นปีเพราะหลังจากเวลานานเช่นนั้นคนก็ลืมไปนานแล้ว สหายน้อยเยี่ย เจ้ารู้ชื่อของผู้ก่อตั้งของเราได้อย่างไร”

 

 

แหม มีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นอยู่ในโลกนี้จริงๆ ด้วย โม่เทียนเกอคิดกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มขมขื่น เมื่อโม่เหยาชิงมาถึงในขั้วท้องฟ้าจากอวิ๋นจง บางทีสถานที่แรกที่นางอยู่อาจจะเป็นหลินไห่ ร่างกายนางมีปราณหยินบริสุทธิ์ ดังนั้นนางจึงถูกคนอื่นๆ วางแผนหักหลังอยู่ร่ำไป เป็นธรรมดาที่นางจะเกลียดพวกผู้ฝึกตนที่ใช้ผู้หญิงเป็นร่างเตาหลอม และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมนางจึงก่อตั้งสภาปี้เซวียน

 

 

“ข้า… แซ่ที่แท้จริงของข้าคือโม่ และชื่อข้าคือเทียนเกอ” นางพูดช้าๆ “ข้าเกิดในสถานที่ที่รู้จักกันในชื่อหมู่บ้านตระกูลโม่ในโลกมนุษย์ บรรพบุรุษของตระกูลโม่ของเรา… ชื่อโม่เหยาชิง”

 

 

ดวงตาของผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวเบิกกว้างทันที สายตาของพวกนางจับจ้องอยู่ที่โม่เทียนเกอ

 

 

โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “วิชาการฝึกตนที่ข้าใช้ถูกส่งต่อมาถึงข้าจากบรรพบุรุษท่านนี้”

 

 

สายตาผู้อาวุโสชิงอี้ไม่ละไปจากโม่เทียนเกอ ขณะพูดช้าๆ ว่า “ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์”

 

 

“ถูกต้อง” โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับถอนใจ “เมื่อตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าไปเปิดผนึกกำแพงอาคมที่ท่านบรรพบุรุษของข้าทิ้งไว้เบื้องหลังในโถงบรรพบุรุษและได้รับศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์มา นั่นคือวิธีที่ข้าเข้าสู่เส้นทางสู่ความเป็นเซียน”

 

 

“ถ้างั้นก็หมายความว่า… ร่างกายของสหายน้อยเยี่ยมีปราณหยินบริสุทธิ์หรือ” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวถามอย่างร้อนใจ

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าจากนั้นจึงมองไปที่รูปปั้นของโม่เหยาชิง รู้สึกอารมณ์อ่อนไหวอย่างมาก “โดยไม่คาดคิด หลังจากหลายสิบปี ข้าได้มาที่หลินไห่เข้าจริงๆ”

 

 

นางจำชื่อของโม่เหยาชิงได้อย่างแม่นยำและนางยังฝึกศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์อีกด้วย ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งสองคนจึงเริ่มจะเชื่อนาง แต่ถึงอย่างไรเหตุบังเอิญเช่นนั้นก็ทำให้พวกนางรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี

 

 

“สหายน้อยเยี่ย เจ้าจะถือสาอะไรไหมที่ข้าจะตรวจสอบต้นทุนของเจ้าดู”

 

 

โม่เทียนเกอเปิดเผยทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่นางจะต้องปิดบังเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปอย่างเปิดเผย

 

 

ขณะที่ผู้อาวุโสชิงอี้ตรวจดูเส้นลมปราณของโม่เทียนเกอ สีหน้านางยิ่งจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวก็ตรวจดูนางหลังจากผู้อาวุโสชิงอี้ตรวจเสร็จแล้วเช่นกัน เมื่อทั้งสองคนตรวจนางเสร็จเรียบร้อย พวกนางทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบ

 

 

“ปราณหยินบริสุทธิ์… ปราณหยินบริสุทธิ์… ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ที่ท่านผู้มีอำนาจส่งต่อให้สืบทอด… สภาปี้เซวียนของเราไม่เคยรับผู้ฝึกตนหญิงที่มีปราณหยินบริสุทธิ์มาในรอบหลายพันปี แต่ตอนนี้เรากลับบังเอิญเจอเข้ากับทายาทของท่านผู้มีอำนาจ” ผู้อาวุโสชิงอี้ถอนใจและจ้องมองโม่เทียนเกอ “บางทีอาจจะเป็นโชคชะตา ถึงแม้สภาปี้เซวียนกำลังเผชิญหน้ากับการล่มสลาย แต่ท่านผู้มีอำนาจบัดนี้มีผู้สืบทอดที่มีคุณสมบัติเหมาะสม