บทที่ 825 เสียงที่ดังขึ้นอีกครั้ง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ทั่วบริเวณเงียบสนิท แม้แต่เสียงหายใจยังขาดหายไปขณะที่ความตื่นตกใจเข้าเกาะกุมหัวใจของเหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นและผู้มาจุติคนอื่นๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ ราวกับมีเมฆอัสนีนับแสนระเบิดขึ้นในหัว

ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะ…ตายแล้ว!

ผลกระทบจากเหตุการณ์ตรงหน้าหนักหนายิ่งนัก ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ความจริงแล้ว…สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้บัญชาการของพวกเขาเป็นเหมือนดังเทพ นอกจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และเหนือขึ้นไปแล้ว ผู้อาวุโสคนนี้ก็ถือเป็นผู้ที่ไร้เทียมทาน

แต่ตอนนี้ ชายหน้ากากหมูกลับฟันเขาขาดเป็นสองท่อน ทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณต่อหน้าทุกคน…

ความตื่นตะลึงที่เกิดขึ้นในใจพวกเขาสามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า ‘สะเทือนฟ้าดิน’

โดยเฉพาะเมื่อเปลวพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายที่พวยพุ่งออกมาจากร่างผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ดับหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนถ่านมอด

พลังนั้นเหมือนจะย้ำเตือนฝูงชนว่าผู้ที่ถูกสังหาร…ไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปแต่เป็นผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย!

ขณะเดียวกัน วิญญาณสารัตถะของผู้อาวุโสก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงด้วยอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อ!

ระหว่างนั้น พลังชีวิตของผู้อาวุโสก็กระจายออกไปทันทีที่สิ้นลม นำพาพลังความตายที่ก่อตัวขึ้นหลังจากวิญญาณสารัตถะของผู้อาวุโสถูกทำลายให้พุ่งตรงไปยังดวงตาปีศาจที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อ

ดวงตาปีศาจที่ปลดปล่อยพลังออกไปเต็มขั้นเมื่อครู่มีสีแดงก่ำเหมือนว่าจะแตกสลายไป อีกทั้งยังได้รับความเสียหายจากการดิ้นรนและพลังระเบิดตัวเองของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ตอนนี้มันกลับแสดงความหิวกระหายออกมา ราวกับเป็นหลุมดำซึ่งกำลังดูดกลืนพลังที่เลือนหายไปของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่ปาน

พลังนี้เข้มข้นมากสำหรับหวังเป่าเล่อ แต่คนอื่นไม่อาจมองเห็นได้ แม้มันจะเข้าห้อมล้อมชายหนุ่มโดยสมบูรณ์ก็ตาม แต่คนอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอยู่ดี แต่…ถึงแม้ฝูงชนจะไม่อาจมองเห็นไอพลังนี้ได้ พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าพื้นที่รอบตัวชายหนุ่มดูบิดเบี้ยวไป

พื้นที่ที่บิดเบี้ยวจนน่าตื่นตะลึงทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกพิกล เมื่อเห็นว่าร่างเงาของหวังเป่าเล่อเลือนหายไปภายใน

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นผสานกับความตื่นตกใจทำให้เกิดเสียงหายใจติดขัดอย่างเป็นกังวลดังขึ้นขัดความเงียบงันที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ หลังจากนั้น ฝูงชนก็เริ่มส่งเสียงฮือฮาด้วยความแตกตื่น

“เขา…ตายแล้วหรือ”

“ผู้บัญชาการ…ตายแล้วอย่างนั้นหรือ”

“เป็นไปไม่ได้!”

ระหว่างที่เสียงฮือฮาดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นก็รีบถอยหนีด้วยความตื่นกลัว หวังเป่าเล่ออยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ ร่างเงาในพื้นที่ที่บิดเบี้ยวดูไม่ต่างอะไรจากปีศาจที่แผ่พลังปริศนาทำให้คนอื่นตื่นกลัว

ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นถอยห่างไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุด ตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคนก็ต่างถอยร่นและพยายามหลบหนีอย่างรวดเร็ว

แม้แต่ผู้มาจุติเหมือนหวังเป่าเล่อก็ต่างสั่นกลัวและพยายามหลบออกไปให้ไกลที่สุด มีเจ็ดถึงแปดคนที่ยังลังเลใจเพราะความโลภ จึงถอยออกไปไม่ไกลนัก พวกเขาหรี่ตา พยายามข่มความโลภที่มีในใจขณะจ้องมองหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ

ระหว่างที่หลายคนจ้องมองมา หวังเป่าเล่อซึ่งเขมือบเอาพลังที่แผ่ออกมาจากผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าไปก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายครั้งใหญ่

ดวงตาปีศาจด้านหลังหวังเป่าเล่อฟื้นฟูอย่างรวดเร็วหลังจากดูดซับพลังจากผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าไป แต่มันก็ต้องป้อนพลังเกือบร้อยละเก้าสิบเพื่อเสริมพลังปราณในการบรรลุขั้นให้หวังเป่าเล่อไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ นี่คือลักษณะพิเศษของวิชาดวงเนตรปีศาจ เมื่อพลังหลั่งไหลเข้าสู่กายของชายหนุ่มจนร่างสั่นไหว บาดแผลที่ได้รับก่อนหน้าก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

ขาสองข้างที่ทำลายตัวเองไปก่อตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คน หลังจากนั้น พลังที่สูญเสียไปจากการระเบิดทำลายตัวเองหลายต่อหลายครั้งก็ได้รับการฟื้นฟู แต่ที่สำคัญที่สุดคือ…พลังปราณของเขา!

ตั้งแต่มายังโลกแห่งนี้ หวังเป่าเล่อได้สังหารผู้คนไปมากมาย แต่ก็ยังห่างจากการบรรลุขั้นการฝึกตนอยู่เพียงเล็กน้อย ดังนั้นทันทีที่สังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ พลังปราณของชายหนุ่มจึงเพิ่มพูนสูงขึ้น และในที่สุดก็บรรลุขั้นการฝึกตน!

เขาไม่ได้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายอีกต่อไป แต่ได้บรรลุสู่…ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์!

จริงๆ แล้ว ชายหนุ่มไม่ได้แค่บรรลุขั้นการฝึกตนเพียงอย่างเดียว ทันใดที่บรรลุขั้น เขาก็พุ่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ในทันที และห่างจากขั้นจิตวิญญาณอมตะเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น!

ถ้าพูดให้ชัดเจน ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในขั้น…

แสร้งอมตะ! หวังเป่าเล่อลืมตา เผยให้เห็นสายฟ้ากระจายออกมา สายฟ้าสั่นคลอนพื้นที่รอบๆ แหวกห้วงอากาศให้บิดเบี้ยว ผืนดินทลายตัวลงมาทำให้เหล่าผู้มาจุติที่มีความคิดชั่วร้ายเห็นแสงในตาและสภาพของเขาในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งดวงตาปีศาจด้านหลังชายหนุ่มก็ไม่ได้เป็นสีดำอีกต่อไป ตอนนี้มันเริ่มเปล่งแสงสีแดง ก่อนจะกลายเป็นสีม่วงหลังจากได้รับการเสริมพลัง!

ภาพเบื้องหน้าทำให้ผู้ฝึกตนแสนละโมบเจ็ดถึงแปดคนขนลุกซู่ รีบเตรียมหนีอย่างไม่ลังเลใจ แต่ก็สายเกินไป

หวังเป่าเล่อไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ดวงตายักษ์สีม่วงเบื้องหลังกลับเคลื่อนไหว มันแผ่พลังชั่วร้ายและหายวับไปจากด้านหลังของชายหนุ่ม เสียงร้องโหยหวนดังลั่นขึ้นรอบด้าน หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว หันมองไปยังทิศทางต้นเสียง สัมผัสสวรรค์ของเขาพบว่าผู้ฝึกตนที่หนีไปต่างร่างเหี่ยวเฉาไปกันหมด ทั่วร่างของผู้ฝึกตนแต่ละคนเต็มไปด้วยดวงตามากมายปรากฏขึ้น

“เริ่มดูดซับพลิกกลับอีกแล้วหรือ” แววเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตา หวังเป่าเล่อยกมือขวาคว้าไปทางผืนดินว่างเปล่าเบื้องหน้า ทันใดนั้น พลังแทรกแซงก็ปรากฏขึ้นในบริเวณนั้น ดวงตายักษ์สีม่วงที่เคลื่อนออกจากร่างของชายหนุ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงจุดนั้น แม้จะดูทุลักทุเล แต่ด้วยพลังจากเมล็ดดูดกลืนในกายชายหนุ่ม ดวงตาสีม่วงจึงถูกดึงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

“ข้าเตือนเจ้าแล้ว” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นอย่างเย็นชาขณะจ้องมองดวงตาสีม่วงเบื้องหน้า ดวงตาฉายแสงเป็นประกายอยู่พักหนึ่งก่อนจะจางแสงลง เหมือนยอมจำนนหลังจากครุ่นคิดแล้ว

เห็นได้ชัดว่าวิธีลงโทษดวงจิตในวิชาดวงเนตรปีศาจของหวังเป่าเล่อจะทำให้มันตื่นกลัวมาก ชายหนุ่มหรี่ตา กำลังจะเอ่ยปากพูด ขณะนั้นเอง เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นในหูอีกครั้ง!

“ช่วยข้า…ผู้แปลกถิ่น จงช่วยข้า!”

เสียงที่ดังขึ้นครั้งนี้ชัดเจนกว่าที่เคยได้ยินครั้งก่อน ทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจว่ามันดังมาจากใต้ดิน เสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป

“เจ้าเป็นใคร!” หวังเป่าเล่อก้มมองผืนดิน นอกจากจะสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของต้นเสียงแล้ว รอบนี้ยังสัมผัสได้รางๆ ถึงตัวตนเจ้าของเสียงด้วย

ชายหนุ่มมองผืนดิน ลึกลงไปใกล้กับแก่นดาวเคราะห์ เบื้องใต้ชั้นเปลือกหนาคือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหินหลอมละลาย!

ด้านในหินหลอมละลาย บนบันไดหลายร้อยขั้น มีแท่นบูชารูปทรงเหมือนหอคอยสีดำอยู่ บนนั้น…มีตะเกียงสามอันที่แผ่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ทั้งสามมุม!

ระหว่างตะเกียงทั้งสามมีร่างสองร่างนั่งขัดสมาธิอยู่!

หนึ่งในนั้นคือชายชราร่างเหี่ยวแห้งซึ่งแผ่พลังจางๆ ราวกับว่าอยู่ไม่ห่างจากความตายมากนัก มีรูกว้างอยู่บริเวณจุดตันเถียน คลื่นแสงสีรุ้งกระจายออกมาจากรูและแผ่ปกคลุมไปรอบบริเวณ เห็นได้ว่าแหล่งที่มาของแสงคือดาวเคราะห์ที่หดเล็กลง!

ตรงข้ามชายชราคือชายสามหัวหกมือปกคลุมไปด้วยแสงสีรุ้งที่นั่งขัดสมาธิอยู่ เขาคือคนจากตระกูลไม่รู้สิ้น! ชายผู้นี้เหมือนจะอยู่ในวัยกลางคน สีหน้าที่ฉายอยู่บนศีรษะทั้งสามดูเย็นชา เขายกมือขวา ค่อยๆ ดึงดาวเคราะห์สีรุ้งออกมาจากจุดตันเถียนของชายชรา

หากผู้มีความรู้ได้มาเห็นภาพตรงหน้าก็จะรู้ได้ว่า…ชายชราผู้บาดเจ็บและคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ และชายชราก็กำลังโดนคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลอมอยู่!

ระหว่างขั้นตอนการหลอม ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นก็ลืมตามองชายชราร่างเหี่ยวแห้งเบื้องหน้า ตอนแรกในแววตาเต็มไปด้วยความหิวกระหาย จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน เขาพูดขึ้นเพราะหัวเราะเสียงเย็น

“ตาแก่ เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”

……………………………………………………….